[ ... หมุน ... ]
... ล้อรถเข็นคันนั้น ยังคงหมุนไป หมุนไป ตามแรงดันของเจ้าของรถ
มันหมุนมาทับรอยเดิมไม่รู้กี่ร้อยพันรอบ มันหมุนไปตามเส้นทางที่มันเคยผ่านไม่รู้กี่หน รถเข็นคันนั้นยังเดินทางต่อไปในจังหวะเดิม แม้ว่าวันนี้มันจะมีของแปลกใหม่มาบรรทุกเพิ่มเติมเป็นชีวิตน้อย ๆ ที่นอนกลิ้งอยู่บนฟูกเก่าๆบนที่วางของใต้รถเข็น มือข้างหนึ่งยกขวดนมดูดอย่างเป็นสุขในปาก มืออีกข้างหนึ่งจับปลายผ้าขนหนูเขี่ยหูตัวเองเล่นอย่างเพลิดเพลิน ขณะที่แสงแรกของวันใหม่ยังไม่ทาทับขอบฟ้า
" ยาย .. ยายจ๋า นมหมดแล้ว "
จันทร์ .. ก้มลงไปมองเจ้าของเสียงน้อย ๆ ลอดออกมาจากใต้รถเข็น เมื่อสบสายตาบนวงหน้ากลมป้อม และพวงแก้มขาวนวลที่กำลังชูขวดนมอันว่างเปล่าหลงเหลือฟองเม็ดละเอียดติดก้นขวดเพียงเล็กน้อย ความเหน็ดเหนื่อยทั้งปวงดูจะบรรเทาลงอย่างน่าประหลาด ความไร้เดียงสาเป็นพลังบริสุทธิ์ทางจิตใจที่มิใช่แต่ผู้ที่เป็นเจ้าของมันเท่านั้นที่เอิบอิ่มกับความรู้สึก แต่มันแผ่เผื่อไปยังผู้คนรอบข้างให้ปิติตามอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
" นอนเล่นไปก่อนนะลูกนะ เดี๋ยวจะพากลับบ้าน "
เด็กน้อยเอนตัวลงนอน วางขวดนมลงข้าง ๆ แล้วเปลี่ยนเป็นดูดนิ้วตัวเองแทน ใต้รถเข็นดูจะคล้ายคลึงกับเปลสีสวยที่แกว่งไกวเธอให้เพลิดเพลินกับจินตนาการตามรายทางที่เธอผ่านพบ เธอคุ้นเคยกับการนอนดูจันทร์เข็นรถขายกับข้าวยามเช้าเข้าซอยโน้นออกซอยนี้ มีผู้คนมากมายมาซื้อกับข้าว บางคนแต่ชุดภูมิฐานเตรียมจะออกไปทำงาน ผู้หญิงบางคนยังอยู่ในชุดเสื้อคลุมคล้ายเพิ่งตื่น บางบ้านมีเด็กตัวน้อย ๆ เช่นเธอในชุดนักเรียนอนุบาล แทบทุกคนที่มาซื้อกับข้าวมักจะอดไม่ได้ที่จะก้มตัวลงมามองใต้รถเข็น เมื่อเธอส่งเสียงแจ้ว ๆ ร้องเรียกลูกค้า
" กับข้าวค๊า .. กับข้าว ...
เสียงใส ๆ ของเธอช่างทรงอานุภาพ มันดึงดูดผู้คนที่ไม่แม้แต่จะสนใจรถเข็นของจันทร์ให้หันมามอง มันดึงดูดผู้คนที่เริ่มจะสนใจรถเข็นขายกับข้าวของจันทร์ให้เดินเข้าหา และมันดึงดูดให้คนที่เดินเข้ามาดูแล้วซื้ออะไรติดมือติดไม้กลับไปสักถุงสองถุง จุดเริ่มต้นของความสำเร็จในการปิดการขายของเธอ คือจุดเริ่มต้นของการผูกขาดทางการตลาด ใครก็ตามที่เคยได้ลิ้มลองกับข้าวถุงฝีมือของจันทร์ในถุงแรกแล้ว จะต้องมีถุงที่ 2 ถุงที่ 3 .. ต่อไปเรื่อย ๆ อันที่จริงกับข้าวถุงของจันทร์ก็แทบไม่ได้มีอะไรผิดแผกไปจากของที่คนอื่นทำขาย ไม่ว่าจะเป็นไข่พะโล้ แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ผัดสายบัว แกงเผ็ดเป็ดย่าง ไข่ยัดใส้ ผัดมะระใส่ไข่ หรือยำไข่ดาว ...
รายการอาหารของจันทร์แต่ละวันอาจจะซ้ำ หรือไม่ซ้ำกัน แต่สิ่งที่ซ้ำกันทุกวันจนเป็นที่ยอมรับคือ กับข้าวของจันทร์อร่อย มันเป็นความแปลกอย่างยิ่งที่ถ้าใครไม่เคยได้ลองกินจะไม่มีวันรู้ได้ หลายคนสงสัยว่าจันทร์ทำได้ยังไงแม้กระทั่งกับอีแค่ไข่ดาวที่ดูธรรมดา ๆ มีทั้งแบบสุขครึ่งเดียวเป็นยางมะตูม หรือแบบไข่ขาวกรอบ ๆ อย่างที่เด็ก ๆ ชอบ ทำไมกลับไปทำกินที่บ้านมันก็ไม่เหมือนกับที่ซื้อของเธอ ถึงแม้ว่าจะดูเป็นการศึกษาลิขสิทธิ์ทางปัญญาอย่างที่ใครหลายคนเอ่ยปากถามเทคนิคการทำกับข้าวจากเธอ สิ่งที่ทุกคนจะได้ก็คือ ..
ชั้นใส่ไอ้นี่แหละ จันทร์จะตอบแค่นั้น แล้วก็ยิ้ม ...
คนถามก็จะทำหน้าเหมือนสรยุทธ สุทัศนจินดา เวลาถามท่านรัฐมนตรีว่าการเรื่องการโกงลำไย คนตอบก็จะทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนเดียวที่ดูจะรู้ทุกอย่างแต่ไม่อยากพูดก็นอนดูดนิ้วเอาผ้าขนหนูเขี่ยหูตัวเองเล่นใต้รถเข็นต่อไป ..
ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ... ล้อรถเข็นคันนั้น ยังคงหมุนไป หมุนไป ตามแรงดันของเจ้าของรถ .......................................................................................................................
คนแถวนี้เห็นจันทร์เข็นรถขายกับข้าวมานานมากแล้ว เมื่อก่อนนี้จะมีเอกสามีของเธอมาช่วยขายด้วย เอกทำงานเป็นคนขับรถส่งของของร้านเฟอร์นิเจอร์แห่งหนึ่ง กว่าร้านจะเปิดก็สิบโมงกว่า ดังนั้นภาพสองคนผัวเมียเข็นรถเข็นขายกับข้าวยามเช้ากลายเป็นที่พบเห็นของคนทั่วไป ความน่ารักของภาพชีวิตเดินทางหมุนไปตามล้อรถเข็นพร้อมกับเหล่าลูกค้าหลายคนที่อดอิจฉาเอกไม่ได้ว่ามีเมียทำกับข้าวอร่อย ขณะที่กิจการกำลังดำเนินไปด้วยดี อยู่ ๆ วันหนึ่งรถเข็นของสองคนผัวเมียก็หายไป
และตามมาด้วยความถวิลหาในรสมือของจันทร์ และคำถามที่ตามมาทุกเช้าว่า .. รถขายกับข้าวหายไปไหน
คำตอบเดินทางตามมาในอีกไม่นานนัก เมื่อสองคนผัวเมียกลับมาเข็นรถขายกับข้าวยามเช้า พร้อมกับเด็กตัวน้อย ๆ ที่นอนดูดนมอยู่ใต้รถเข็น การกลับมาพร้อมกับสมาชิกใหม่ที่ทำให้ขาประจำเก่า ๆ อดยิ้มไม่ได้เมื่อได้รู้ว่า จันทร์ได้พาลูกสาวตัวน้อย ๆ มาขายของด้วย สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือกับข้าวของจันทร์ยังอร่อยเหมือนเดิม และคำตอบเดิม ๆ เวลาใครถามว่าผัดเห็ดฟางหมูสับใส่อะไร ทำไมอร่อยจัง ..
ชั้นใส่ไอ้นี่แหละ จันทร์จะตอบแค่นั้น แล้วก็ยิ้ม ...
คนถามก็จะทำหน้าเหมือนวิทวัส สุนทรวิเนตร เวลาถามดาราเรื่องท้องก่อนแต่งจริงหรือเปล่า คนตอบก็จะทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนเดียวที่ดูจะรู้ทุกอย่างแต่ไม่อยากพูดก็นอนดูดนิ้วเอาผ้าขนหนูเขี่ยหูตัวเองเล่นใต้รถเข็นต่อไป ..
ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ... ล้อรถเข็นคันนั้น ยังคงหมุนไป หมุนไป ตามแรงดันของเจ้าของรถ ....................................................................................................................... การหยุดขายครั้งที่สองของจันทร์ ทำให้คนที่เคยลิ้มชิมรสกับข้าวยามเช้าของจันทร์กินอะไรไม่ลงไปเหมือนกัน เพราะข่าวการจากไปของเอก ที่ขับรถขนเฟอร์นิเจอร์ไปอัดก๊อปปี้กับเสาไฟฟ้า เพราะหักหลบรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งที่พุ่งพรวดออกมาจากซอย อุบัติเหตุของชีวิตหนึ่งบังเกิดผลกระทบกับชีวิตรอบข้างไปอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ทั้งชีวิตของจันทร์ผู้เป็นภรรยา ลูกสาวตัวน้อยที่กำลังเติบโต .. และลูกค้าที่ติดตามผลงานความอร่อยของจันทร์ด้วย เพราะจันทร์หยุดขายกับข้าวไปหลายเดือน ..
การกลับมาของจันทร์ ไม่ได้สร้างความผิดหวังให้เหล่าลูกค้าผู้รอคอย ผัดกระเพรากบรสแซบใส่พริกไทยอ่อน แกงเขียวหวานไก่รสเข้ม หรือแม้แต่เนื้อเค็มแดดเดียว รายการอาหารไม่เคยซ้ำ ความจำเจไม่เคยมี รสชาติอร่อยจนลืมไม่ลง และเสียงร้องเรียกน้อย ๆ จากใต้รถเข็น
" กับข้าวค๊า .. กับข้าว ...
ไม่มีใครปฏิเสธว่า บางครั้ง ชีวิตมันก็เป็นเช่นนั้น ไม่ว่ามันแหว่งวิ่นไปสักเพียงไหน มันก็ยังเดินทางของมันต่อไป ชีวิตของใครบางคนหมุนไปเหมือนล้อรถ ตามแรงขับดันของลมหายใจเข้าออกยังบงการให้ขาของจันทร์ดันรถเข็นคันนั้น เข้าซอยโน้นออกซอยนี้ พร้อมกับชีวิตน้อย ๆ ที่เคยนอนกลิ้งไปกลิ้งมาใต้รถเข็น เจริญวัยมาเป็นช่วยแม่เดินขายกับข้าวยามเช้า สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนก็คือ ความอร่อยของกับข้าวบนรถเข็น และคำตอบเดิม ๆ เวลามีใครถามว่า แกงบอนใส่อะไรเนี่ย ทำไมอร่อยจัง
ชั้นใส่ไอ้นี่แหละ จันทร์จะตอบแค่นั้น แล้วก็ยิ้ม ...
คนถามก็จะทำหน้าเหมือนฟิลม์ รัฐภูมิ เวลาโดนถามเรื่องเสี่ยอู๊ด คนตอบก็จะทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนเดียวที่ดูจะรู้ทุกอย่างแต่ไม่อยากพูดก็มัวแต่เอากับข้าวถุงโน้นถุงนี้ใส่ถุงหูหิ้วแล้วก็ยื่นส่งให้ลูกค้า ..
อย่ามาถามแม่เขาเลย .. เขาไม่บอกหรอก ขืนบอกอีกหน่อยก็ขายไม่ออกอ่ะดิ ..
ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ... ล้อรถเข็นคันนั้น ยังคงหมุนไป หมุนไป ตามแรงดันของเจ้าของรถ .......................................................................................................................
ฝันร้ายของลูกค้าเจ้าประจำของจันทร์มาถึงอีกเป็นครั้งที่ 3 เมื่อลูกสาววัยรุ่น หายตัวไปพร้อมกับเงินเก็บของเธออีก 5 พัน และแฟนหนุ่มหน้าตาดี ที่เคยเข้ามาอยู่ใต้ชายคาบ้านหลังเดียวกัน มันดูจะเป็นเรื่องปรกติของสังคมชั้นรากหญ้าที่การศึกษาและสาธารณสุขของรัฐเข้าถึงประชาชนเพียงผิวเผิน และสิ่งดึงดูดทางวัฒนธรรมดูจะโน้มเอียงไปทางสังคมตะวันตก เซ็กส์ดูจะมีแรงขับดันเหล่าวัยรุ่นที่ฮอร์โมนพุ่งพล่าน ให้พุ่งทะยานไปตามความประสงค์จะมีชีวิตในแบบของตน แต่ผลของการตัดสินใจชั่วแล่นบังเกิดผลกระทบกับชีวิตรอบข้างไปอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ทั้งชีวิตของจันทร์ผู้เป็นแม่ ลูกสาววัยรุ่น .. และลูกค้าที่ติดตามผลงานความอร่อยของจันทร์ด้วย เพราะจันทร์หยุดขายกับข้าวไปหลายเดือน
ใครต่อใครก็คิดว่า รถเข็นขายกับข้าวคันนั้น คงหยุดการเดินทางเสียแล้ว ...
.......................................................................................................................
ยิ่งกว่าซูปเปอร์แมนรีเทิรน์ เมื่อจันทร์ดันรถเข็นคันนั้นกลับมาเข้าซอยโน้น ออกซอยนี้ บนถาดอลูมิเนียมมีผัดคะน้าหมูกรอบ แกงไก่สับปะรด เต้าหู้ไข่ทรงเครื่อง ไข่ดาวที่มีทั้งแบบสุขครึ่งเดียวเป็นยางมะตูม หรือแบบไข่ขาวกรอบ ๆ อย่างที่เด็ก ๆ ชอบ และเด็กผู้หญิงตาโตที่จันทร์บอกใครต่อใครว่าเป็น .. หลาน นอนกลิ้งไปกลิ้งมาใต้รถเข็นคันเดิม ร้องส่งเสียงเจื้อยแจ้วออกมาจากใต้ท้องรถเข็นคันนั้น
" กับข้าวค๊า .. กับข้าว ...
ลูกค้าบางคนที่เคยเป็นเด็กยืนแคะขี้มูก จูงมือแม่ออกมาซื้อกับข้าว ตอนนี้จบ ปวส.แล้ว แม่บ้านบางคนที่เคยใส่เสื้อคลุมเดินงัวเงียออกมาซื้อกับข้าว ตอนนี้จูงหลานตัวเล็ก ๆ ออกมาแคะขี้มูกยืนซื้อกับข้าวแล้ว ผู้คนที่รายรอบรถเข็นของจันทร์ดูจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ถ้าจะเปรียบกับรถเข็นขายกับข้าวของจันทร์ มันคงถูกเข็นไปไกลถึงสุไหงโกลก
ไม่มีใครปฏิเสธว่า บางครั้ง ชีวิตมันก็เป็นเช่นนั้น ไม่ว่ามันแหว่งวิ่นไปสักเพียงไหน มันก็ยังเดินทางของมันต่อไป ชีวิตของใครบางคนหมุนไปเหมือนล้อรถ ตามแรงขับดันของลมหายใจเข้าออกยังบงการให้ขาของจันทร์ดันรถเข็นคันนั้น เข้าซอยโน้นออกซอยนี้ ไม่ว่าสรรพนามที่คนเรียกขานจันทร์ จะเปลี่ยนไปจาก จันทร์ มาเป็นน้าจันทร์ มาเป็นป้าจันทร์ มาเป็นยายจันทร์ จันทร์ก็ยังคงดันรถเข็นคันนั้น เหมือนที่เคยผ่านมา แม้ว่าเส้นทางที่ดูเหมือนจะไกลกลับวนเวียนอยู่กับที่เสมือนหนึ่งลาที่ถูกปิดตาให้หมุนโม่แป้ง แม้คิดว่าตัวเองเดินมาไกลโข แต่กลับวนเวียนอยู่ที่เดิม
" ยาย .. ยายจ๋า นมหมดแล้ว "
จันทร์ .. ก้มลงไปมองเจ้าของเสียงน้อย ๆ ลอดออกมาจากใต้รถเข็น เมื่อสบสายตาบนวงหน้ากลมป้อม และพวงแก้มขาวนวลที่กำลังชูขวดนมอันว่างเปล่าหลงเหลือฟองเม็ดละเอียดติดก้นขวดเพียงเล็กน้อย ความเหน็ดเหนื่อยทั้งปวงดูจะบรรเทาลงอย่างน่าประหลาด ความไร้เดียงสาเป็นพลังบริสุทธิ์ทางจิตใจที่มิใช่แต่ผู้ที่เป็นเจ้าของมันเท่านั้นที่เอิบอิ่มกับความรู้สึก แต่มันแผ่เผื่อไปยังผู้คนรอบข้างให้ปิติตามอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
" นอนเล่นไปก่อนนะลูกนะ เดี๋ยวจะพากลับบ้าน "
เด็กน้อยเอนตัวลงนอน วางขวดนมลงข้าง ๆ แล้วเปลี่ยนเป็นดูดนิ้วตัวเองแทน ใต้รถเข็นดูจะคล้ายคลึงกับเปลสีสวยที่แกว่งไกวเธอให้เพลิดเพลินกับจินตนาการตามรายทางที่เธอผ่านพบ เธอคุ้นเคยกับการนอนดูจันทร์เข็นรถขายกับข้าวยามเช้าเข้าซอยโน้นออกซอยนี้ มีผู้คนมากมายมาซื้อกับข้าว บางคนแต่ชุดภูมิฐานเตรียมจะออกไปทำงาน ผู้หญิงบางคนยังอยู่ในชุดเสื้อคลุมคล้ายเพิ่งตื่น บางบ้านมีเด็กตัวน้อย ๆ เช่นเธอในชุดนักเรียนอนุบาล แทบทุกคนที่มาซื้อกับข้าวมักจะอดไม่ได้ที่จะก้มตัวลงมามองใต้รถเข็น เมื่อเธอส่งเสียงแจ้ว ๆ ร้องเรียกลูกค้า
" กับข้าวค๊า .. กับข้าว ...
ใช่ .. ... ล้อรถเข็นคันนั้น ยังคงหมุนไป หมุนไป ตามแรงดันของเจ้าของรถ