ก๊วนซอฟท์แวร์ </softganz> SoftGang (Gang Software)

Web &amp; Software Developer Gang.

สรุปหนังสือ “Beating the Street" ของ Peter Lynch โดย รู้ทันหุ้นบ่าย

by Little Bear @5 ธ.ค. 57 14:25 ( IP : 49...155 ) | Tags : หุ้น

มีคนเขียน สรุปหนังสือ “Beating the Street" ของ Peter Lynch เอาไว้ ผมไปเห็นใน Facebook ของ รู้ทันหุ้นบ่าย เลยขออนุญาตนำมาเก็บไว้ในเว็บตนเองนะครับ อ่านกันได้เลยครับ ยาวมากๆ

  1. คุณจะซื้อหุ้นแบบไหน หุ้นเล็กหรือหุ้นใหญ่ ไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณได้ลงทุนในหุ้นแล้ว เพราะประเด็นหุ้นเล็ก หุ้นใหญ่เป็นประเด็นรองจริงๆ วิธีคิด คือ ลงทุนในหุ้นเสียเถอะ ถ้าต้องการผลตอบแทนในระยะยาวที่ดี

  2. ลินซ์กล่าวว่า นักลงทุนมือสมัครเล่นที่สามารถเจียดเวลาเพียงไม่มากนักกับการศึกษาบริษัทในอุตสาหกรรมที่เขามีความรู้จะสามารถเอาชนะผู้จัดการกองทุนได้ แถมมาด้วยความสนุกอีกต่างหาก

  3. ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีไหนก็ตามในการเลือกหุ้นหรือกรองหุ้นลงทุน สุดท้ายแล้วสิ่งที่จะตัดสินว่า คุณจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็คือ ความสามารถของคุณในการเพิกเฉยต่อความกังวลกับเรื่องต่างๆในโลกได้ยาวนานพอที่จะทำให้การลงทุนของคุณประสบความสำเร็จ สิ่งที่จะกำหนดชะตากรรมของนักลงทุน ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาด แต่เป็นความสามารถในการควบคุมอารมณ์ต่างหาก นักลงทุนขี้ตกใจจะถูกกดดันให้ออกจากตลาดในยามที่ตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้าย ไม่ว่าพวกเขาจะเฉลียวฉลาดปานใดก็ตาม

  4. กฎข้อ 3 ของลินซ์: อย่าพึ่งซื้อหุ้นตัวไหนจนกว่าคุณจะสามารถอธิบายมันออกมาเป็นภาพวาดได้

  5. การซื้อลงทุนในสิ่งที่คุณมีความรู้ ความเข้าใจเป็นหนึ่งในความคิดหลักของพวกเรา และในพอร์ตหุ้นควรจะมีหุ้นปันผลดีอย่างน้อย 1-2 ตัวเสมอ

  6. การศึกษารายงานเหล่านี้ทำให้ผมตระหนักว่า หุ้นหลายๆตัวที่ผมได้ขายออกไปหลังจากที่ซื้อมาได้สองสามเดือนเป็นหุ้นที่ผมควรจะถือเอาไว้ยาวนานกว่านั้นมาก นี่ไม่ใช่ความภักดีแบบไม่มีเงื่อนไข แต่เป็นการกอดหุ้นของบริษัทที่ดูน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆเอาไว้ รายชื่อหุ้นที่ผมไม่ควรขายออกไป ประกอบด้วย Albertson’s หุ้นโตเร็วที่ราคาได้เพิ่มสูงขึ้น 300 เท่า Toy R US, Pic N Save ที่ได้กล่าวไปแล้ว Warner communications หุ้นที่นักวิเคราะห์ทางเทคนิคแนะนำให้ผมขาย และ Federal Express หุ้นทีผมซื้อมาในราคา $5 และขายทำกำไรไปที่ราคา $10 แล้วก็ได้แต่นั่งมองราคาของมันขึ้นไปที่ $ 70 ภายในระยะเวลา 2 ปี

  7. เวลาที่ Lynch พูดคุยกับ CEO ของบริษัทต่างๆเขามักจะจบด้วยคำถามที่ว่า “คุณนับถือคู่แข่งรายไหนของคุณมากที่สุด” ถ้ามีคำตอบมันก็จะเป็นการรับรองความเก่งของบริษัทคู่แข่งที่ทรงพลังมากทีเดียว ในท้ายที่สุด Lynch ก็จะทำการสั่งซื้อหุ้นของบริษัทคู่แข่งของพวกเขาอยู่บ่อยๆ

  8. ไม่ว่าคุณจะคิดว่า คุณรู้จักบริษัทดีแค่ไหน มันจะมีบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้คุณรู้สึกประหลาดใจเกิดขึ้นเสมอ

  9. หุ้นถูกเป็นสิ่งที่พิเศษสำหรับนักลงทุนพันธ์แท้ ความมั่งคั่งที่ลดลงไป 10-30% ในช่วงที่ตลาดตกต่ำไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เราไม่ได้มองการตกลงของตลาดเป็นหายนะ แต่มองมันเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มที่ราคาถูกๆ นี่เป็นเส้นทางที่จะนำไปสู่ความร่ำรวย

  10. เมื่อไหร่ที่ความคาดหวังของนักลงทุนมีสูงเกินไปกับบริษัทหนึ่งๆ จนผลการดำเนินงานตามไม่ทัน เมื่อนั้นตลาดก็จะทำการเทขายหุ้นอกมา แล้วเราค่อยไปติดตามดูทีหลังก็ได้ว่ากิจการเป็นอย่างไร มีแนวโน้มการทำกำไรดีขึ้นหรือไม่ อย่าเข้าไปตอนที่หุ้นกำลังร้อนแรง เต็มไปด้วยความคาดหวัง เพราะเราอาจจะอยู่บนดอยได้ อิ อิ

  11. นักลงทุนที่พอร์ตเล็ก อาจจะใช้กฎหุ้น 5 ตัวและเลือกซื้อหุ้นเข้าพอร์ตเพียงห้าตัว หากหุ้นตัวหนึ่งของคนให้กำไรคุณ 10 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นอีก 4 ตัวไม่ไปไหน พอร์ตของคุณโดยรวมก็โตเป็นสามเท่าแล้ว

  12. หากหุ้นมีราคาสูงกว่าเส้นกราฟของผลกำไรของมัน ราคาหุ้นจะไม่ไปไหนหรือไม่ก็จะตกลงมาจนกระทั่งราคาของมันกลับมามีควาสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น

  13. ให้ซื้อหุ้นในตอนที่เส้นราคาหุ้นอยู่ที่เดียวกับหรือต่ำกว่าเส้นผลกำไรและอย่าซื้อหุ้น หากเส้นราคาอยู่สูงกว่าเส้นกำไร

  14. การจำกัดการซื้อขายหุ้นของคุณในบริษัทจำนวนหนึ่งที่คุณสามารถติดตามได้อย่างทั่วถึงเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว เมื่อครั้งที่คุณได้ซื้อหุ้นตัวหนึ่งมาแล้ว คุณจะได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับอุตสาหกรรมและบริษัทนี้ คุณจะได้เรียนรู้ว่า บริษัทนี้เป็นอย่างไรบ้างในช่วงที่เกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัจจัยอะไรบเงที่มีผลต่อการทำกำไรและอื่นๆ ไม่ช้าก็เร็ว ข่าวร้ายจะทำให้ตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวลงและหุ้นตัวเก่าๆที่คุณชอบก็จะกลับมามีราคาถูกอีกครั้ง ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนของคุณ

  15. หุ้นต้องได้รับการตรวจสอบเป็นระยะๆเพื่อดูว่ามันมีเรื่องราวหรือจุดหักเหอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นหรือไม่ หากบริษัทยังไม่ล้มละลาย เรื่องราวก็ยังไม่จบ หุ้นที่คุณเคยมีเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หรือ 2 ปีที่แล้ว อาจจะกลับมามีความน่าสนใจในการลงทุนอีกครั้งก็เป็นได้ ดังนั้นการจดบันทึกเป็น diary เรื่องราวเกี่ยวกับหุ้นที่เคยซื้อ เคยขาย และเหตุผลในการซื้อขายก็จะทำให้เราสามารถกลับมาทบทวนได้เสมอ

  16. การคัดเลือกหุ้นเป็นทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม การให้น้ำหนักทางด้านใด ด้านหนึ่งมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดอันตรายได้ คนที่มุ่งเน้นแต่ในเรื่องของตัวเลขและงบดุลเพียงอย่างเดียว จะมีโอกาสประสบความสำเร็จน้อย เพราะถ้าหากคุณสามารถบอกอนาคตจากการดูงบดุลได้แล้วล่ะก็ นักคณิตศาสตร์และนักบัญชีจะกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกไปแล้วในขณะนี้

  17. เครื่องมือที่ซับซ้อนต่างๆ การใช้บริการข้อมูลของโบรกเกอร์ นักวิเคราะห์ ตามแหล่งข้อมูลต่างๆทั้งที่จ่ายเงินและไม่จ่ายเงินจะไม่มีประโยชน์เลย หากคุณไม่ได้ทำการบ้านเกี่ยวกับบริษัทด้วยตัวเอง เอาเวลาไปเดินตามศูนย์การค้าเพื่อตรวจสอบสินค้า ออกไปเสาะหาข้อมูลจริงๆจะดีกว่าถ้าทำได้ (Scuttlebut)

  18. นักลงทุนรายย่อย ไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นเป็นร้อยๆตัวเหมือนผม (Lynch) ทั้งหมดที่พวกเขาต้องการคือ หาหุ้นที่กำไรมากๆสองสามตัวในทุกๆ 10 ปีเท่านั้น

  19. ถ้าเราสนใจในบริษัทโตเร็วแห่งหนึ่งแต่ราคาสูงมากเกินไปแล้ว (PE สูงมาก) วิธีการที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์แบบนี้ก็คือ การซื้อหุ้นในจำนวนน้อยๆก่อนและค่อยซื้อเพิ่มในตอนที่ตลาดเกิดการเทขาย และสำหรับหุ้นโตเร็ว คุณสามารถที่จะรอจนเรื่องราวมันชัดเจนแล้วค่อยเข้าไปลงทุน คุณไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเข้าไปซื้อหุ้นในตอนเริ่มต้นในตอนที่ร้านกำลังขยายสาขาแค่ 100 สาขา เอาไว้ให้มีความชัดเจนมากขึ้น แล้วค่อยไปลงทุนก็ยังไม่สายเมื่อบริษัทขยายไปแล้ว 200 สาขา แต่ยังโตได้อีกเป็น 400 หรือ 500 หรือแม้กระทั่ง 1000 สาขา

  20. หุ้นที่ขึ้นมาแล้ว 10 เท่าไม่ใช่มันจะไปต่อเป็น 20 เท่า 30 เท่าไม่ได้ ถ้าเรื่องราวมันยังดีอยู่ และมันยังโตต่อเนื่อง

  21. เทคนิคหนึ่งที่ใช้ได้ผลครั้งแล้วครั้งเล่าก็คือ การรอคอยให้ความคิดเห็นส่วนใหญ่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมหนึ่งๆเปลี่ยนจากไม่ดีกลายมาเป็นแย่สุดๆ จากนั้นก็เข้าไปซื้อหุ้นของบริษัทที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม (แต่ก็ไม่เสมอไปให้ดูประกอบกับข้อมูลที่ว่าสถานการณ์มันกำลังจะดีขึ้น)

  22. ในสภาวะที่เศรษฐกิจถดถอยมันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตัวเลข SSS (same store sales) จะมีค่าลดลง แต่จะเป็นเรื่องแปลกถ้าหากพบว่าตัวเลข SSS มีค่าลดลงในสภาวะที่เศรษฐกิจดีขึ้น

  23. วิธีการหนึ่งในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทก็คือ การเปรียบเทียบ market cap ของบริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายๆกัน ดูว่าราคาของบริษัทที่เราสนใจในปัจจุบันมันสมเหตุสมผลหรือไม่ เมื่อเทียบกับบริษัทที่ใกล้เคียง ถ้ามันถูกต่างกันมากก็ให้ทำการวิเคราะห์ต่อว่ามันสมควรแล้วที่ถูก หรือถ้าเราไม่สามารถหาความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ อะไรก็คล้ายกันไปหมด ความสามารถในการทำกำไรก็ไม่ต่างกัน และพบว่ามันถูกแบบไร้เหตุผล ก็ให้ทำการเคาะขวาได้เลย อย่ารอช้าเดี๋ยวราคาหุ้นจะวิ่งหนีก่อน

  24. เมื่อไหร่ก็ตามที่แม้กระทั่งนักวิเคราะห์เองก็เริ่มรู้สึกเบื่อ มันจะได้เวลาของการเริ่มซื้อหุ้น

  25. S&L (saving and loan) เช่นกลุ่มธนาคาร ตัวเลขที่มีความสำคัญมากๆเช่น equity-to-assets ratio อย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 7.5% ยิ่งสูงยิ่งดี ตัวต่อมาคือ เงินปันผล BV PBV < 1 ยิ่งดี เปอร์เซ็นหนี้เสียน้อยๆ เปอร์เซ็นการให้สินเชื่ออสังหาฯเชิงพาณิชย์น้อยๆ กล่าวคือ ต้องดูพอร์ตสินเชื่อว่ามีโอกาสที่จะกลายเป็นหนี้สูญมากน้อยไหน

  26. Lynch มักจะชอบกิจการที่ยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ย่ำแย่ เพราะเขามีความเชื่อว่ากิจการเหล่านี้มีความแข็งแกร่ง สามารถรอดพ้นสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยได้ และสามารถได้ market share เพิ่มจากกิจการอื่นๆที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแต่ได้ล้มหายตายจากไป

  27. หากทุกๆอย่างดูเหมือนกันหมดให้ทำการลงทุนในกิจการที่มีรูปสีปรากฏอยู่ในรายงานประจำปีน้อยที่สุด

  28. หุ้นศูนย์การค้าให้ดูพื้นที่เช่า ถ้าว่างมากไม่ดี และให้ดูการเซ็นสัญญาเช่าจริงๆเสียก่อน อย่าฟังแต่ข่าวว่าจะมาเช่า ให้ชัวร์ๆก่อนแล้วค่อยเข้าไปซื้อก็ได้ แพงเพิ่มอีกหน่อย แต่มั่นใจดี

  29. ปันผลของหุ้นก็ให้ดูความสม่ำเสมอและแนวโน้มควรจะปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกำไรที่เพิ่มขึ้น หุ้นปันผลดี สม่ำเสมอ มักจะเป็น defensive stock ถ้าราคาลงก็เป็นโอกาสซื้อที่ดี แต่ต้องเช็คให้รอบด้านก่อนซักนิดก่อนซื้อ ก็จะปลอดภัย

  30. ไม่ว่าเงินปันผลจะดีแค่ไหน ราคาหุ้นก็จะไม่ค่อยดีนัก หากผลกำไรของบริษัทไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

  31. นักลงทุนควรจะตรวจสอบหุ้นทุกตัวในพอร์ตของตัวเองทีละตัว และดูว่ามีเหตุผลอะไรหรือป่าวที่จะทำให้ปีหน้ามันดีกว่านี้ หากคุณหาเหตุผลไม่เจอ คำถามที่คุณควรจะถามต่อไปก็คือ ทำไมผมจึงยังถือหุ้นตัวนี้อยู่?

  32. การที่บริษัท X ทำการซื้อกิจการทั้งบริษัทของบริษัท Y มา ถ้าบริษัท X ซื้อมาในราคาแพงกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท Y บริษัท X จะต้องทำการบันทึก ค่าความนิยม (Goodwill) ในบัญชีสินทรัพย์ของตัวเองและทำการตัดจำหน่ายออกไปในจำนวนปีที่คิดว่าจะได้ประโยชน์จากค่าความนิยมนี้ ซึ่งต้นทุนค่าความนิยมนี้จะเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ซึ่งทำให้กำไรของบริษัทน้อยกว่าความเป็นจริง ดังนั้น การดูงบกระแสเงินสดจะช่วยได้

  33. ในบางกรณีบริษัทที่ทำธุรกิจโดยการกู้เงินมาลงทุนและต้องทำการจ่ายดอกเบี้ย ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ กระแสเงินสดอิสระ (FCF) ที่บริษัทสามารถทำได้มีค่ามากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องชำระมากๆเช่น สามถึงสี่เท่า ให้มั่นใจได้เลยว่าบริษัทเจ๊งยาก และมั่นคงพอสมควร

  34. หุ้นยานยนต์ ในช่วงขาลงจะสังเกตเห็นยอดขายรถจริงจะต่ำกว่ายอดประมาณการมาก และยอดขายจะตกมากกว่าปีก่อนแม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะดีก็ตาม แต่ในทางกลับกันในสภาวะที่เป็นขาขึ้นของกลุ่มยานยนต์ ยอดขายจริงจะกลับมาสูงกว่ายอดขายประมาณการมาก และขาขึ้นจะกินเวลาประมาณ 4-5 ปี ดังนั้นเราอย่าพึ่งขายหมู ให้พยายามตักตวงสภาวะขาขึ้นก่อน ในทางขาลงระยะเวลาก็จะประมาณสี่ถึงห้าปีเช่นกัน

  35. หุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภค จะเป็นหุ้นที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในแง่ของการไม่ตายไปจากตลาดได้โดยง่าย เพราะมีภาครัฐเข้ามาช่วยดูแลป้องกันการล้มละลายอีกชั้นหนึ่ง ดังนั้นหุ้นในกลุ่มนี้จะน่าสนใจลทุนในสภาวะที่กิจการอยู่ในช่วงยากลำบากและตลาดตกใจเทขายออกมา และสามารถทำกำไรได้อย่างงาม ช่วงเวลาที่ควรเข้าไปซื้อหุ้นในกลุ่มนี้คือเมื่อบริษัทประกาศงดจ่ายเงินปันผลและให้ถือไปจนกระทั่งบริษัทประกาศจ่ายปันผล

  36. การที่หุ้นจะสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่ผู้คนในตลาดคาดการณ์กันเอาไว้ได้ บริษัทจะต้องได้รับการประเมินจากผู้คนทั่วไปในระดับที่แย่กว่าความเป็นจริง มิฉะนั้นราคาหุ้นมันก็คงจะอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ตอนแรกแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่ความเห็นทั่วๆปมันออกมาในเชิงลบมากกว่าความเห็นของคุณ คุณจะต้องตรวจสอบข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้ตัวคุณเองมั่นใจว่าคุณไม่ได้มองโลกในแง่ดีแบบโง่ๆ

  37. หุ้นที่สุดยอดแต่คนยังไม่เห็น ในที่สุดตลาดก็จะเริ่มมองเห็นว่าบริษัทนี้สามารถเติบโตในอัตรา 15-20% ต่อปีได้ ราคาหุ้นได้เพิ่มขึ้นจาก $16 ไปเป็น $ 42 ภายในหนึ่งปี กรณีนี้มันเป็นกรณีที่ความอดทนที่สะสมกันมานานหลายปี มันได้รับผลตอบแทนรวมอยู่ในปีเดียว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆในตลาดหุ้น

  38. เทคนิคในการเสาะหาหุ้นถูกภายในหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจที่มักได้ผลเสมอ คือ การเปรียบเทียบค่า P/E ของบริษัทต่างๆในกลุ่มเดียวกัน และดูตัวที่มีค่า P/E ต่ำสุดและหาเหตุผลให้ได้ว่าทำไมมันถูก ถ้าหาเหตุผลไม่เจอแสดงว่าคุณได้เจอของดีแล้ว

ที่มา รู้ทันหุ้นบ่าย เครดิต เพื่อนทาง line

Relate topics