ก๊วนซอฟท์แวร์ </softganz> SoftGang (Gang Software)

Web &amp; Software Developer Gang.

617 items|« First « Prev 19 20 (21/62) 22 23 Next » Last »|
โดย Little Bear on 16 ม.ค. 57 10:42
  1. ถ้าคุณอยากมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม คุณก็ต้องยอมเต็มใจยอมปล่อยวางวิธีคิดและการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ แล้วนำวิธีคิดแบบใหม่เข้ามาสู่ชีวิต แล้วคุณจะประจักษ์ถึงผลที่ตามมาในที่สุด
  2. โลกภายนอกของคุณเป็นเพียงเสียงสะท้อนของโลกภายในเท่านั้น ถ้าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นนอกตัวคุณไม่ได้เป็นได้ด้วยดี นั่นเป็นเพราะสิ่งต่างๆภายในตัวคุณก็ไม่ได้เป็นไปด้วยดีเช่นเดียวกัน
  3. ความคิดนำไปสู่ความรู้สึก ความรู้สึกนำไปสู่การกระทำ การกระทำนำไปสู่ผลลัพธ์
  4. เงินเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับทุกเรื่องที่ต้องใช้เงิน ในขณะเดียวกัน มันก็ไม่มีความสำคัญแม่แต่นิดเดียวสำหรับทุกเรื่องที่ไม่ต้องใช้เงิน
  5. เมื่อคุณบ่น คุณกำลังกลายร่างเป็น “แม่เหล็กดึงดูดความเลวร้าย” ที่มีชีวิต
  6. จำไว้ว่าคุณเป็นผู้ลิขิตชะตาชีวิตทางการเงินของตัวคุณเอง ว่าจะมั่งคั่ง ถังแตก หรือมีฐานะในระดับใดก็ตาม
  7. เหตุผลอันดับแรกที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ก็เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร
  8. ถ้าคุณไม่มุ่งมั่นกับการสร้างฐานะอย่างเต็มตัวและสุดหัวใจ คุณก็จะไม่มีโอกาสร่ำรวย
  9. การคิดเล็กและทำแต่เรื่องเล็กจะนำไปสู่การสิ้นเนื้อประดาตัวและความไม่พอใจในตนเอง ส่วนการคิดใหญ่และทำการใหญ่จะนำไปสู่การมีพร้อมทั้งเงินและความหมายในชีวิต คุณเลือกเอาได้ตามใจ!
  10. ไม่มีทางที่โชค หรือสิ่งอื่นใดที่มีค่า จะมาถึงตัวคุณได้เลยถ้าคุณไม่ลงมือทำการใดๆ (เพื่อเตรียมตัวรับโชคหรือสิ่งนั้นๆ)
  11. คนรวยให้ความสนใจกับสิ่งที่พวกเขาต้องการ ส่วนคนจนให้ความสนใจกับสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการ
  12. คนรวยมองเห็นโอกาส กระโจนใส่มัน และร่ำรวยยิ่งขึ้น แล้วคนจนล่ะ มัวทำอะไรอยู่? พวกเขาก็ยัง“เตรียมตัว”อยู่นะสิ!
  13. คนรวยมักเป็นผู้นำ และผู้นำที่ยิ่งใหญ่ล้วนแต่เป็นนักโปรโมทที่ยอดเยี่ยม การเป็นผู้นำที่ย่อมมีผู้ตามและผู้สนับสนุน นั่นหมายความว่าคุณต้องช่ำชองด้านการขาย การสร้างแรงบันดาลใจ และการจูงใจให้ผู้คนเชื่อในวิสัยทัศน์ของคุณ
  14. ถ้าคุณเชื่อว่าสิ่งที่คุณมีสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างแท้จริง หน้าที่ของคุณก็คือการบอกให้คนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้รับรู้ และวิธีนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณช่วยเหลือคนอื่นได้เท่านั้น แต่คุณยังจะร่ำรวยอีกด้วย!
  15. เคล็ดลับสู่ความสำเร็จไม่ใช่การพยายามหลีกเลี่ยง ปัดหรือหันหลังให้กับปัญหา สิ่งที่คุณต้องทำคือ การพัฒนาตนเองให้ยิ่งใหญ่เหนือกว่าทุกๆปัญหา
  16. ถ้าคุณบอกว่าคุณมีค่า คุณก็มีค่า ถ้าคุณบอกว่าคุณไร้ค่า คุณก็ไร้ค่า ไม่ว่าอย่างไรคุณก็จะดำเนินชีวิตไปตามเรื่องราวที่คุณแต่งขึ้นเอง
  17. คนจนแลกเวลากับเงิน กลยุทธ์นี้มีปัญหาเพราะเวลาของคุณมีอยู่อย่างจำกัด นั่นหมายความว่าคุณกำลังแหกกฎแห่งความมั่งคั่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งระบุว่า “อย่าให้มีเพดานจำกัดรายได้ของคุณ”
  18. มาตรวัดความมั่งคั่งที่แท้จริงคือมูลค่าทรัพย์สิน ไม่ใช่รายได้จากการทำงาน
  19. ถ้าคุณไม่ควบคุมเงินของคุณ มันก็จะควบคุมคุณ การจะควบคุมเงินของคุณ คุณต้องรู้จักบริหารเงิน
  20. อิสรภาพทางการเงิน คือ ความสามารถที่จะดำเนินชีวิตในรูปแบบที่ต้องการโดยไม่ต้องทำงานหรือพึ่งพาคนอื่นในเรื่องเงิน
  21. คุณจะมีอิสรภาพทางการเงินเมื่อรายได้งอกเงย (รายได้จากทรัพย์สินหรือธุรกิจที่ทำงานแทนคุณและสร้างรายได้ด้วยตัวของมันเอง) ของคุณมีจำนวนมากกว่ารายจ่าย
  22. คนจนทำงานหนักและใช้เงินทั้งหมดที่มาหาได้ พวกเขาจึงต้องทำงานหนักตลอดไป ส่วนคนรวยทำงานหนัก สะสมเงิน และนำไปลงทุน พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำงานหนักอีก
  23. ความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ที่สุดของคนส่วนใหญ่ คือ การรอให้ความกลัวลดน้อยลงหรือจางหายไปก่อนจะเริ่มลงมือทำ(บางสิ่งบางอย่างไปสู่ความมั่งคั่ง) และคนเหล่านี้ก็มักลงเอยด้วยการนั่งรอตลอดไป
  24. คนรวยและผู้ที่ประสบความสำเร็จก็มีความกลัว ความไม่แน่ใจ และความกังวลเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาไม่ยอมปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านั้นมาหยุดยั้งตนเอง
  25. ความสุขไม่ได้มาจากการใช้ชีวิตอย่างสบายๆไปวัน พร้อมๆกับนึกสงสัยตลอดเวลาว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตบ้าง แต่ความสุขเกิดจากการเติบโตตามอัตราการเติบโตที่ควรจะเป็นและการใช้ชีวิตด้วยศักยภาพสูงสุดของตัวเรา
  26. การฝึกฝนและบริหารความคิดของคุณเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดที่คุณควรมีไว้ครองครอง เพื่อให้บรรลุความสุขและความสำเร็จ
  27. น้อยคนนักจะรู้ว่าวิธีที่รวดเร็วที่สุดในการสร้างและรักษาความมั่งคั่งเอาไว้ก็คือ การพัฒนาตัวคุณเอง เพื่อให้คุณเติบโตเป็นคนที่ “ประสบความสำเร็จ”
  28. คนจนและชนชั้นกลางส่วนใหญ่เชื่อว่า “ถ้าฉันมีมากๆ ฉันก็จะสามารถทำในสิ่งที่ฉันต้องการและเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้” ส่วนคนรวยเข้าใจว่า “ถ้าฉันกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ฉันจะสามารถทำในสิ่งที่ฉันจำเป็นต้องทำเพื่อให้มีสิ่งที่ฉันต้องการ รวมไปถึงจำนวนเงินมากๆด้วย” 29.คนรวยคือผู้เชี่ยวชาญในงานที่ตัวเองทำ ชนชั้นกลางคือพวกที่ทำงานของตัวเองได้ดีในระดับปานกลาง และคนจนคือพวกที่ทำงานของตัวเองไม่ได้เรื่องเลย
  29. การจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างถาวรนั้น มันต้องเกิดขึ้นในระดับที่ลึกซึ้ง....เครือข่ายในสมองคุณต้องถูกสร้างขึ้นใหม่ นั่นหมายความว่าคุณต้องนำมันไปปฏิบัติจริง อย่าเพียงแต่อ่าน อย่าเพียงแต่พูดถึงมัน และอย่าเอาแต่คิด จงลงมือทำจริงๆ

Cr. Thanachok Loketkawe ^^ lucky eiei

ที่มา รู้ทันหุ้นบ่าย

โดย Little Bear on 14 ม.ค. 57 18:26

อัตราค่าคอมมิชชั่น

อัตราค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์เป็นแบบอัตราขั้นบันได ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป

โดย Little Bear on 8 ม.ค. 57 11:54

อ่านแล้ว น่าจะพอมีประโยชน์ในภายหลัง จึงขอทำสำเนามาเก็บไว้ก่อนนะครับ ได้จาก เจาะแก่ VI

ธุรกิจไหนจะเป็นดาวรุ่ง เจิดจรัส ธุรกิจไหนจะเป็นธุรกิจดาวดับอับแสง ใน ปี 2014

10 อันดับธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวดับ ในปี 2014 ครั้งนี้ เป็นการสำรวจวิเคราะห์จากหน่วยงาน สสว.และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

ธุรกิจที่จะเป็นดาวรุ่ง เจิดจรัส

โดย Little Bear on 5 ม.ค. 57 09:39

เป็นบทความจาก www.pawawit.com มี 3 ตอน นี่เป็นตอนที่ 3


บทความนี้ขอตอบข้อข้องใจ สำหรับ "Get rich slow!!" ซึ่งฟังดูน่าเบื่อ แต่จะว่าไป มันคล้ายๆกับ นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่า "การลงทุนในความเป็นจริงแล้วมันเป็น Process และการเดินทางที่ยาวนานมาก แต่แปลกมากที่คนส่วนใหญ่พยายามเร่งสปีดให้เร็วที่สุด ..สุดท้ายแรงหมดกลายเป็นกระต่าย"

ประเด็นนี้ ผมว่าหลายๆคนเถียงอยู่ในใจว่า "ไม่จริงหรอก การที่เราวิ่งเร็วตลอดทาง ก็สามารถทำได้ เพราะเดี๋ยวนี้มันมี กระทิงแดง ...ดังนั้น (ผมสามารถตาสว่าง ถ่างตาวิ่งสุดแรง ตลอดระยะเวลาการลงทุนชั่วชีวิต ที่ท้ายสุด ไปตายหลังเส้นชัย เนื่องจาก "ใจขาด" ...หุ หุ ) "น่าสมเพศจริงๆ"

ผมว่าประเด็นเรื่องของ "เวลา" มีความลึกในตัวของมันเอง ... เกือบทุกคนต้องการสำเร็จ ไวไว เพื่ออะไร ..ก็เพื่อจะได้สบายไม่เครียด เพราะรวย (จริงหรือ) ..."การที่คุณมีเป้าหมายที่ยาวไกล แน่นอน การลงทุน มันเปรียบเทียบได้กับการเดินทาง ในระยะทางไกลๆ ซึ่งต้องใช้เวลายาวนาน รวมทั้งความอดทน

โดย Little Bear on 5 ม.ค. 57 09:35

เป็นบทความจาก www.pawawit.com มี 3 ตอน นี่เป็นตอนที่ 2


ข้อคิดเพิ่มเติมจาก Buffett (นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล) ดังนี้

"ซื้อหุ้น Low-Tech ไม่ใช่ High Tech" ไอเดียนี้เป็นสิ่งที่ Buffett แนะนำ เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งประดิษฐ์ Innovation ต่างๆ มักจะไม่ได้ให้รางวัลแก่คนประดิษฐ์ หรือ คนลงทุน แม้ในความเป็นจริงมันได้สร้างประโยชน์อย่างมหาศาลแก่มวลมนุษย์ก็ตาม

Buffett ยกตัวอย่างประเด็นนี้เหมือนการเลือกภรรยา คุณจะเลือกเที่ยวกับคนฟู่ฟ่า(เพราะมันทำให้คุณตื่นเต้น หรือตื่นตูมในช่วงเวลาสั้นๆ ...One Night Stand ฮ่า ฮ่า)... แต่คนที่คุณเลือกเอามาเป็นภรรยากลับเป็นผู้หญิงอีกแบบนึง ...ซึ่งแน่นอน ธุรกิจ Innovation ที่ซับซ้อนสามารถสร้างความหวือหวาได้ในระยะสั้น แต่โอกาส "แป๊ก" มันก็สูงตาม

โดย Little Bear on 5 ม.ค. 57 09:33

เป็นบทความจาก www.pawawit.com มี 3 ตอน นี่เป็นตอนที่ 1


วันนี้ว่างๆ เลยเอาหนังสือ Buffet มาย่อยดู ...หนังสือ เล่มนี้ "How Buffett Does it" เผอิญ "ป๋ากึ้ง ซื้อมาฝากจากสิงค์โปร์ Trip" เพราะเฮียแก เห็นว่าผมชอบแนวทางของ Buffet แถมตลาดตอนนี้ เริ่มมีภาพขาขึ้นในภาพใหญ่ที่ชัดเจน ...เลยทำให้แนวทาง Buffett มันเริ่มชัดขึ้น ชัดขึ้น (แต่บางคน กลับมองว่า มืดลง มืดลง เพราะตลาดหุ้นบ้านเราเน่ามาตลอดสิบกว่าปีแล้ว แถมไม่ชอบเลขกลมซะด้วยซิ สังเกตได้ว่า รายย่อยปล่อยของออก ตอนนี้เทหุ้นกันเกือบหมด Port ไม่รู้จะเข้าหลัก Demand & Supply หรือเปล่า)

ขยายความกันเต็มๆ ว่า "ตอนนี้รายย่อย ขายทิ้งเอา ทิ้งเอา แต่ตลาดกลับขึ้นสวน ..รึว่า รายย่อยกำลังรู้อะไรที่ รายใหญ่ไม่รู้่ (ชักน่ากลัว ซะแล้วซิ) "ผมประกาศเลย ถ้ารายใหญ่คนไหน ได้มีโอกาสผ่านตา บทความผม จงไปซื้อเสื้อหนาวมาใส่ ..."หนาวแน่!!" ...เอ๋อ!! ว่าแต่ยังไม่รู้ว่าใครจะหนาวกันแน่ ฮิ ฮิ

จากประเด็นหนักๆ กลับมาประเด็นเบาๆ อย่าง Buffett กันดีกว่า (ในหนังสือเล่มนี้ อ่านค่อนข้างง่าย เพราะคนเขียนย่อย แนวคิดของ Buffett ออกมาเป็นข้อๆ ดังนี้)

โดย Little Bear on 4 ม.ค. 57 22:28

1. เลือกความเรียบง่ายมากกว่าความซับซ้อน

บัฟเฟตต์ แนะนำว่า “เมื่อลงทุน ควรคำนึงถึง … ความเรียบง่าย ชัดเจน อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน จากคำถามที่ซับซ้อน” จำไว้ว่า ความยากไม่มีในการลงทุน มองหาบริษัทที่มีประวัติยาวนาน และสามารถคาดเดาอนาคตของธุรกิจได้ ถ้าคุณไม่เข้าใจธุรกิจ … ก็อย่าซื้อหุ้น

2. ตัดสินใจลงทุนด้วยตัวคุณเอง

อย่าเชื่อโบรกเกอร์ นักวิเคราะห์ หรือผู้รู้ …จงเชื่อตัวคุณเอง เมื่อคุณพบที่ปรึกษาทางการลงทุนหรือนักลงทุนมืออาชีพ จงถามว่า “พวกคุณจะได้อะไรจากผม ???” ถ้าคำตอบไม่เป็นที่น่าพอใจ คุณก็ควรจะเดินหนีไปซะ การลงทุนแบบเน้นคุณค่าพิสูจน์แล้วว่า จะสร้างผลตอบแทนที่ดีมากในระยะยาว

โดย Little Bear on 3 ม.ค. 57 14:42

วันนี้เกิดเหตุ wintesla2003.com หยุดทำงาน โชคดีที่สั่ง reboot ผ่าน DA แล้วสามารถเข้าใช้ ssh ได้ (หลังจากที่เข้า ssh ไม่ได้มาเป็นปี ก็ยังงงอยู่ว่ามันเข้าได้ยังไง โชคดีก็คือไม่ต้องวิ่งไปที่ IDC)

หลังจาก reboot ก็ยังใช้งานไม่ได้ ขณะกำลังหาสาเหตุ ก็นึกได้ว่า server นี้เคยมีปัญหากับ MySql มาครั้งนึงแล้ว คือ partition ที่เก็บข้อมูลเต็ม พอลอง df ดูก็ปรากฎว่าเต็มอีกแล้วจริง ๆ ด้วย

หลังจากลองย้ายบาง folder ออกไป ก็สามารถใช้งานได้ แต่มีบางตารางเสียหาย เลยสั่ง repair ปรากฎว่าเดี้ยงอีก เต็มอีกเหมือนเดิม

เลยตัดสินใจ "ย้ายบ้าน MySql ไปไว้อีก partition"

คำสั่ง

cd /home
mkdir mysql
chown mysql:mysql mysql
cd mysql

perl -pi -e 's/mysqld=ON/mysqld=OFF/' /usr/local/directadmin/data/admin/services.status
/sbin/service mysqld stop

cp -Rp /var/lib/mysql/* .
cd /var/lib
mv mysql mysql_old
ln -s /home/mysql ./mysql

/sbin/service mysqld start
perl -pi -e 's/mysqld=OFF/mysqld=ON/' /usr/local/directadmin/data/admin/services.status

<a class="hashtag" href="/tags/once">#once</a> satisfied that mysqld is running and functioning correctly, remove the old data:

rm -rf mysql_old

ประมาณนี้ (แต่ผมไม่ได้ทำตามนี้เป๊ะ ๆ) คือ ย้ายข้อมูลไปไว้ใน /home แล้วทำ link จาก /var/lib/mysql ให้ชี้ไปที่ /home/mysql

ที่มา directadmin.com

โดย Little Bear on 23 ธ.ค. 56 17:49

SoftGanz Group โดยชื่อแล้วเป็นแก๊งซ์ (gang(z) ที่เขียนโปรแกรม (software) ตั้งแต่จัดตั้งแก๊งมา ก็มีสมาชิกอยู่ 1 คน คือผมเอง (ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นแก๊งได้ยังไง เอาเป็นว่า เป็นแก๊งที่มี 1 คน ก็แล้วกัน) ดังนี้การเขียนโปรแกรม ผมก็เขียนคนเดียว ไล่มาตั้งแต่ คุย requirement , system analyse , database design , php programming , javascript programming , css design , graphic design (บางครั้งก็มีคนอื่นออกแบบให้บ้าง ระยะหลังก็ลอกแบบเขาบ้าง ซื้อแบบเขาบ้าง แล้วแต่สะดวก)

โค๊ดส่วนใหญ่ เมื่อเขียนเสร็จ ตรวจสอบเองว่าผิดบ้างไหม (test เอง QC เอง) เสร็จปุ๊บ ก็อัพโหลดปั๊บเลย (แสดงว่าเป็น nightly build version ตลอด)

เรียกว่าทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว ก็เลยไม่มีระบบอะไรทั้งนั้น

แต่พัฒนาระบบโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่ ไม่สามารถทำอย่างที่ผมทำได้ ต้องมีทีม ต้องมีการวางระบบ งั้นลองมาดูกันว่า ทีมวิศวกรของ Facebook นั้นเขาออกแบบระบบในการพัฒนาโปรแกรมกันอย่างไร (ขออนุญาตนำต้นฉบับจาก blognone.com มาแปะไว้ด้านล่างนี้เลยนะครับ)

ต่อไปนี้เป็นบทความจาก blognone.com นะครับ


หมายเหตุ: ข่าวนี้เหมาะสำหรับคนที่สนใจเรื่องวิศวกรรมซอฟต์แวร์ และการจัดการโครงการซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ เพราะมีบทเรียนของ Facebook ให้เรียนรู้ แนะนำอย่างยิ่งให้อ่านต้นฉบับ (ซึ่งยาวมาก) ครับ

ทีมวิศวกรของ Facebook ใหญ่มาก คิดเป็นครึ่งหนึ่งของพนักงานทั้งบริษัท 2,000 คน โดยแบ่งเป็นทีมซอฟต์แวร์ และทีมดูแลระบบอย่างละครึ่ง (ประมาณทีมละ 400-500 คน) เพื่อให้เข้าใจง่าย ผมแบ่งเนื้อหาเป็น 2 ส่วนตาม 2 ทีมนี้นะครับ

ทีมวิศวกรซอฟต์แวร์

  • วิศวกรใหม่ของ Facebook จะต้องอบรมโครงสร้างและกระบวนการทำงานของบริษัท นานประมาณ 4-6 สัปดาห์ และมีคนไม่ผ่านอบรม ไม่รับเข้าทำงานประมาณ 10% อบรมเสร็จแล้วจะได้สิทธิ์เข้าถึง database ที่กำลังทำงานอยู่
  • วิศวกรทุกคนของ Facebook สามารถแก้โค้ดของซอฟต์แวร์ที่รัน Facebook ได้ตามใจชอบ ไม่จำกัดฝ่าย
  • Facebook มีผู้จัดการผลิตภัณฑ์ (product manager) น้อยมาก ฝ่ายบริหารและการตลาดไม่สำคัญเท่าวิศวกร
  • ผู้จัดการสั่งงานวิศวกรโดยตรงไม่ได้ ต้องใช้การล็อบบี้ คือเสนอไอเดียให้วิศวกร ซึ่งจะเลือกทำหรือไม่ทำก็ได้ ทำเป็นระยะเวลานานแค่ไหนก็ได้ ขึ้นกับวิศวกรแต่ละคน
  • วิศวกรจะทำทุกอย่างเองทั้งหมด ตั้งแต่โค้ดจาวาสคริปต์ไล่ลงไปถึงฐานข้อมูล รวมถึงการแก้บั๊กและดูแลโค้ดหลังใช้งานจริงแล้ว
  • Facebook ไม่มีทีม QA (เป็นหน้าที่ของวิศวกรเอง) และไม่ค่อยใช้ automated unit test (มีบ้างแต่ไม่เยอะนัก)
  • ในกรณีที่ต้องการดีไซเนอร์ วิศวกรก็ต้องไปขายไอเดียให้ดีไซเนอร์สนใจและยอมช่วยทำ แต่ส่วนมากวิศวกรของ Facebook นิยมทำงานระดับฐานราก มากกว่างานระดับอินเทอร์เฟซ
  • กระบวนการ commit โค้ดเข้าระบบ ต้องผ่านการรีวิวจากคนอื่นๆ อย่างน้อยหนึ่งคนเสมอ การส่งโค้ดโดยไม่รีวิวถือเป็นการประสงค์ร้าย และระบบถูกออกแบบมาให้คนอื่นๆ ช่วยกันรีวิวโค้ดได้ง่าย
  • โค้ดบางส่วนที่สำคัญมาก เช่น News Feed มีข่าวว่า Mark Zuckerberg จะเป็นคนรีวิวโค้ดด้วยตัวเองเสมอ
  • ตามธรรมเนียมแล้ว โค้ดของ Facebook รุ่นใหม่จะถูกนำขึ้นเซิร์ฟเวอร์จริงสัปดาห์ละครั้ง ทุกวันอังคาร
  • วิศวกรเจ้าของโค้ดที่จะส่งขึ้นเซิร์ฟเวอร์จริงในสัปดาห์นั้น จะต้องอยู่ที่บริษัทในวันอังคาร และต้องประจำอยู่ใน IRC ของบริษัทเพื่อเตรียมรับมือกับปัญหา

ทีมดูแลระบบเซิร์ฟเวอร์

  • ตอนนี้ Facebook มีเซิร์ฟเวอร์ประมาณ 60,000 ตัว
  • การเปลี่ยนแปลงโค้ดรุ่นใหม่จะแบ่งออกเป็น 3 ระดับกว้างๆ คือ p1 ทดสอบโค้ดใหม่เฉพาะภายใน p2 ปล่อยโค้ดใหม่ต่อสาธารณะในวงจำกัด และ p3 เปลี่ยนโค้ดหมดทั้งเว็บ
  • ชุดของเซิร์ฟเวอร์ที่เล็กที่สุดสำหรับทดลองโค้ดใหม่ ประกอบด้วยเซิร์ฟเวอร์ 6 ตัว
  • ทุกวันอังคาร ทีมระบบจะเริ่มทดสอบจาก 6 ตัวนี้ก่อน ถ้าผ่านก็จะไล่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ถ้าไม่ผ่าน วิศวกรจะต้องกลับไปแก้โค้ดใหม่ และเริ่มทดสอบจากชุดเล็กสุดเสมอ
  • ทีมดูแลระบบมีตัวชี้วัดหลายอย่าง ทั้งด้านเทคนิค และด้านพฤติกรรมของผู้ใช้ ถ้าหากโค้ดรุ่นใหม่ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้ใช้เปลี่ยนไป ก็จะสามารถตรวจพบได้ทันที
  • เมื่อโค้ดผ่านการทดสอบทั้งหมดแล้ว จะถูกรวมเข้ากับโค้ดจริงที่จะปล่อยในวันอังคาร

ที่มา - blognone.com , FrameThink

โดย Little Bear on 11 ธ.ค. 56 18:09

Dan Muriello วิศวกร ได้เผยถึงแนวคิดในการสร้างปุ่ม “sympathize”  ในงาน Compassion Research Day ประจำปีของ Facebook ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า เพราะผู้ใช้ Facebook นั้นใช้การกดไลค์ ในการแสดงความรับรู้สิ่งต่างๆบน Facebook และในบางครั้งการกดไลค์ก็นำมาซึ่งปัญหาได้ เพราะในบางครั้งพวกเขาเพียงต้องการแสดงให้เห็นว่า “ฉันได้อ่าน/เห็นสิ่งที่คุณแชร์แล้ว” แต่ไม่ได้ต้องการสื่อสารว่า “ฉันชอบสิ่งนี้”จริงๆ

บางส่วนบางตอนจาก Facebook เตรียมทดลองปุ่ม “sympathize” แสดงความเห็นใจหากกรณีไหนไม่ควรกดไลค์

617 items|« First « Prev 19 20 (21/62) 22 23 Next » Last »|