ก๊วนซอฟท์แวร์ </softganz> SoftGang (Gang Software)

Web &amp; Software Developer Gang.

Topic List

52 items(1/6) 2 3 4 5 Next » Last »|
โดย Little Bear on 2 ก.ย. 58 09:33

ตัวแปรสำคัญที่สามารถจะอธิบายถึงลักษณะผลตอบแทนของ บัฟเฟตต์ ออกมาก็คือ

  1. Safe : ความปลอดภัย หรือความผันผวนของหุ้นที่ต่ำกว่าตลาด โดยพวกเขาได้พบว่า บัฟเฟตต์ มักเลือกซื้อหุ้นที่มีความผันผวนที่ต่ำกว่าตลาดอยู่เสมอ (เช่น Low Volatility or Low Beta)

  2. Cheap : ราคาที่ถูก หรือ ส่วนต่างของราคากับมูลค่าของหุ้นในขณะนั้น โดยพวกเขาได้พบว่า มักเลือกซื้อหุ้นในราคาที่ถูกกว่ามูลค่าอยู่เสมอ (เช่น Low Value or Low Price-to-Book Ratio)

  3. Quality : กิจการที่ดี หรือ ความสม่ำเสมอของผลกำไร อัตราการเติบโต และอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูง (Payout Ratio) โดยพวกเขาได้พบว่า บัฟเฟตต์ มักเลือกซื้อหุ้นที่มีคุณภาพของกิจการที่ดีอยู่เสมอ

ลองอ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ mangmaoclub.com

โดย Little Bear on 21 เม.ย. 58 22:00

TerraBKK Research เป็นผู้รวบรวมข้อมูลรายชื่อบริษัทไทยที่มี ROE มากกว่า 25% ที่น่าสนใจเอาไว้ให้ไปลองศึกษาเพิ่มเติมในหุ้นที่น่าสนใจ

ที่มา terrabkk.com

 คำอธิบายภาพ : ROE_CHART-57

 คำอธิบายภาพ : ROE_TABLE-57

 คำอธิบายภาพ : ROE_Trend-57

โดย Little Bear on 4 เม.ย. 58 00:08

เครดิตภาพจาก www.aommoney.com

ได้อ่านบทความ 3 ตัวช่วย รวยด้วยหุ้นเทคนิค ที่ ออมมันนี่ เขียนเอาไว้ อ่านแล้วมองเห็นภาพอะไร ๆ ได้ดีขึ้นมาอีกเยอะ เลยขอเก็บเองลิงก์มารวบรวมไว้อีกรอบนะครับ

ตอนที่ 1 ทำความรู้จักกับ Indicators

ตอนที่ 2 ทำความรู้จักกับ EMA

ตอนที่ 3 วิธีใช้งานเส้น EMA ที่ไม่ถูกต้อง

ตอนที่ 4 วิธีใช้งานเส้น EMA ที่ถูกต้อง

ตอนที่ 5-1 ทำความรู้จัก MACD

ตอนที่ 5-2 ทำความรู้จัก Signal Line และ MACD Histogram

ตอนที่ 6 วิธีใช้งาน MACD ที่ไม่ถูกต้อง

ตอนที่ 7 วิธีใช้งาน MACD ที่ถูกต้อง

ตอนที่ 8 ทำความรู้จัก RSI

ตอนที่ 9 วิธีใช้งาน RSI ที่ไม่ถูกต้อง

ตอนที่ 10 วิธีใช้งาน RSI ที่ถูกต้อง

ตอนที่ 11 4 คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับ Indicators ที่มือใหม่ต้องรู้

ตอนที่ ? เจาะลึก indicator ยอดฮิต ตอนที่ 4 "RSI"

โดย Little Bear on 8 ม.ค. 58 21:55

ข้อที่ 1: เทรดโดยไม่มีหลักการ

“ถ้าคุณไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงซื้อหุ้นตัวนั้น คุณก็จะไม่รู้ว่าควรขายมันตอนไหน ซึ่งนั่นมักจะทำให้คุณขายหุ้นทิ้งตอนที่ราคาของมันทำให้คุณกลัว ทั้งๆที่โดยส่วนมากแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณกลัวราคาหุ้นในขณะนั้น มันคือโอกาสซื้อ ไม่ใช่จุดบ่งชี้ว่าคุณควรขายมันทิ้ง” – Martin Taylor –

ถ้าคุณไม่มีจุดยืน คุณก็ไม่มีแก่นหรือสิ่งใดให้ยึดถือปฏิบัติ ถ้าคุณไม่มีเป้าหมายว่าจะไปที่ใด คุณก็ไม่มีวันไปถึงจุดหมาย… จงกำหนดหลักการ วางแผนการลงทุน และทำตามแผนที่คุณวางไว้เสมอ เพราะถ้าคุณไม่มีแผนการของตนเอง คุณก็จะต้องตกอยู่ในแผนการของคนอื่น

ข้อที่ 2: เข้าซื้อหุ้นไม้ใหญ่เกินไป (Trading too big)

“นักลงทุนมักจะให้ความสำคัญเกือบทั้งหมดไปที่จุดเข้าซื้อ (entry price) ทั้งๆที่โดยส่วนมากแล้ว ขนาดของ lot (entry size ) ในแต่ละครั้งมีความสำคัญกว่าจุดเข้าซื้อ เพราะหาก entry size แต่ละครั้งใหญ่มากเกินไป เวลาที่ราคาปรับตัวลงอย่างไม่มีนัยสำคัญ มันก็มักจะทำให้คุณกลัวและอกออเดอร์ก่อนทั้งที่ยังมีแนวโน้มดีนั้นทิ้งไป ดังนั้น ยิ่งขนาดของ lotใหญ่มากไปเท่าไร ความกลัวจะเข้ามาครอบงำการตัดสินใจของคุณ แทนที่จะตัดสินใจจากแผนการและประสบการณ์ที่พิจารณาอย่างดีแล้ว” – Steve Clark –

การเทรดครั้งเดียวใน lot ที่ถือว่ามีสัดส่วนที่เยอะของพอร์ต จะทำให้คุณขายหมูเพราะความกลัวของคุณ ไม่ใช่เพราะระบบลงทุนของคุณบอกให้ขาย ดังนั้น ก่อนที่จะเทรด คุณควรกำหนดจำนวนเงินที่คุณสามารถยอมรับขาดทุนได้ให้อยู่ในระดับที่ไม่เสี่ยงมากไป ตัวอย่างเช่น เงินในพอร์ตมี 1000$ คุณยอมรับขาดทุนได้ 200$/ครั้ง โดยที่จุดตัดขาดทุนของคุณคือ เมื่อราคาทะลุแนวต้านล่าสุดของเมื่อวานไป

ข้อที่ 3: ซื้อขายมากเกินไป (Overtrading)

การที่เราจะเทรดบ่อยขนาดไหนนั้นขึ้นอยู่กับแนวทางการลงทุนของเรา แต่ไม่ว่าคุณจะใช้แนวทางลงทุนแบบไหนก็ตาม การซื้อขายน้อยครั้งย่อมดีกว่าเสมอ (less is more) อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดไป เพราะไม่ว่าคุณจะทำการบ้านหรือเตรียมตัวมาอย่างดีแค่ไหนก็ตาม แต่กราฟนั้นก็มักจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอยู่บ่อยๆ ดังนั้น คุณควรจะมีไอเดียหรือกราฟที่จะเลือกลงทุนมากกว่า 1 ตัวอยู่เสมอ แต่การที่คุณซื้อๆขายๆในค่าเงินทุกตัวที่เกิดสัญญาณ ทำให้เงินลงทุนและพลังงานของคุณถูกกระจายออกไปในกราฟหลายตัวมากจนเกินไปนั้น คงไม่ใช่การตัดสินใจที่ฉลาดนัก

คุณควรยึดมั่นอยู่กับสิ่งที่คุณรู้และเข้าใจ เลือกใช้วิธีการที่คุณทำแล้วได้ผล อย่าหลงไปตามกระแสข่าวลือหรือการลงทุนที่คุณไม่ได้เปรียบ และหลีกเลี่ยงการลงทุนใดๆก็ตามที่คุณไม่ได้มีความเข้าใจในสิ่งนั้นเลยแม้แต่น้อย

“ในบางครั้ง การเทรดที่ดีที่สุดก็คือ การไม่เทรดเลย และตั้งมั่นอยู่ระบบที่เราถือ” ผมรู้ดีว่าในช่วงตลาดกระทิงดุนั้น มันมีสิ่งที่เย้ายวนใจมากที่จะทำให้คุณเทรดบ่อยครั้ง เมื่อกราฟเกือบทุกตัวขึ้นไปทะลุ High เดิม คุณรู้สึกเหมือนเด็กที่อยู่ในร้านขนมหวานแล้วไม่รู้จะเลือกหยิบขนมชิ้นไหนดี จงเลือกกราฟเพียงไม่กี่ตัวในจังหวะเวลาที่เหมาะสม อย่าพยายามที่จะไล่เทรดทุกตัว เพราะคุณไม่สามารถทำได้ (ยกเว้นว่าคุณเป็นคอมพิวเตอร์!!!)

เบื้องหลังของความผิดพลาดในข้อที่ 2 และ ข้อที่ 3 มักจะเกิดจากความมั่นใจที่มากเกินไปถึงแม้้ว่าความมั่นใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญในการทำตามแผนและระบบลงทุนของคุณ แต่ถ้ามีความมั่นใจที่มากเกินพอดี (Overconfidence) มันจะก่อให้เกิดผลเสีย เพราะความมั่นใจที่มากเกินไปนั้น เป็น 1 ในเหตุผลสำคัญที่ว่า ทำไมนักลงทุนและนักเก็งกำไรที่มีประสบการณ์จึงยังสามารถขาดทุนได้

เมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกว่า ความสำเร็จของคุณในตลาดมาจากการที่คุณเป็นอัจฉริยะ ไม่ได้มาจากความคิดที่รอบคอบและไตร่ตรองอย่างระมัดระวังในการลงทุน ก็เท่ากับว่าคุณใกล้ถึงเวลาที่จะขาดทุนแล้ว

ข้อที่ 4: เฝ้าดูกราฟมากเกินไป (Watching your stocks too closely)

“การเฝ้ามองกราฟบนหน้าจอทั้งวันนั้น ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆและเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ผมเชื่อว่าการเฝ้าดูทุกคำสั่งซื้อขายจะทำให้คุณขายหมูก่อนเวลาอันควร และ มักทำให้คุณ buy ในราคาที่สูงเกินไปหรือ sell ในราคาที่ต่ำเกินไปของวันนั้น รวมถึงทำการ Overtrading ผมแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการเฝ้ามองกราฟตลอดเวลา และหันไปทำสิ่งอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุนและต่อตัวของคุณเองในช่วงเวลาซื้อขาย เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านั้น” - Steve Clark –

“หากคุณใช้เวลาอยู่ในร้านตัดผมสักพักหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็วคุณจะคิดว่าคุณต้องตัดผม ทั้งๆที่คุณหัวล้าน” – Warren Buffett –

การเฝ้ามองกราฟอย่างใกล้ชิดจะทำให้เกิดผลเสียต่อผลตอบแทนของคุณ เมื่อคุณเข้าเข้าเทรดแล้ว คุณไม่ควรซื้อขายเพียงเพราะเห็นคำสั่งซื้อขายเล็กๆน้อยๆที่สวนทางกับ Position ของคุณ การเฝ้ามองกราฟมากเกินไปนั้น ก็เปรียบเหมือนคุณนั่งอยู่ในร้านเบเกอรี่แสนอร่อยขณะที่คุณกำลังลดความอ้วน ดังนั้น คุณควรหาสิ่งอื่นทำแทนที่จะนั่งเฝ้าดูกราฟทั้งวัน อย่างเช่นการอ่านหนังสือ ออกกำลังกาย หรือ อะไรก็ตามที่ทำให้ไม่ต้องยุ่งกับการดูราคาหุ้นระหว่างวันมากเกินไป หากคุณยังสงสัยอยู่ว่า ก็ผมเป็นเทรดเดอร์แล้วจะไม่ให้เฝ้าหน้าจอได้อย่างไร? ผมขอทิ้งท้ายไว้ด้วยคำคมของ โซรอส นะครับ ลองเอาไปเปรียบเทียบกับการเทรดดู

“ถ้าคุณออกไปทำงานทุกวัน เพียงเพราะคิดว่าคุณต้องทำอะไรซักอย่าง ผลก็คือ มันทำให้คุณมักจะทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อะไรเพื่อไม่ให้เบื่อไปวันๆ ซึ่งผมคิดว่าคุณควรจะอยู่เฉยๆดีกว่า ปกติแล้วผมจะไปทำงานเฉพาะเวลาที่มีงานให้ทำ ในเวลาที่มันควรค่าแก่การทำจริงๆ ผลก็คือ ผมเรียนรู้ที่จะสามารถแยกแยะได้ว่า วันไหนที่มีงานสำคัญกว่าวันอื่นๆ และรู้ว่าเวลาไหนที่ควรมุ่งมั่นกับงานเป็นพิเศษ”

Credit www.thaiforexschool.com ศ.เกื้อกุล วัยรุ่นพันล้าน

โดย Little Bear on 5 ธ.ค. 57 14:25

มีคนเขียน สรุปหนังสือ “Beating the Street" ของ Peter Lynch เอาไว้ ผมไปเห็นใน Facebook ของ รู้ทันหุ้นบ่าย เลยขออนุญาตนำมาเก็บไว้ในเว็บตนเองนะครับ อ่านกันได้เลยครับ ยาวมากๆ

  1. คุณจะซื้อหุ้นแบบไหน หุ้นเล็กหรือหุ้นใหญ่ ไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณได้ลงทุนในหุ้นแล้ว เพราะประเด็นหุ้นเล็ก หุ้นใหญ่เป็นประเด็นรองจริงๆ วิธีคิด คือ ลงทุนในหุ้นเสียเถอะ ถ้าต้องการผลตอบแทนในระยะยาวที่ดี

  2. ลินซ์กล่าวว่า นักลงทุนมือสมัครเล่นที่สามารถเจียดเวลาเพียงไม่มากนักกับการศึกษาบริษัทในอุตสาหกรรมที่เขามีความรู้จะสามารถเอาชนะผู้จัดการกองทุนได้ แถมมาด้วยความสนุกอีกต่างหาก

โดย Little Bear on 2 ธ.ค. 57 08:52

ช้อป 20 หุ้นหลบภัย P/E ต่ำ พื้นฐานดีราคามีอัพไซด์ :ยก RML-ANAN-SPALI

เปิดโผ 20 หุ้นหลบภัย P/E ต่ำ มีอัพไซด์ทุกตัว โบรกฯ การันตีพื้นฐานรองรับ RML-ANAN-SPALI-PS เด่นกลุ่มอสังหาฯ ฟากกลุ่มไอซีทีชู JAS-AIT กลุ่มธนาคาร TMB-KTB-KBANK หุ้นก่อสร้าง TRC-SEAFCO หุ้นพลังงาน PTT

จากการสำรวจกลุ่มหุ้นที่มีค่า P/E ต่ำกว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระดับ 19 เท่า โดยเป็นบริษัทที่มีแนวโน้มทำผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4/57 และภาพรวมปี 2557 เติบโตเป็นอย่างดี มีราคาหุ้นในกระดานต่ำกว่าราคาเป้าหมาย และเป็นหุ้นพื้นฐานที่มีบทวิเคราะห์ของโบรกฯ รองรับ มีอยู่ทั้งหมด 20 บริษัท ได้แก่

โดย Little Bear on 26 พ.ย. 57 00:41

10 หุ้นปันผลเด่นจ่ายเกิน 5% ติดกัน 5 ปี

  1. ASP ปันผล 10.20%
  2. CM ปันผล 7.75%
  3. GC ปันผล 7.55%
  4. KGI ปันผล 10.84%
  5. LEE ปันผล 7.43%
  6. MBKET ปันผล 10.88%
  7. MCOT ปันผล 10.34%
  8. PATO ปันผล 7.24%
  9. SSSC ปันผล 7.92%
  10. TCCC ปันผล 7.59%

เครดิต Money Channel.co.th

โดย Little Bear on 16 พ.ย. 57 10:24

เรื่องของการลงทุนนั้น สิ่งที่เราต้องพูดถึงกันเป็นประจำก็คือ “ผลตอบแทนการลงทุน” เพราะนี่คือหัวใจสำคัญที่จะบอกว่านักลงทุนแต่ละคนประสบความสำเร็จแค่ไหน การวัดผลตอบแทนการลงทุนนั้น ถ้าวัดกันด้วยเม็ดเงินที่ลงทุนเพียงครั้งเดียวและในเวลาสั้น ๆ ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก ตัวอย่างเช่น ถ้าตอนต้นปีเรามีเงินลงทุน 1 ล้านบาท พอถึงปลายปีเงินกลายเป็น 1.1 ล้านบาท โดยที่เราไม่ได้ใส่เงินเพิ่มหรือเอาเงินออกมาจากการลงทุนเลย แบบนี้แปลว่าผลตอบแทนเท่ากับ 10% ต่อปี ซึ่งหาได้โดยการเอาจำนวนเงินปลายปีลบด้วยเงินต้นปีหารด้วยเงินตอนต้นปีคูณด้วยร้อย นี่ก็คือการคำนวณหาผลตอบแทนพื้นฐานของ “ผลตอบแทนต่อปี” ที่เราใช้พูดถึงหรืออ้างอิงกันตลอด

นักลงทุนผู้มุ่งมั่นนั้นย่อมไม่ลงทุนเพียงปีเดียวและไม่วัดผลเพียงปีเดียว การลงทุนหลายปีนั้นทำให้เราต้องวัดผลหลายปีแล้วนำมาหาค่า “ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี” เพื่อที่จะนำไปเปรียบเทียบกับค่าผลตอบแทนอ้างอิงต่าง ๆ ได้ แต่ “ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี” นี้มีวิธีคิดหลายวิธีซึ่งอาจจะให้ผลที่แตกต่างกันมากจนทำให้เราเข้าใจผิดนึกว่าเราทำผลงานได้ดีทั้งที่ผลงานเราไม่ได้เรื่องก็เป็นได้ ลองมาดูกันว่ามีวิธีคิดผลตอบแทนเฉลี่ยแบบไหนบ้างและเราควรเลือกใช้วิธีไหน

โดย Little Bear on 6 พ.ย. 57 15:14

กำลังนั่งคิดอยู่ว่า ตอนนี้ราคาน้ำมันโลกลดลงเยอะ เหตุหนึ่งที่รู้คืออเมริกาสามารถสกัดน้ำมันจากหินน้ำมันได้ในต้นทุนที่ต่ำจนคุ้มทุนที่ 50$/บาเรล ทำให้ลดปริมาณการซื้อจากต่างประเทศไปได้เกือบครึ่ง (ลดลงถึง 8 ล้านบาเรลต่อวัน) น้ำมันก็เลยล้นตลาด

แล้วผลกระทบที่เกิดขึ้นคืออะไร เช่น จะมีการใช้ในำมันเพิ่มขึ้นไหม? ยอดการผลิตและขายเอธิลจะเพิ่มขึ้นไหม? หรือธุรกิจพลาสติกจะมีผลอย่างไร ต้นทุนจะลดลงไหม?

52 items(1/6) 2 3 4 5 Next » Last »|