ก๊วนซอฟท์แวร์ </softganz> SoftGang (Gang Software)

Web &amp; Software Developer Gang.

Get rich slow!! แบบ Buffett ...ตอนที่ 1 รวยช้าๆ..มันน่าสนตรงไหน

by Little Bear @5 ม.ค. 57 09:33 ( IP : 49...217 ) | Tags : หุ้น
photo  , 485x364 pixel , 36,250 bytes.

เป็นบทความจาก www.pawawit.com มี 3 ตอน นี่เป็นตอนที่ 1


วันนี้ว่างๆ เลยเอาหนังสือ Buffet มาย่อยดู ...หนังสือ เล่มนี้ "How Buffett Does it" เผอิญ "ป๋ากึ้ง ซื้อมาฝากจากสิงค์โปร์ Trip" เพราะเฮียแก เห็นว่าผมชอบแนวทางของ Buffet แถมตลาดตอนนี้ เริ่มมีภาพขาขึ้นในภาพใหญ่ที่ชัดเจน ...เลยทำให้แนวทาง Buffett มันเริ่มชัดขึ้น ชัดขึ้น (แต่บางคน กลับมองว่า มืดลง มืดลง เพราะตลาดหุ้นบ้านเราเน่ามาตลอดสิบกว่าปีแล้ว แถมไม่ชอบเลขกลมซะด้วยซิ สังเกตได้ว่า รายย่อยปล่อยของออก ตอนนี้เทหุ้นกันเกือบหมด Port ไม่รู้จะเข้าหลัก Demand & Supply หรือเปล่า)

ขยายความกันเต็มๆ ว่า "ตอนนี้รายย่อย ขายทิ้งเอา ทิ้งเอา แต่ตลาดกลับขึ้นสวน ..รึว่า รายย่อยกำลังรู้อะไรที่ รายใหญ่ไม่รู้่ (ชักน่ากลัว ซะแล้วซิ) "ผมประกาศเลย ถ้ารายใหญ่คนไหน ได้มีโอกาสผ่านตา บทความผม จงไปซื้อเสื้อหนาวมาใส่ ..."หนาวแน่!!" ...เอ๋อ!! ว่าแต่ยังไม่รู้ว่าใครจะหนาวกันแน่ ฮิ ฮิ

จากประเด็นหนักๆ กลับมาประเด็นเบาๆ อย่าง Buffett กันดีกว่า (ในหนังสือเล่มนี้ อ่านค่อนข้างง่าย เพราะคนเขียนย่อย แนวคิดของ Buffett ออกมาเป็นข้อๆ ดังนี้)

  1. เลือก "ความง่าย" การเล่นหุ้นจริงๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน หุ้นขึ้นก็เพราะคนส่วนใหญ่อยากซื้อ ..หุ้นตกก็เพราะคนส่วนใหญ่อยากขาย --- "ไม่รู้จะคิดให้มันซับซ้อนทำไม ...ยิ่งซับซ้อนยิ่งมั่ว !!" คือ Buffett เชื่อว่า ธุรกิจที่น่าลงทุนคือ กิจการที่เข้าใจง่าย ไม่ใช่ซับซ้อน อย่างตัวอย่าง Enron หรือ Lehman Brother มี Complex Derivative , Complicate Warrant /Super Over Option!! เอามารวมกันออกมาเป็น "Bull Shit และก็ เจ๊งบ๊ง อย่างที่เห็น" เอาง่ายๆ เช่น แบบขายของชำ , ซื้อน้ำมันมาแล้วขายไป ..ดีกว่า อิ อิ (อย่าง Buffet จะเลือกธุรกิจที่เข้าใจง่ายเช่น Coke , Gillette , หนังสือพิมพ์, บริษัทประกัน -- ยิ่งยากยิ่งมั่ว โอกาสเสียเงินก็สูงตาม)

  2. "ตัดสินใจด้วยตัวเอง" ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะถ้าคุณ ตัดสินใจเอง "คุณต้องทำการบ้าน ..ต้องศึกษาธุรกิจนั้นๆอย่างแท้จริง" ซึ่งต่างกับ "แห่ซื้อตามคนอื่น ..มันง่าย คุณไม่ต้องศึกษาอะไร --เขาแห่อะไร เราแห่ตาม (ไทยมุงน่ะ)"--- พวกนี้สุดท้าย "เจ๊งเสมอ"

  3. "ควบคุมอารมณ์ (ฟังดูเปี่ยว แต่ไม่ใช่อย่างนั้น!!) ตลาดหุ้น อย่างที่ทราบกันว่า ขับเคลื่อนด้วย Greed & Fear ดังนั้น ถ้าคุณสามารถควบคุมอารมณ์ได้ คุณจะเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น "ในขณะที่ทุกคนกำลังชุลมุน หากคุณหยุดอยู่นิ่งๆ คุณจะเห็นการเคลื่อนไหวทั้งหมด" ...อ้าว++แล้วถ้าไฟกำลังไหม้อยู่ล่ะ คุณก็ซวยอะดิ (เอ๋อ!!ว่าแล้ว แล้วพี่ ดัน"เสร่อ"ไปนั่งอยู่ในกองไฟทำไมล่ะครับ ..ก็เลือกหุ้นที่มันพื้นฐานดี กิจการไม่ซับซ้อน กำไรมั่นคง แค่นี้คุณก็ไม่อยู่ในกองไฟแล้ว --- จุดนี้ฟังดูง่าย แต่ทำยาก เพราะหุ้นที่ดี ในขณะที่คนส่วนใหญ่ ชุลมุน คุณจะรู้เลยว่า นั่นคือ โอกาสในการเข้าซื้อหุ้นดีในราคาถูก (ดังนั้น ถ้าหุ้นดี !! คุณจงวิ่งเข้าซื้อ ในขณะที่คนอื่น กำลังเทขาย) ..แต่ถ้าหุ้นเน่า "คุณซื้อไปคนเดียวละกัน ผมไม่เอาด้วยครับ ..อิ อิ อิ"

    (คำเตือนของ Buffett อันนึงที่ Classic มากคือ "Don't buy a stock if you cannot it losing half its value" ..คือ ถ้าคุณทนเห็นหุ้นที่คุณซื้อ ราคาตกไปกว่าครึ่งไม่ได้ คุณอย่าซื้อหุ้น ...Buffett บอกว่า คุณไปซื้อก๋วยเตี๋ยวกินดีกว่า) ฮ่า ฮ่า ...ตัวอย่าง สุดยอดของ Buffett คือ หุ้น Washington post หลังจากที่เขาซื้อหุ้นนี้หนึ่งปี ราคาหุ้นตกไปต่ออีกครึ่งนึง (แต่ Buffett ไม่ได้ขายซักหุ้น) จากนั้น 30 ปีต่อมา หุ้นตัวนี้ ราคาเพิ่มขึ้นจากจุดที่เขาซื้อครั้งแรก 100 เท่า "นี่คือความไม่ธรรมดา.. Value Investor ต่างจากคนธรรมดาตรงความมั่นใจในตัวเองอย่างสุดโต่ง ดังนั้น การที่ Buffett มองว่า Washington post ราคาถูก ถ้าหุ้นมันตกลงไปกว่าจุดที่เขาซื้อ แสดงว่ามัน "ยิ่งโคตรถูก" ---ดังนั้น ถ้าเขาหาเงินมาได้เพิ่ม เขาก็ควรซื้อหุ้นนั้นเพิ่ม ไม่ใช่ขายตามคนอื่น

    ประเด็นคือ สิ่งที่ Value Investor เมืองไทย ..ดร.นิเวศน์ ทำในปี 2008 คือหุ้นที่เขาซื้อ กลับราคาถูกลงไปอีก สิ่งที่ ดร.นิเวศน์ทำคือ เขาใช้ Margin (ซึ่งโดยปกติเขาจะไม่เคยใช้ margin เลย) แต่ด้วยความมั่นใจอย่างสุดโต่งว่า ช่วง Sub-prime หุ้นที่เขาถือ มันถูกลงไปอีก "เขาก็ใช้ Margin เต็มจำนวน ซื้อหุ้นเพิ่มเข้าไปอีก .."ในที่สุด (เขาก็รวย!!) เพราะ Port ของเขาจากที่มีหลักร้อยล้าน ก็กลายเป็นพันล้านหลังจากนั้นไม่นาน "นี่แหละ มั่นใจสุดโต่ง ..หุ้นมันถูก ถ้าถูกกว่าเดิม "มันโคตรถูก" ดังนั้น ซื้อ ซื้อ ซื้อ !!

  4. Patient (แปลตรงๆว่า "อึด") Buffett ถามด้วยความยียวนว่า คุณเคยเห็น Day Trade หรือ นักเก็งกำไร คนไหนที่ ในระยะยาว ทำกำไรได้มากกว่า "ผมบ้าง" (ไม่มีเลย!!) จอร์ส โซรอสที่ว่าแน่ เก็งกำไรชนะเงินปอร์น ตีเงินบาทกระจาย แต่ไปตาย เกือบเจ๊งที่ รัสเซีย ...จนแล้วจนรอด ทรัพย์สินของ โซรอส ยังไม่ได้เสี้ยวของ Buffett ด้วยซ้ำ ...คำพูดตลกๆของ Buffett ก็คือ "ให้คิดเสียว่า หวังจากที่คุณซื้อหุ้น ตลาดหุ้นจะปิดทำการ อีกอย่างน้อยห้าปี ...(ขายไม่ได้) ฮ่า ฮ่า"

  5. "ให้คิดว่า คุณซื้อธุรกิจ ไม่ใช่ ซื้อหุ้น" เมื่อคุณวิเคราะห์อย่างดีแล้ว ว่ากิจการที่คุณซื้อเป็นกิจการที่ดี มีโอกาสเติบโตในระยะยาว ..และคุณก็ซื้อมันในช่วงราคาถูก เช่น ช่วง Panic Sell หรือช่วงที่ตลาดแย่ๆ ...Buffett กล่าวว่า "ราคา" กับ "มูลค่าที่แท้จริง" ในภาวะปกติมันจะเชื่อมโยงกัน ..แต่ในช่วงที่เกิด Panic มันจะเกิดความสับสนระหว่าง "ราคา" กับ "มูลค่า" ซึ่งทำให้คนขายหุ้นออกมาในราคาถูก ทั้งๆที่หุ้นตัวนั้นมีมูลค่าที่แพง ---"และจุดนี้เองคือ จุดที่คุณควรเข้าซื้อหุ้น!!" ... แต่สิ่งที่ Buffett เตือนไว้อย่างนึงก็คือ "ธุรกิจที่คุณซื้อ จะต้องมี Value หรือมูลค่าที่แท้จริง" ยกตัวอย่าง หุ้น Dot Com ในสมัยที่ Boom มากๆ Buffett ก็ไม่เคยแตะหุ้นเหล่านั้นเลย เพราะ Buffett มองว่า มันไม่ได้มีรายได้ที่แท้จริง ดังนั้น มันไม่มีมูลค่า ..หลังจากนั้นปี 2000 Dot Com Crash "สิ่งที่ Buffett คิด ก็คือความจริง!!"

    ธุรกิจที่ Buffett คือ ธุรกิจที่เข้าใจง่าย เขายกตัวอย่าง กิจการที่สิบปีที่แล้ว กับตอนนี้ ก็ยังคงทำธุรกิจเหมือนเดิม เช่น โค้ก ..นี่แหละง่าย ทำให้เราคาดเดาได้ง่ายว่า อนาคตของกิจการคืออะไร (ยิ่งง่าย ยิ่งดี)

  6. เลือกลงทุนในกิจการที่โดดเด่น ..."เช่น มีความได้เปรียบอย่างชัดเจน และมีโอกาสในการเติบโตในระยะยาว" ...Buffett ยกตัวอย่าง Petrochina บริษัทน้ำมันผูกขาดประเทศจีน ที่เขาซื้อไว้ตอนราคาต่ำๆ ซึ่งใหญ่พอๆกับ Exxon แต่มูลค่ากิจการกลับถูก (เอ๋!! เหมือน PTT จัง ..ฮ่า ฮ่า ฮ่า (ขำขำ)...ไม่ 400 ไม่ขาย "อย่าคิดมาก"

ที่มา www.pawawit.com

Relate topics