ก๊วนซอฟท์แวร์ </softganz> SoftGang (Gang Software)

Web &amp; Software Developer Gang.

Topic List

โดย Little Bear on 16 มี.ค. 57 09:48

บัฟเฟตต์เป็นประธานผู้บริหารของบริษัท Berkshire Hathaway ซึ่งก่อตั้งขึ้น 170 ปีแล้วและเคยทำกิจการด้านสิ่งทอเป็นหลักก่อนที่บัฟเฟตต์และหุ้นส่วนจะซื้อกิจการมาดำเนินงานเมื่อปี 2508 บัฟเฟตต์ใช้บริษัทนั้นเป็นทางผ่านการลงทุนในบริษัทอื่นซึ่งทำกิจการหลากหลายอย่างรวมทั้งการประกันภัย หนังสือพิมพ์ ร้านอาหาร ธนาคารและร้านสรรพสินค้า เขาซื้อหลายบริษัทมาควบรวมและซื้อหุ้นของอีกหลายบริษัทเป็นบางส่วน ก่อนที่เศรษฐกิจโลกจะประสบปัญหาและราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เริ่มทรุด Berkshire Hathaway มีทรัพย์สินรวมกันเกือบ 300,000 ล้านดอลลาร์ บัฟเฟตต์ประสบความสำเร็จสูงกว่านักลงทุนทั่วไปอย่างต่อเนื่องจนทำให้ราคาหุ้นของ Berkshire Hathaway เพิ่มขึ้นจาก 4 ดอลลาร์ต่อหุ้นเป็น 75,000 ดอลลาร์ในเวลา 40 ปี

มีผู้พยายามค้นหาปัจจัยที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จสูงอย่างน่ามหัศจรรย์นั้น เมื่อหลายปีก่อนมีหนังสือเกี่ยวกับวอร์เรน บัฟเฟตต์ ชื่อ The Snowball: Warren Buffett and the Business of Life พิมพ์ออกมา แต่กว่าผู้อ่านจะค้นพบปัจจัยที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จก็ต้องอ่านกันนานเพราะหนังสือเล่มนั้นมีความหนาเกือบ 1,000 หน้า ก่อนหน้านั้นมีผู้นำเอาข้อคิดในจดหมายที่เขาเขียนถึงผู้ถือหุ้นในบริษัท Berkshire Hathaway มารวมเป็นหนังสือชื่อ The Essays of Warren Buffett: Lessons for Corporate America ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าหนังสือทั่วไปและยาว 290 หน้า จึงต้องใช้เวลานานกว่าจะอ่านจบ เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา Michael Brush สรุปแนวคิดของบัฟเฟตต์ออกมาเป็น 10 ข้อเผยแพร่ไปตามสื่อต่าง ๆ ขอนำมาเล่าสู่กันเพราะมันน่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ หรือมีเวลาไปเสาะหาหนังสือและต้นฉบับมาอ่านเอง

โดย Little Bear on 14 มี.ค. 57 08:14

http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=57852

โดย Little Bear on 13 มี.ค. 57 13:06

เปลือยชีวิตลงทุน พ่อหนุ่มนักเขียนเรื่อง Out of My Mind on Investment “ปราการ สมใจเพ็ง” จากทุน 5 หมื่นบาท ขึ้นแท่นเจ้าของพอร์ต “หลักสิบล้าน"

“ลองคุยกับนักลงทุนคนนี้ดูนะ เขาเป็นคนเขียนหนังสือเรื่อง Out of My Mind on Investment วิธีคิดของเขาน่าสนใจทีเดียว” “โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง" นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เจ้าของนามแฝง "โจ ลูกอีสาน" แนะนำให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ไปทำความรู้จัก “เปา-ปราการ สมใจเพ็ง” เจ้าของนามแฝง Out of My Mind ตามคำร้องขอ

ร้านกาแฟชื่อดังระดับโลก ย่านเรียบทางด่วน รามอินทรา คือ จุดนัดพบ “เปา-ปราการ” เดินเข้ามาในร้านพร้อมภรรยา มือข้างหนึ่งถือหนังสือเรื่อง Out of My Mind on Investment เล่ม 1 ติตตัวมากด้วย “คงไม่ได้นั่งคุยด้วย เปาคุยเก่งอยู่แล้ว ยิ่งคุยเรื่องการลงทุนคงยาว” หญิงคู่ใจ “เปา” เอ่ยปากเพื่อขอตัวไปธุระ

หนังสือเล่มนี้จะวางขายเฉพาะใน Facebook ชื่อ Out Of My Mind on Value Investment ยอดพิมพ์ครั้งแรก 1,000 เล่ม ราคาเล่มละ 200 บาท ตอนนี้น่าจะเหลือประมาณ 200 เล่ม ตั้งใจจะพิมพ์เล่ม 2 เร็วๆนี้ เนื้อหาจะเข้มข้นกว่าเล่มแรกมาก เล่มแรกออกแนวอ่านง่ายๆ เพราะหนังสือเล่มนี้ทำให้มีโอกาสได้คุยกับ “โจ ลูกอีสาน” ผ่านตัวหนังสือมากกว่าเจอตัวเป็นๆ

โดย Little Bear on 13 มี.ค. 57 09:23

ชื่อของน.พ.ยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม โด่งดังขึ้นมาในราวต้นปี 2545 หลังจากที่เขาเข้ากว้านซื้อหุ้น บล.ซีมิโก้ จำนวน 5.095 ล้านหุ้น จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10.87% และใช้เวลาเพียงวันเดียวขายหุ้นทั้งหมดออกจากพอร์ต

จากนั้นชื่อของ น.พ.ยรรยง ก็ถูกดึงเข้าไปพัวพันกับสร้างราคาหุ้นของหลายบริษัท กระทั่งมีข่าวอีกว่าหมอใช้ “นอมินี” เข้าซื้อหุ้น บล.ยูไนเต็ด ร่วมกับ นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือ “เสี่ยปู่” และเพื่อนร่วมก๊วนจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 14% ในโบรกเกอร์แห่งนี้

นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้คนในแวดวงตลาดหุ้นตั้งคำถามว่า ชายผู้นี้เป็นใคร?…มาจากไหน?

นักเลงหุ้นคนนี้มีความน่าสนใจมากกว่าการเป็นแค่ “นักเสี่ยงโชค”

โดย Little Bear on 5 มี.ค. 57 09:42

ASP Strategic Move ปรับหมากกลยุทธ์ 5 มีนาคม 2557

หลังจากที่มีการรายงานงบปี 2556 เสร็จสิ้นผลปรากฏว่าในปี 2556 ตลาดหุ้นไทยมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 777,293 ล้านบาท (กำไรสุทธิของต่อหุ้น หรือ EPS อยู่ที่ 90.05 บาท) เพิ่มขึ้นเพียง 5.8%yoy ต่ำกว่าที่คาดหมายเล็กน้อย เนื่องจากปี 2556 ทาง ASP ได้มีการปรับลดประมาณการกำไรตลาดไปแล้วถึง 3 ครั้ง (ไม่รวมที่ได้มีการปรับลดกำไร หุ้นที่อิงการเติบโตในประเทศ (Domestic Play) ในช่วงม.ค. ปี 2557 ที่ผ่านมา) โดยพบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไร เติบโตมากกว่าตลาด นำโดยกลุ่มประกันภัย เพิ่มขึ้น 210%ตามมาด้วย ท่องเที่ยว/โรงแรม 174% อาหาร 89% วัสดุก่อสร้าง 40% อสังหาฯ 36%, เกษตร 23%, ธนาคารพาณิชย์ 24% สื่อสาร 16% และ ชิ้นส่วน 10% ตรงกันข้าม กลุ่มที่มีเติบโตน้อยกว่าตลาด ซึ่งส่วนใหญ่กำไรมีการหดตัวจากปี 2555 คือ ขนส่ง ลดลง 51% และการแพทย์ ลดลง 13% พลังงาน ลดลง 9% รถยนต์ ลดลง 8% และ ปิโตเคมี ลด 7%และ บันเทิง เพิ่มขึ้น 1% โดยรวมส่งผลให้ เติบโต 5.78% จากปี 2555

โดย Little Bear on 12 ก.พ. 57 13:31

หลังจากนั่งพิจารณาดูแล้ว ก็ยังงงงงงงอยู่ดี

  • RSI over 66.67 ratio of up to down is 2 to 1
  • RSI below 33.33 ratio of down to up is 2 to 1

แนะนำ

  • Must Trade Trending Stocks มองหาหุ้นที่มีแนวโน้มแข็งแกร่ง คือ ราคา > EMAสำคัญ
  • มองหาระดับ RSI 33.33 & 66.67 เพื่อให้เราอยู่ฝ่ายเดียวกับตลาด
โดย Little Bear on 3 ก.พ. 57 16:05

ตลท. แจ้งเตือน 24 บจ. มีปัญหาฐานะการเงินเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน ระยะที่ 3 จี้เร่งแก้ไขภายใน มี.ค. 57

  1. ABICO บริษัท เอบิโก้ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)
  2. APX บริษัท เอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)
  3. BRC บริษัท บางกอกรับเบอร์ จำกัด (มหาชน)
  4. CAWOW บริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด (มหาชน)
  5. CIRKIT บริษัท เซอร์คิทอีเลคโทรนิคส์อินดัสตรีส์ จำกัด (มหาชน)
  6. CPICO บริษัท เซ็นทรัลอุตสาหกรรมกระดาษ จำกัด (มหาชน)
  7. DTM บริษัท ดาต้าแมท จำกัด (มหาชน)
  8. ITV บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน)
  9. KTECH บริษัท เค-เทค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)
  10. MPG บริษัท แมงป่อง 1989 จำกัด (มหาชน)
  11. NFC บริษัท ปุ๋ยเอ็นเอฟซี จำกัด (มหาชน)
  12. PATKL บริษัท พัฒน์กล จำกัด (มหาชน)
  13. PICNI บริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
  14. POMPUI บริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน)
  15. SAFARI บริษัท ซาฟารีเวิลด์ จำกัด (มหาชน)
  16. SECC บริษัท เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)
  17. SGF บริษัท สยามเจเนอรัลแฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน)
  18. SUN บริษัท ซันวู้ดอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน)
  19. TPROP บริษัท ไทย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)
  20. TRS บริษัท ตรังผลิตภัณฑ์อาหารทะเล จำกัด (มหาชน)
  21. TT&T บริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน)
  22. VGM บริษัท วีจีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
  23. WORLD บริษัท เวิลด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
  24. WR บริษัท วีรีเทล จำกัด (มหาชน)
โดย Little Bear on 24 ม.ค. 57 10:16

คำสอนของศาสดา : การคำนวณหามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ - ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

เบน เกรแฮม บิดาของ Value Investment เขียนหนังสือ บทความ และสอนลูกศิษย์เกี่ยวกับการลงทุนมากมาย ต่อไปนี้คือหลักการสำคัญๆ 10 ข้อ ที่ Value Investor ควรจดจำและพิจารณานำไปปฏิบัติ

ข้อแรก จงเป็นนักลงทุนอย่างเป็นนักเก็งกำไร โดยคำจำกัดความของนักเก็งกำไรก็คือคนที่แสวงหากำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงมูลค่าที่แท้จริงของกิจการ ส่วนนักลงทุนก็คือคนที่ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานของบริษัทและขายเมื่อหุ้นวิ่งขึ้นไปเกินมูลค่าที่แท้จริง

ข้อสอง การคำนวณหามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ มีสูตรคือ

มูลค่าของหุ้น = EPS (8.5 + 2 X G)

โดย EPS คือกำไรต่อหุ้น ส่วน G คืออัตราการเจริญเติบโตของกำไรต่อหุ้นต่อปีโดยคิดเฉลี่ยไป 7 - 10 ปีในอนาคต ตัวอย่างเช่น หุ้น ก. มีกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 2 บาทและเราคาดว่ากำไรต่อหุ้นนี้จะโตปีละ 5% โดยเฉลี่ยตลอด 10 ปีข้างหน้า มูลค่าของหุ้นจะเท่ากับ 2(8.5 + 2 X 5) หรือเท่ากับ 37 บาท

ข้อสาม จงรู้ว่ากิจการมีราคาเท่าไร สิ่งนี้ทำได้โดยเอาราคาหุ้นคูณด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดที่มีอยู่หรือที่จะมีเนื่องจากการแปลงสภาพหรือใช้สิทธิของวอแรนต์ พูดง่ายๆ ก็คือถ้าเราจะเป็นเจ้าของกิจการทั้งหมดคนเดียวจะต้องจ่ายเงินซื้อในราคาเท่าไร

ข้อสี่ จงตระหนักว่าเราไม่สามารถคำนวณมูลค่าที่แท้จริงได้อย่างแม่นยำ เพราะฉะนั้นจะต้องมีการ ?เผื่อ? การผิดพลาดหรือจะต้องมี Margin of Safety ในการซื้อหุ้น นั่นก็คือต้องซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่คำนวณได้ไม่ต่ำกว่า 20%

ข้อห้า ต้องกระจายความเสี่ยงในการลงทุน เม็ดเงินที่จะลงทุนในหุ้นควรจะอยู่ระหว่าง 25 ถึง 75 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือควรเป็นพันธบัตรหรือเงินสดขึ้นอยู่กับภาวะตลาดว่าหุ้นมีค่า PE ของตลาดสูงหรือต่ำหรือมีการจ่ายปันผลสูงหรือต่ำเทียบกับอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตร การซื้อหุ้นเองก็ควรซื้อหุ้นกระจายอย่ามีหุ้นที่ ?หนักพอร์ต? ควรมีหุ้นอย่างน้อย 30 ตัว (คำสอนข้อนี้จะแตกต่างจากแนวของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่ถือหุ้นน้อยตัวกว่ามาก)

ข้อหก หุ้นที่จ่ายปันผลต่อเนื่องยาวนานจะมีความเสี่ยงต่ำ คำว่ายาวนานสำหรับเบน เกรแฮม คือ 20 ปีขึ้นไป เขาเห็นว่าการดูแลผู้ถือหุ้นที่ดีที่สุดก็คือการที่บริษัทจ่ายปันผลในอัตราที่เหมาะสมให้กับผู้ถือหุ้น ส่วนบริษัทที่จ่ายปันผลน้อยนั้นนอกจากจะทำให้ผู้ถือหุ้นขาดรายได้จากการลงทุนแล้ว ราคาหุ้นยังมักจะไม่ค่อยวิ่งไปไหน

ข้อเจ็ด เมื่อเกิดความสงสัยให้ยึดคุณภาพ เพราะบริษัทที่มีกำไรดี มีการจ่ายปันผลแน่นอนสม่ำเสมอ มีหนี้น้อย มีค่า PE ที่สมเหตุผลจะปลอดภัยกว่าหุ้นที่มีคุณภาพต่ำ เบนเกรแฮมพูดว่า นักลงทุนจะไม่ผิดพลาดหรือเจ็บตัวหนักจากการซื้อหุ้นคุณภาพดีในราคาที่ยุติธรรม แต่เขาจะเสียหายมากจากการซื้อหุ้นเน่าโดยเฉพาะที่ถูกปั่นทำราคาด้วยวิธีการต่างๆ และบ่อยครั้งอยู่เหมือนกันที่เขาตัดสินใจผิดพลาดโดยการไปซื้อหุ้นของกิจการที่ดีแต่ไปซื้อในช่วงที่ตลาดบูมเป็นกระทิงเปลี่ยวซึ่งทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นไปถึงยอดดอย

ข้อแปด ระวังตัวเลขข้อมูลจากบริษัท เนื่องจากข้อมูลกำไรของบริษัทและการคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคตเป็นสิ่งที่จะทำให้ราคาหุ้นวิ่ง ดังนั้น ข้อมูลเหล่านี้อาจจะถูกตกแต่งให้ดูดีกว่าความเป็นจริง หรือสร้างภาพให้ดีเกินกว่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นก่อนที่จะลงทุนซื้อหุ้น ควรศึกษาให้ลึกซึ้งเสียก่อนว่าอะไรเป็นอะไร

ข้อเก้า จงอดทน เบน เกรแฮม พูดว่า นักลงทุนทุกคนควรเตรียมตัวเตรียมใจในการรับกับภาวะที่ตลาดตกต่ำในบางช่วงเวลาสั้นๆ ปีหรือสองปี ซึ่งเขาอาจจะขาดทุน เป็นตัวเลข แต่ถ้าเขาไม่ขายและถือหุ้นต่อไป เขาก็มักจะได้เงินคืน โดยทั่วไปแล้วถ้าถือหุ้นตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป โอกาสได้กำไรในอัตราที่เหมาะสมจะมีสูง

ข้อสิบ คิดเอง อย่าซื้อขายหุ้นตามแห่ เบนบอกว่ามีเงื่อนไขสองประการในการที่จะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น ข้อหนึ่งคือคุณจะต้องคิดอย่างถูกต้อง และข้อสองคุณจะต้องคิดเอง อย่าเชื่อคนอื่น

คำสอนของเบน เกรแฮม มีมานานแล้ว สานุศิษย์ของเบน เกรแฮม ที่ประสบความสำเร็จสูงต่างก็นำมาประยุกต์ใช้และแนะนำสั่งสอนนักลงทุนรุ่นใหม่ต่อกันมานานจนหลายๆ เรื่องเราคิดว่าเป็นความคิดของคนที่พูด แต่เมื่อศึกษาย้อนกลับไปจะพบว่าพื้นฐานนั้นมาจากหนังสือหรือคำสอนของเบน เกรแฮม ที่อาจจะ ซึม เข้าไปอยู่ในความคิดของลูกศิษย์อย่างไม่รู้ตัว คำสอนสิบข้อนี้เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นใน คัมภีร์ไบเบิล จากศาสดาที่ชื่อว่า เบน เกรแฮม

ที่มา www.stock2morrow.com

โดย Little Bear on 24 ม.ค. 57 08:41

หลักการเลือกหุ้นของ จอห์น เนฟฟ์

  1. มีค่าอัตราส่วน P/E ต่ำ
  2. มีอัตราเติบโตของกำไรสูงกว่า 7%
  3. มีการจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอด (แสดงถึงการสามารถนำกำไรที่มากขึ้นมาทำให้เกิดประโยชน์ในการขยายกิจการ)
  4. ผลตอบแทนที่ได้รับจะต้องสูงกว่าค่าอัตราส่วน P/E (เช่นหากค่า P/E เป็น 5 จะต้องมีผลตอบแทนมากกว่า 5%)
  5. ต้องเป็นธุรกิจขาขึ้นของรอบ (ถ้าเป็นรอบ) หรือหากเป็นขาลง จะต้องมีค่า P/E ที่ต่ำมากพอต่อความเสี่ยงในขาลงของมัน
  6. มีการเติบโตที่แข็งแรง (คือโตแล้ว ยืนอยู่ได้ ไม่ใช่ขึ้นๆ ลงๆ ล้มๆ ลุกๆ)
  7. มีพื้นฐานแข็งแกร่ง (อันนี้ต้องวิเคราะห์ธุรกิจด้วย)

คราวนี้มาดูว่า จอห์น เนฟฟ์ จะตัดสินใจขายหุ้นเมื่อใด

  1. พื้นฐานเปลี่ยนไปในทางที่เลวลง จนอาจจะเกิดผลกับการดำเนินงานในอนาคต
  2. เมื่อราคาเพิ่มสูงขึ้นถึงจุดที่กำหนดไว้
  3. ดูการเติบโต (ราว 4-5 ปีต่อเนื่องกัน) หากถดถอยลงก็พิจารณาขาย

เคล็ดลับการลงทุน

วิธีการหาหุ้นเพื่อลงทุน เนฟฟ์จะมองหุ้นที่

  • ราคาทำนิวโลว์ หรือราคาตกต่ำลงมามากๆ เพราะข่าวร้าย เมื่อพบแล้วก็มาพิจารณาโดยใช้หลักการเลือกหุ้น 7 ข้อ ของเขา หากเห็นว่าธุรกิจยังดี สามารถอยู่รอดและเติบโตได้ ราคาน่าลงทุน ค่าสัดส่วนต่างๆ ยังดีอยู่ ก็อาจจะพิจารณาซื้อไว้ได้
  • อย่าไล่ตามหุ้นที่มีการเติบโตสูงที่หลายคนสนใจ อัตราส่วนP/Eที่สูงขึ้นจะผลักดันให้ราคาหุ้นสูงขึ้นจนถึงระดับที่น่าตกใจ และเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเอง
  • มองที่อัตราส่วน GYP ของพอร์ตของเราเป็นหลัก หากของตลาดดีกว่าก็ถือเงินสดไว้บ้างเพื่อรอซื้อเมื่อโอกาสอำนวย
  • โอกาสซื้อดี ๆ มักจะเกิดหลังจากการตื่นตระหนก (Panic Sell) ของตลาด

ที่มา มั่วหุ้น : การวิเคราะห์หุ้นมั่วๆ

โดย Little Bear on 16 ม.ค. 57 10:42
  1. ถ้าคุณอยากมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม คุณก็ต้องยอมเต็มใจยอมปล่อยวางวิธีคิดและการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ แล้วนำวิธีคิดแบบใหม่เข้ามาสู่ชีวิต แล้วคุณจะประจักษ์ถึงผลที่ตามมาในที่สุด
  2. โลกภายนอกของคุณเป็นเพียงเสียงสะท้อนของโลกภายในเท่านั้น ถ้าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นนอกตัวคุณไม่ได้เป็นได้ด้วยดี นั่นเป็นเพราะสิ่งต่างๆภายในตัวคุณก็ไม่ได้เป็นไปด้วยดีเช่นเดียวกัน
  3. ความคิดนำไปสู่ความรู้สึก ความรู้สึกนำไปสู่การกระทำ การกระทำนำไปสู่ผลลัพธ์
  4. เงินเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับทุกเรื่องที่ต้องใช้เงิน ในขณะเดียวกัน มันก็ไม่มีความสำคัญแม่แต่นิดเดียวสำหรับทุกเรื่องที่ไม่ต้องใช้เงิน
  5. เมื่อคุณบ่น คุณกำลังกลายร่างเป็น “แม่เหล็กดึงดูดความเลวร้าย” ที่มีชีวิต
  6. จำไว้ว่าคุณเป็นผู้ลิขิตชะตาชีวิตทางการเงินของตัวคุณเอง ว่าจะมั่งคั่ง ถังแตก หรือมีฐานะในระดับใดก็ตาม
  7. เหตุผลอันดับแรกที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ก็เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร
  8. ถ้าคุณไม่มุ่งมั่นกับการสร้างฐานะอย่างเต็มตัวและสุดหัวใจ คุณก็จะไม่มีโอกาสร่ำรวย
  9. การคิดเล็กและทำแต่เรื่องเล็กจะนำไปสู่การสิ้นเนื้อประดาตัวและความไม่พอใจในตนเอง ส่วนการคิดใหญ่และทำการใหญ่จะนำไปสู่การมีพร้อมทั้งเงินและความหมายในชีวิต คุณเลือกเอาได้ตามใจ!
  10. ไม่มีทางที่โชค หรือสิ่งอื่นใดที่มีค่า จะมาถึงตัวคุณได้เลยถ้าคุณไม่ลงมือทำการใดๆ (เพื่อเตรียมตัวรับโชคหรือสิ่งนั้นๆ)
  11. คนรวยให้ความสนใจกับสิ่งที่พวกเขาต้องการ ส่วนคนจนให้ความสนใจกับสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการ
  12. คนรวยมองเห็นโอกาส กระโจนใส่มัน และร่ำรวยยิ่งขึ้น แล้วคนจนล่ะ มัวทำอะไรอยู่? พวกเขาก็ยัง“เตรียมตัว”อยู่นะสิ!
  13. คนรวยมักเป็นผู้นำ และผู้นำที่ยิ่งใหญ่ล้วนแต่เป็นนักโปรโมทที่ยอดเยี่ยม การเป็นผู้นำที่ย่อมมีผู้ตามและผู้สนับสนุน นั่นหมายความว่าคุณต้องช่ำชองด้านการขาย การสร้างแรงบันดาลใจ และการจูงใจให้ผู้คนเชื่อในวิสัยทัศน์ของคุณ
  14. ถ้าคุณเชื่อว่าสิ่งที่คุณมีสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างแท้จริง หน้าที่ของคุณก็คือการบอกให้คนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้รับรู้ และวิธีนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณช่วยเหลือคนอื่นได้เท่านั้น แต่คุณยังจะร่ำรวยอีกด้วย!
  15. เคล็ดลับสู่ความสำเร็จไม่ใช่การพยายามหลีกเลี่ยง ปัดหรือหันหลังให้กับปัญหา สิ่งที่คุณต้องทำคือ การพัฒนาตนเองให้ยิ่งใหญ่เหนือกว่าทุกๆปัญหา
  16. ถ้าคุณบอกว่าคุณมีค่า คุณก็มีค่า ถ้าคุณบอกว่าคุณไร้ค่า คุณก็ไร้ค่า ไม่ว่าอย่างไรคุณก็จะดำเนินชีวิตไปตามเรื่องราวที่คุณแต่งขึ้นเอง
  17. คนจนแลกเวลากับเงิน กลยุทธ์นี้มีปัญหาเพราะเวลาของคุณมีอยู่อย่างจำกัด นั่นหมายความว่าคุณกำลังแหกกฎแห่งความมั่งคั่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งระบุว่า “อย่าให้มีเพดานจำกัดรายได้ของคุณ”
  18. มาตรวัดความมั่งคั่งที่แท้จริงคือมูลค่าทรัพย์สิน ไม่ใช่รายได้จากการทำงาน
  19. ถ้าคุณไม่ควบคุมเงินของคุณ มันก็จะควบคุมคุณ การจะควบคุมเงินของคุณ คุณต้องรู้จักบริหารเงิน
  20. อิสรภาพทางการเงิน คือ ความสามารถที่จะดำเนินชีวิตในรูปแบบที่ต้องการโดยไม่ต้องทำงานหรือพึ่งพาคนอื่นในเรื่องเงิน
  21. คุณจะมีอิสรภาพทางการเงินเมื่อรายได้งอกเงย (รายได้จากทรัพย์สินหรือธุรกิจที่ทำงานแทนคุณและสร้างรายได้ด้วยตัวของมันเอง) ของคุณมีจำนวนมากกว่ารายจ่าย
  22. คนจนทำงานหนักและใช้เงินทั้งหมดที่มาหาได้ พวกเขาจึงต้องทำงานหนักตลอดไป ส่วนคนรวยทำงานหนัก สะสมเงิน และนำไปลงทุน พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำงานหนักอีก
  23. ความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ที่สุดของคนส่วนใหญ่ คือ การรอให้ความกลัวลดน้อยลงหรือจางหายไปก่อนจะเริ่มลงมือทำ(บางสิ่งบางอย่างไปสู่ความมั่งคั่ง) และคนเหล่านี้ก็มักลงเอยด้วยการนั่งรอตลอดไป
  24. คนรวยและผู้ที่ประสบความสำเร็จก็มีความกลัว ความไม่แน่ใจ และความกังวลเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาไม่ยอมปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านั้นมาหยุดยั้งตนเอง
  25. ความสุขไม่ได้มาจากการใช้ชีวิตอย่างสบายๆไปวัน พร้อมๆกับนึกสงสัยตลอดเวลาว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตบ้าง แต่ความสุขเกิดจากการเติบโตตามอัตราการเติบโตที่ควรจะเป็นและการใช้ชีวิตด้วยศักยภาพสูงสุดของตัวเรา
  26. การฝึกฝนและบริหารความคิดของคุณเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดที่คุณควรมีไว้ครองครอง เพื่อให้บรรลุความสุขและความสำเร็จ
  27. น้อยคนนักจะรู้ว่าวิธีที่รวดเร็วที่สุดในการสร้างและรักษาความมั่งคั่งเอาไว้ก็คือ การพัฒนาตัวคุณเอง เพื่อให้คุณเติบโตเป็นคนที่ “ประสบความสำเร็จ”
  28. คนจนและชนชั้นกลางส่วนใหญ่เชื่อว่า “ถ้าฉันมีมากๆ ฉันก็จะสามารถทำในสิ่งที่ฉันต้องการและเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้” ส่วนคนรวยเข้าใจว่า “ถ้าฉันกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ฉันจะสามารถทำในสิ่งที่ฉันจำเป็นต้องทำเพื่อให้มีสิ่งที่ฉันต้องการ รวมไปถึงจำนวนเงินมากๆด้วย” 29.คนรวยคือผู้เชี่ยวชาญในงานที่ตัวเองทำ ชนชั้นกลางคือพวกที่ทำงานของตัวเองได้ดีในระดับปานกลาง และคนจนคือพวกที่ทำงานของตัวเองไม่ได้เรื่องเลย
  29. การจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างถาวรนั้น มันต้องเกิดขึ้นในระดับที่ลึกซึ้ง....เครือข่ายในสมองคุณต้องถูกสร้างขึ้นใหม่ นั่นหมายความว่าคุณต้องนำมันไปปฏิบัติจริง อย่าเพียงแต่อ่าน อย่าเพียงแต่พูดถึงมัน และอย่าเอาแต่คิด จงลงมือทำจริงๆ

Cr. Thanachok Loketkawe ^^ lucky eiei

ที่มา รู้ทันหุ้นบ่าย