...
แต่ละเม็ดน้ำหนึ่ง
๑).
พอฝนตั้งเค้าขึ้นเงาเมฆ
ฟ้าก็เสกแผ่นน้ำขึ้นฉ่ำหาว
เต็มแผ่นแน่นพืดอยู่ยืดยาว
รอร้าวลมแรงมาแทงเค้า
แตกเป็นฝนเม็ดน้อยที่ลอยลิ่ว
ร่วงปลิวลงหล้าลงป่าเขา
ขณะเมฆดำปลอดยังทอดเงา
เหนือลำเนาพฤกษ์พง-เหนือดงไม้
๒).
หนึ่งหยดน้ำค้างใบของไม้เขียว
ก็จะเรียวดวงหยดเม็ดสดใส
มาซบผืนดินชุ่มให้อุ้มไว้
เพื่อต่อไปภายหน้าเป็นตาน้ำ
ให้ดินอันดำและอุดม
เจิ่งจมท้องลุ่มจนชุ่มฉ่ำ
เป็นซับเย็นเยียบอยู่เงียบงำ
ให้รากไม้เลียงลำเป็นน้ำเลี้ยง
แล้วจึงเจิ่งเป็นห้วยอันเย็นเยือก
จวบเปลือกไม้ปริจนแซะเสี่ยง
แทงยอดยืดต่อจนพอเพียง
แล้วเรียงวงปี-บอกชีวิต
จึงซับน้ำท่วมท้นจนล้นลุ่ม
ฟ้าที่คลุ้มขนัดก็ฟาดกฤช
น้ำก็เซาะหลากไหลไปทุกทิศ
ลึกมิดรางน้ำเป็นลำธาร
ย่อมเกิดแต่เม็ดหยดที่รดร่วง
หยาดดวงก่อแควกระแสผสาน
ชำแรกแทรกสิ้นซึ่งดินดาน
เพื่อผ่านกระแสเป็นแม่น้ำ
คือหยาดดวงปลายใบอันใสเม็ด
ก่องเก็จแวววาวด้วยพราวร่ำ
กลั่นมาจากเมฆฝนที่หม่นดำ
เมื่อเสียงฟ้างึมงำอยู่คร่ำคราง
คือหยาดทิพย์สวรรค์ที่กลั่นดวง
แล้วร่วงเม็ดเรืองลงเบื้องล่าง
เพื่อโถมสายแม่น้ำ-สายลำราง
เป็นความว้างเวิ้งมหาสมุทรที่สุดลึก!
๓).
เด็กน้อย...
โลกรอคอยแรงเธอร่วมผนึก
เพื่อวงปีไม้ดงของพงพฤกษ์
และเพื่อความอึกทึกของแผ่นฟ้า
เรารอคอยเธอเรียงความเดียงสา
เป็นแรงเรี่ยวเชี่ยวกรากเพื่อหลากมา
เป็นพลังชะตา-อนาคต!
ละอ่อนสารภี
พลายงาม
ว่าพ่อรักแม่เจ้าสักเท่าไหน
จึงเลือกให้เป็นผู้กำเนิดเจ้า
มือพ่อกร้านกรำงานมานานเนา
กอดเยาว์ก็เกรงระคายตัว
ต้องมือแม่นิ่มนุ่มไร้ปุ่มปม
ป้อนนมชมจูบได้ลูบหัว
แผ่วแผ่วเบาเบา-กลัวกลัว
เนียนเนื้อเจ้ามัวเจ้าหมองรอย
ว่าพ่อรักแม่เจ้าถึงเท่านี้
งานที่มีจึงสู้มิรู้ถอย
หยาดเหงื่อเรื่อด่างจนร่างพร้อย
หลับม่อยอกพ่อก็เกรงชื้น
ต้องอกแม่อุ่นอบได้ซบหน้า
หลับตาเป็นสุขจนลุกตื่น
ให้อิงแอบซบอยู่กว่ารู้ยืน
อุ้มอื่นใดนุ่มเหมือนอุ้มเยาว์
ว่าพ่อรักแม่เจ้ามากเท่าไร
จึงเลือกให้เป็นผู้อุ้มท้องเจ้า
อ่อนโยนทะนุถนอมกล่อมเกลา
จูบเบาก็เกรงกระเทือนท้อง
ต้องเพลงแม่หวานหวานกังวานกล่อม
หอมหอมเพลงเห่ทั้งหอห้อง
โยกเยกเอยโยกเยกเจ้าเมฆฟอง
กระต่ายล่องลอยเมฆโยกเยกมา
ก็เพราะพ่อรักเจ้าถึงเท่านี้
จึงหน้าที่สูงส่งอันทรงค่า
ควรแล้วเป็นการของมารดา
มือพ่อหนาหยาบด้าน-ทำงานเอง..
๒๒ พิจิก ๒๕๔๘
เนชั่นสุดสัปดาห์
อีกมือพ่อ
คือมือนุ่มนิ่มอันอิ่มเต็ม
ไต่เล็มมือหนา-ฝ่าใหญ่
พ่อกำมือลูกน้อยกลอยใจ
ตาใสเจ้าหนอลูกพ่อเอย
ฝาดเหลือเนื้อนุ่มน่ากุมจับ
ตาวับขลับเงาเจียวเจ้าเอ๋ย
เดียงสาตากวางอย่าร้างเลย
ให้วับเย้ยโลกกว้างอยู่อย่างนี้
เป็นเด็กดีของพ่อมิพอหรอก
โลกนอกเรือนบ้านสถานที่
เจ้าต้องพร้อมตนเป็นคนดี
จึงมีฐานะสมมนุษย์
จงเติบโตเริงร่าประสาเด็ก
โลกใบเล็กเหนื่อยก็พัก-หนักก็หยุด
ดูเถิดเมฆบนฟ้า-พญาครุฑ
ทรงชุดฝ้ายขาวจนพราวฟ้า
แหละซุกซนเถิดเจ้าเมื่อเยาว์วัย
เด็กใดย่อมซุกซนตามประสา
เติบโตเหมือนเช่นพ่อเป็นมา
เช่นปู่ย่าของลูกเคยซุกซน
จนเมื่อเจ้ากำนิ้ว-พ่อกิ๊วล้อ
ลูกหนอนี่ใช่โลกใบส้มผล
เป็นเพียงนิ้วธรรมดาสามัญชน
ที่ปั้นมือลูกตนให้ทนทาน
ให้มือหนาฝ่าใหญ่สมใจพ่อ
แข็งแรงแกร่งพอจะต่อสาน
ปั้นโลกสืบทอดตลอดกาล
ส่งผ่านช่วงต่อคนต่อไป
จึงกำมือลูกน้อยเจ้ากลอยใจ
นิ้วเจ้าไชมือกรำที่กำกุม
คือเจ้า-
วัยเยาว์เจ้าเอ๋ยพ่อเคยอุ้ม
โลกนี้มิช้าดอกทุกซอกมุม
ผู้ที่มือนิ่มนุ่มจะกุมกำ!
๓๐ กรกฎ ๒๕๔๐
ชายง่อยกับเด็กน้อย
ท่องโลกโยกเฟืองไปเบื้องหน้า
ดวงตาเข้มแข็งแกร่งกร้าน
เงียบนิ่งราวรูปสลักดักดาน
บนอานบนเบาะเฉพาะตน
เพียงมือขวาซ้ายที่ไหวสั่น
กลฟันเฟืองรถก็บดถนน
ช้าช้าคืบเลื่อนล้อเคลื่อนจน
ผ่านต้นมะขามหวานหน้าบ้านนี้
เด็กน้อยกำลังนั่งเล่น
ลมเย็นโชยพลิ้วมาหวิววี่
โลกทั้งโลกสดใสอยู่ในที
โลกสีลูกโป่งใบโป่งพอง
ผูกปลายด้ายถือข้อมือตน
ซุกซนลูกโป่งน้อยจะลอยล่อง
เด็กนั่งนิ่งแล้วเอนเขม้นมอง
เป็นเจ้าของลูกโป่ง-โลกทั้งใบ
ลมพัดโยกซ้ายแล้วย้ายขวา
ระบัดไหวไปมาอยู่ไหวไหว
เด็กน้อยหัวเราะชอบใจ
กระโดดเต้นทันใด-ก็ทันที
เชือกคลายจากข้อน้อยแล้วลอยหลุด
ลอยสุดเชือกสาย-คลายหนี
ตกใจไห้โฮมือโบกวี โ ชคดีกิ่งขามช่วยค้ำไว้
ผ่านต้นมะขามหวานกิ่งก้านใหญ่
เห็นเด็กตกอก-ก็ตกใจ
รีบเลื่อนเคลื่อนใกล้ถามไถ่พลัน
เห็นเชือกด้ายปลายสุดนั้นหยุดอยู่
กิ่งคู้คลุมครอบเป็นขอบกั้น
ร่มขามปกแต่งปิดแสงวัน
กัดฟันเอื้อมฉุดจนสุดมือ
ยื่นให้เด็กน้อย-ชายง่อยหนอ
ผูกช่อปลายเชือกให้เด็กถือ
ปลอบเด็กผู้ตกใจไห้ฮือ
ถามชื่อถามแหล่งบ้านแห่งใด
ตบหัวเด็กเบาเบาแล้วกล่าวลา
ดวงตาเข้มขลับช่างวับใส
ลมพัดพรูพรำมะขามไม้
ชายง่อยโยกเฟืองไปเบื้องหน้าแล้ว
เจ้าชายแสงจันทร์
เธอเอย-
ฟ้ามืดนั้นจักเผยแสงจันทร์จ้า
สูงสุดสูงสุดเงื้อมสุดเอื้อมคว้า
นวลดวงนวลตานวลใย
นานมาแล้ว-กาลครั้งหนึ่ง
ม้ามีปีกเผ่นผึงไปถึงไหน
ตะกุยฟ้าเมฆแตกวิ่งแหวกไป
จากใจกลางจันทร์-จากแสงจันทร์
เป็นเส้นแสงแทงตรงมาลงโลก
เบื้องหน้าดวงตาโศกคนช่างฝัน
พอฝุ่นเงียบระลอกจากหมอกควัน
หลังม้านั้น-มีเงาของเจ้าชาย
เธอกอดตุ๊กตาริมหน้าต่าง
ทอดตาฟ้ากว้างคืนข้างหงาย
หอมแก้วกลีบขาวพราวพราย
กรุ่นโผยโชยสายถึงชายคา
ที่ทางช้างเผือกโน้น-มีดวงดาว
ล้านล้านวาววับวิบอยู่พริบพร่า
ฉันผู้มาจากอีกฟากฟ้า
เก็บแก้วกลิ่นกล้ามาแนบทรวง
หอมเอยหอมชื่นในดื่นดึก
สบตาเธอรู้ลึกความแหนหวง
ดาดฟ้าดาดดาวระดะดวง
ดูสิดาวสียวงจะร่วงมา
เป็นหัวแหวนงามวับประดับก้อย
น้ำงามพร่างพร้อยไร้รอยฝ้า
เป็นปิ่นผมมวยหมาดจากหยาดฟ้า
เป็นเงาตาแวมวามอยู่งามดวง
ฉันเก็บแก้วดาดดินทัดปิ่นเธอ
พึมพำพร่ำเพ้อรักและห่วง
สบตาเธอเห็นเงาของดาวยวง
ที่ฉันล่วงล้ำเข้าในเงาตา
อยากกอดเธอเนิ่นนานอยู่อย่างนี้
กาแลกซี่อื่นไหนไม่ปรารถนา
ฟังเพลงแสงจันทร์พรรณนา
กระชับเธอเข้ามาแนบหาตัว
เด็กสาวช่างฝันดวงตาเศร้า
โลกนี้สีเทาและทึมทั่ว
ดวงหน้าเธอหม่นคล้ำด้วยความกลัว
มองรั้วลานแก้ว-มองแววตา
แววตาแห่งแสงจันทร์ของเจ้าชาย
ชัดฉายความรักจากดวงหน้า
ยิ่งเห็นยิ่งชัดยิ่งศรัทธา
ยิ่งหวั่นเช้าจะมาเร็วกว่าเป็น
คือความหอมหวาน-ความฝันเอย
นานแล้วไม่เคยจะได้เห็น
ฉันเก็บแก้วดมดอมกลีบหอมเย็น
ร้อยเป็นมงกุฎแก้วอยู่แผ่วเบา
สรวมเศียรเธอ-เจ้าหญิงริมหน้าต่าง
กระชับร่างบางแบบเธอแนบเข้า
จูบแรกใต้แสงจันทร์เธอสั่นเทา
จนเช้าพรายพร่างเป็นกลางวัน
ฟ้ารางชางสางคลี่สาดสีสัน
ม้าโบกปีกพึบพับขึ้นฉับพลัน
ลานแก้วนั้นเปล่าว่างไร้ร่างใคร
๔).
เด็กสาวแก้มป่องอย่าร้องไห้
ม้ามีปีกควบห้อคืนต่อไป
จะร้อยดาวกำไลมาให้เธอ...
๒๗ กันย์ ๒๕๔๘
ไปด้วยกันสิ
ไปด้วยกันไหม-
ฟังเรไรกล่อมทุ่งยามรุ่งสาง
กรุ่นกลิ่นความเหงาเศร้าอยู่เบาบาง
หอมกลิ่นความเวิ้งว้างอยู่บางเบา
เพื่อจะได้หัวเราะด้วยเสียงสะอื้น
คลอเสียงคลื่นโน้มหน่วงของรวงข้าว
เพื่อน้ำตาสักดวงจักร่วงร้าว
มองดาวสักดวงจักร่วงลับ!!
ฟังลมไกวคลื่นกราวคืนดาวดับ
ยอดคลื่นแตกดอกอยู่วับวับ
สะท้อนจับแสงพราวสกาวเดือน
เพื่อจะได้ร้องไห้ด้วยรอยยิ้ม
สนิมน้ำตาพร่าเปื้อน
เพื่อสำนึกสุดท้ายสลายเลือน
ล้มเรือนกายลง ณ ตรงนั้น!!
ไปด้วยกันสิ-
ไปดูการบานผลิของสีสัน
แห่งไม้ดอกยอดภูซึ่งชูชัน
ก่อนแสงวันค่ำพลบจะลบเลือน
เธอจะเห็นแสงตาดวงล้าอ่อน
ซึ่งซ่อนแสงหม่นอยู่ปนเปื้อน
ไปดูความฝันที่ฟั่นเฟือน
ฝันของเพื่อนมนุษย์-ฝันสุดท้าย!!
ไปด้วยกันเถิด-
เพื่อเห็นความบรรเจิดแสนเฉิดฉาย
ของล้านคำคารมความคมคาย
จากดวงหน้าขี้อายของเด็กน้อย
กุมมือเดินเคียงไร้เดียงสา
โตมากลางท่ามความต่ำต้อย
โครงร่างแตกเม็ดสะเก็ดรอย
เกี่ยวก้อยเขาเดินหยอกเอินไป!!
๕).
ไปไหม-ไปเดินตากดาว
พร่างพราวดาวเรืองชานเมืองใหญ่
ริมทางรางคดหมอนรถไฟ
ทอดไกลชานชาลาสถานี
เพื่อจะได้กอดอกตนเองก้าว
คืบเท้ายาวยาวดังก่อนกี้
กระเหย่งกระโดด-มือโบกวี
หัวเราะได้เต็มที่กับชีวิต!!
๖).
ไปโจนโตนโตดยามดึกไหม-
แล้วจุดไฟก่อฟืนให้ตื่นติด
ลมแรงโชนไฟไสวทิศ
จิดริดหิ่งห้อยจะพลอยวับ
เพื่อการปรากฏภาพงดงาม
ไฟโผงดอกวามแล้ววูบดับ
เป็นดาวแห่งแหล่งหล้าคณานับ
ระยิบระยับสุกปลั่งไปทั้งภู!!
๗).
ไปสิ-ไปด้วยกัน
ความฝันมีไว้เพื่อให้สู่
อาจเป็นความฝันเศร้าที่ลาดปู
ณ รอยต่อฤดูและทางเท้า
แต่ก็เป็นความฝันอันหนึ่งเดียว
แม้หลั่งกรากหลากเชี่ยวด้วยเปลี่ยวเหงา
เมื่อน้ำตาสักดวงได้ร่วงเงา
ความสุขความเศร้า-ก็เท่านั้น!! มติชนสุดสัปดาห์
ชายสวมแว่นวันศุกร์ในเสื้อเหลือง
เป็นวันที่แดดจัดและลมสด
ตลอดทางของรถสายสงขลา
เธอนั่งหน้าต่างซ้ายอยู่ปลายตา
ด้านขวาหน้าต่าง-ฉันนั่งชิด
เป็นเบาะแถวสุดท้ายของรถตู้
อุดอู้แน่นเอี๊ยดนั่งเบียดติด
ในความเงียบ-ต่างคนก็ต่างคิด
กับโลกใบจิดริดเฉพาะตน
แอบชำเลืองกรอบซ้ายอยู่หลายหน
เบาะหลังสุดรถตู้อุดอู้จน
หัวเข่าคนเบียดชิดอยู่ติดกัน
แอบชำเลืองไปทางหน้าต่างซ้าย
ข้ามคู่รักหญิงชายที่นั่งคั่น
เธอนิ่งสงบเงียบอยู่เงียบงัน
กับความฝันหอมหวล-โลกส่วนตัว
ฝันได้ด่ำดื่มทั้งลืมตา
เบื้องนอกแดดจ้าทาบทาทั่ว
แลบเลียอิดเอื้อนทุกเรือนครัว
เปรี้ยงแผดเผาหัวทุกตัวคน
เราดึงม่านปิดบังภาพทั้งหลาย
อยู่ภายในแอร์รถแผ่พ่น
ในความเงียบ-ต่างคนก็ต่างค้น
อาณาเขตตนเท่าที่มี
สีสันสดใสโลกในฝัน
รั้วกั้นด้านหน้าและทาสี
ไร้วันคืนเคลื่อนไร้เดือนปี
คงที่อย่างนั้นนิรันดร์ไป
ฉันเลียบรั้วโลกเธอด้วยสายตา
มิกล้าขยับเขยื้อนการเคลื่อนไหว
รั้วโลกทุกด้านลั่นดาลไว้
อยากรื้อรั้วด้านใดสักด้านลง
ขยับแว่น-ชำเลืองไปเบื้องซ้าย
หวั่นโลกแหลกทลายเป็นผุยผง
ค่อยเอื้อมมือเคาะรั้วอย่างบรรจง
พลันเธอส่งวงตาขึ้นมาพบ!
เย็นวาบสันหลังไปทั้งแถบ
ค่อยค่อยแอบก้มหน้าเบนตาหลบ
พนักหลังพิงรีบอิงซบ
องคาพยพหนาวสั่นขึ้นทันใด
สวยเหลือเกิน!
จนเคอะเขินอกสั่นอยู่หวั่นไหว
มิรู้แล้วล้อรถวิ่งบดไป
สงขลาหาดใหญ่หรือไหนกัน
เธอนั่งหน้าต่างซ้าย-ฉันนั่งขวา
สบตาเพียงแวบชั่วสั้นสั้น
ดั่งอายุกลางคนวัยฉกรรจ์
สามสิบห้าแห่งฉันในวันนี้
ดิ่งลงเป็นปรอทในน้ำแข็ง
เต้นแรงหัวใจและไหวถี่
ราววัยหนุ่มที่สูญหายมาหลายปี
เต็มปรี่ขึ้นมาอีกคราครั้ง
ฉันคว้าม่านมาดม-แล้วอมยิ้ม
กริ่มกริ่มคนเดียวในที่นั่ง
เบื้องนอกแดดร้อนโลกกร่อนพัง
ไม่ฟังไม่รู้ไม่ดูแล้ว!
ฉันดึงแขนเสื้อเหลือง-เหล่เบื้องซ้าย
เกิดลูกคลื่นเทถ่ายไปทั้งแถว
รถตู้แออัดขนัดแนว
แอบแขม่วหน้าท้องไปสองที
เผลอลูบหน้าผากที่เถิกเปิด
รีดกลีบเชิ้ตเหลืองพราวให้เข้าที่
โลกจะแหลกป่นลงเป็นผงคลี
ก็ไม่รู้ไม่ชี้แต่อย่างไร
เราสร้างโลกสวยสดในรถตู้
ไปสู่สงขลา-จากหาดใหญ่
ดึงม่านปิดทัศน์ทิว-รถลิ่วไป
ในความเงียบ-ของใครก็ของมัน! ............................................
............................................
ดึงม่านบังภาพทุกภาพไว้
โลกจะร้อนอย่างไรก็ช่างมัน!ศุกร์ที่ ๒๙ สิงห์ ๒๕๔๖ รถตู้สายหาดใหญ่-สงขลา และหญิงสาวคณะมนุษยศาสตร์-สังคมศาสตร์ ปี ๔ มหาวิทยาลัยทักษิณ ผู้บอกทางไปลานปาริชาต ด้วยเนื้อเสียงที่ยังทรงจำ
๑๓ กันย์ ๒๕๔๖ หนังสือพิมพ์โฟกัสภาคใต้
และกอดกันอยู่โอดโอย ผ้าไหนหนอจะซับ
ดวงเนตรขลับระยับสุก
ตาเธอที่เอ่อรุก
นั้นน้ำตาที่บ่าออ
มือนี้ที่ปาดป้าย
คือมือชายสีมอมอ
กรำงานกรำทุกข์พอ
ก็กร้านอยู่ก็เห็นกัน
เห็นว่าน้ำตาเธอ
นั่นแหละเออน้ำตาจันทร์
หยาดค้างอยู่เงียบงัน
ณ หัวใจใบหญ้าเขียว
รอแผดของแดดแรก
จะชำแรกเป็นลำเรียว
ผ่านพงอันทึบเทียว
ลงยอดหญ้าอันล้าโรย
เพื่อซับน้ำตาจันทร์
และกอดกันอยู่โอดโอย
ลมชายที่บายโบย
ก็จะพลิ้วผัดผิวมา
เห็นกันก็ยามนี้
น้ำตามีก็มือมา
ปาดทิ้งแล้วน้ำตา
และกอดเธอสะอื้นแทน...
๒๖ สิงหาคม ๒๕๔๗
ภูหมอก ๑).
เราเห็น-ภูหมอกนั้นขาวโพลน
ลมโยนปุยเหงาอยู่เบาแผ่ว
ข่าวภู-ฤดูหนาว ใกล้เข้าแล้ว
เหนือแนวเทือกทอดตลอดภู
ฟ้าปิด-ละอองหมอกแตกดอกบาน
ฟ้าหลัวมัวน่านฟ้านานอยู่
แหละตะวันโรยแรงร่วงแสงพรู
โรยปูแสงว้างเวิ้งทางเท้า
นวลแสงกลางหมอกหม่น-สนธยา
คือสีแดงแสงตาแห่งพระเจ้า
ลมโศก-โศลกขรึมเสียงทึมเทา
ลมจูบเธอเบาเบา-เถอะเข้าใจ
เดินไปสู่ภูสูง-เราจูงมือ
ส่งสื่อมือนั้นเธอสั่นไหว
กลัวขลาดหวาดเงา-หรือเขลาใด
อันซ่อนในพืดหมอกที่พอกคลุม
แรงไหวไรผมเพียงลมแผ่ว
หนาวแผ้วแล้วผ่านไปลานลุ่ม
มือเธอกระชับแน่น-คว้าแขนกุม
ลมกลุ้มรุมหนาวจนร้าวเนื้อ
ปลอบเธอ-เถอะเราเดินด้วยกัน
การไปสู่ภูชันต้องมั่นเชื่อ
แรงเกรียวเรี่ยวกรูอย่ารู้เรื้อ
จะใจเอื้อเอ็นดูมิรู้รา
ปล่อยไปตามใจเท้าที่ก้าวเถิด
ไม้เพยิดพยัก-หมอกกวักหา
อย่าไยดีการเร่ของเวลา
อย่างไรฟ้าวันคืนก็ผืนเดียว
ชื่อใดดอกไม้ภู-มิรู้จัก
หากที่รัก-กลิ่นห้อมช่างหอมเชี่ยว
ใบใดร่วงคว้างทอดทางเทียว
กรอบเรืองเหลืองเปลี่ยวทุกเรียวใบ
ชื่อใดดอกไม้ภู-มิรู้ชื่อ
ทิศใดอื้อลมพรู-มิรู้ได้
แปลกตาแปลกงามแปลกนามนัย
แปลกไหม?-มีอยู่ในภูชัน
ลมโยนปุยขาวอยู่พราวสัน
แปลกหรือชื่อนาม-หรือสำคัญ?
หากนั่นงามพอ-ก็พอแล้ว!
ลมสายโศกขรึมเสียงทึมเทา
ล่องลอยสร้อยเศร้ามาเบาแผ่ว
จากยอดภูสูงชันจากสันแนว
ไล่เรี่ยตามแถวของแนวทาง
มาทางช่องร่องห่างระหว่างช่อง
พรูพลิ้วผิวล่องตามช่องว่าง
เรี่ยดินลาดต่ำ-ระลำราง
ลมพร่างระหว่างพลิ้วละริ้วลม
ลมริ้วปลิวไม้ดอกไหวร่วง
ฝากดวงหอมให้ตรงไรผม
เธอสบตา-ยิ้มให้ดวงใสกลม
ฉันข่มความยินดีวิญญาณ
เธอจึงรู้-ฤดูหนาว ดอกไม้สวย
หอมด้วยผวยจีบแห่งกลีบหวาน
สดสีเปล่งปลั่งอลังการ
เบ่งบานสานสีสันชีวิต
สานเธอเข้ากับสรรพสิ่ง
ให้นิ่งกลมกลืนแนบสนิท
ละอองหมอกดอกหนาวพราวทิศ
เพียงใดใกล้ชิด?-แม้ปิดตา
เรากำลังเดินสู่สันภูหมอก
ดอกไม้สวยสักดอกก็บอกค่า
ว่าล้นแล้วดอกผลที่ด้นมา
สู่ความงามแปลกหน้าแปลกตาตน
เธอจึงรู้-ฤดูหนาว ดอกไม้หอม
ซ่อนในอ้อมลึกลับ-ในสับสน
ที่ที่เธอเขลาหวาดและขลาดจน
ถามเหตุผลแห่งงาม-แห่งนามนัย
อย่าถามอันใดอีกเลย-ที่รัก
จะหนาวหนักเนื้อปริ-ตอบมิได้
รู้เพียงว่าทางท่องนั้นต้องไป
รู้เพียงใจเราร้องขอท่องทาง
รู้เพียงนำเสนอให้เธอรู้
กลางสันภูยังมีซึ่งที่ว่าง
ในสายหมอกดอกฉ่ำของน้ำค้าง
ให้เราวางเท้าทอดตลอดภู
อย่ากังวลอันใดเลย-ที่รัก
จะรู้จักหรือไม่-ลมสายอู้
ดอกไม้ใดบานผลิแล้วมิรู้
แหละฤดูเหน็บหนาวนั้นเท่าใด
ปล่อยไปตามใจเท้าเราก้าวเดิน
ชมเพริดเพลิดเพลินทางเดินใหม่
นั้นผมไรสลวยพรายสยายพราว
อย่าถามถึงความงามแห่งนามนัย
อันซ่อนในพืดหมอก-ในดอกหนาว
ลมเสียงโศกโกรกไม้จนไหวกราว
โพลนขาวข่าวภู-ฤดูลม
ละลิ่วลิบพริบตาก็ลาผ่าน
มาเพียงฝานแรงไหว กรีดไรผม
ผ่านไปกอบกรอบใบที่ไหม้อม
ลิบลิ่วปลิวกลมกลืนลมลับ
ไปเถิด-เกี่ยวก้อยต้อยตามกัน
ดวงตะวันลดไต่ไล่ระดับ
ภูโลมลมเพลงมาวับวับ
ดวงตาพระเจ้าใกล้ดับใกล้หลับตา
ฟ้าปิด-แต่ภูเปิดให้ค้นหา
อย่าไยดีโพล้เพล้ของเวลา
ไม้ดอก หมอกหนา-หรือว่าใด
แปลกหรือมิเข้าใจอันใดเลย
ทั้งมิเคยคาดคิดจะชิดใกล้
มิกระทั่งรู้จักมาจากใคร
แปลกไหม? หากงามพอ-ก็พอแล้ว
จนดวงตาพระเจ้าหลับสนิท
มืดมิดก็พราวด้วยดาวแก้ว
พร่างอยู่เหนือภูชันเหนือสันแนว
หนึ่งพรึกแพรวก็ปลั่งกว่าทั้งปวง
กอดเถิดเด็กน้อย-เถิดเด็กดี
ราตรีพรายดาวนี้หนักหน่วง
อย่าตกใจ-พรึกหนึ่งจะตึงดวง
ฉายช่วงแสงสีมาคลี่ทาง
....................................
อย่าตกใจ-พรึกพรายจะฉายดวง
ผ่านล่วงสันภู-มาสู่เรา
ไรเตอร์แมกกาซีน
แห่งสิงหาคม
ในความอึกทึก-มีความเงียบ
อันราบเรียบเงียบเหงาและเบาแผ่ว
นุ่มนวลอ่อนโยนราวขนแมว
ล่องแล้วลอยอยู่มิรู้ลง
ในความฝันสีดำ-มีความขาว
เป็นจุดดาวพราวพุ่งอยู่สูงส่ง
เพื่อทอความงามงดเป็นกลดทรง
ทอดวงแสงวาดอยู่ดาดฟ้า
แหละในความเติบใหญ่-มีวัยเยาว์
ผุดเงาร้อยเรียงความเดียงสา
ในดวงใจหนักหน่วง-มีดวงตา
เพรียกหาหัวใจแห่งวัยเยาว์
คล้ายคล้ายกลิ่นทะเลได้เพพัด
แหละคลื่นซัดสะท้อนวันก่อนเก่า
ลำสนสูงยอดนั้นทอดเงา
ลมเป่าหาดทรายฟุ้งฟายมา
คล้ายคล้ายดอกไม้ขาวกลีบเบาบาง
อวดร่างรูปทรงอยู่ตรงหน้า
ในฤดูเมฆขาวเริ่มเทาทา
รอเวลาแตกเกล็ดเป็นเม็ดน้ำ
แห่งสิงหาคม-
สายลมหมาดชื้นเริ่มชื่นฉ่ำ
เธอมาคืนที่ฝันสีดำ
ฝันซึ่งซากซ้ำประจำมา
ในความเจ็บปวด-ความรวดร้าว
ความหนาวเหน็บหนักนั้นนักหนา
มือเบาเย็นชื่นเธอยื่นมา
ดวงตารอยยิ้มเธอเยี่ยมเยือน
เสียงสนวู่ไหวในสายลม
สิงหาคม-ดวงตาที่ฝ้าเฝื่อน
จับจ้องใบหน้าเธอไว้เพ้อเตือน
ก่อนการเคลื่อนสติสู่ภวังค์!!
ไกลโพ้น-
ปุยอันอ่อนโยนอยู่โพ้นฝั่ง
ระเบียงที่ดาวละดวงยัง
ระยับปลั่งเปล่งสุกอยู่ทุกดวง
ห้วงแห่งการหลับใหลตามลำพัง
ฉันเพรียกขานความหลังอันลับล่วง
เพ่งอยู่ในความกว้างที่ว้างกลวง
ทั้งปวง-ที่ไร้ที่ไม่มี
ในความเงียบอันมิรู้ตัว
กับความกลัวการหลับอยู่กับที่
ช่วงแห่งนาฬิกาต่อนาที
ลมหายใจที่ช่างแผ่วเบา
ห้วงแห่งการหลับใหลอันยาวนาน
คืบคลานดิ่งดำสู่ความเศร้า
สูญเสียการหวังคาดและวาดเดา
แห่งเค้าดวงหน้าเมตตานั้น
ดั่งลอยโกลนเรือร้างอยู่กลางฝัน
เบื้องเหนือดาวดื่นนับหมื่นพัน
พรางแสงเงียบงันอยู่ระยับ
แล้วดอกไม้ก็ร่วงจากดวงดาว
กลีบขาวแสนงามในยามหลับ
แอมโมเนียฉุนจัด-สัมผัสรับ
และดวงตาดำขลับจ้องจับมา
ฉันมองโลกด้วยตาเพียงข้างเดียว
โน้มเหนี่ยวจักรวาลด้วยควานหา
อธิบายสิ่งสรรพเพียงหลับตา
เยียวยาความบอดใบ้มอดตน
จึงรู้-ในความงามมีความเศร้า
ครึ่งค่อนวัยเยาว์ช่างเหงาหม่น
ผิวทะเลที่แดดได้แผดปน
เสียงสนหวิววู่ลมลู่ใบ
ปิดตาข้างหนึ่ง-ข้างหนึ่งเปิด
ดูเถิด-เส้นระที่จะไต่
แนวราบระนาบตลอดที่ทอดไกล
แบ่งน้ำกับฟ้าไว้อย่างชัดเจน
โอวัยเยาว์-
การเติบโตแสนเศร้า-และล้อเล่น
กาลเวลาอัดหนีบซ้ำบีบเค้น
หลอมเป็นชีวิตเบี้ยวบิดทรง
ในความฝันสีขาว-มีเงาดำ
ซ่อนงำรอกาลจะสานส่ง
ค่อยเล็มแสงรอบประกอบองค์
เพื่อถล่มล่มลง ณ ตรงนั้น
ตรงที่ดอกไม้ขาวกลีบเบาบาง
อยู่ระหว่างความจริงกับความฝัน
ในความมืดที่เงียบอย่างเฉียบพลัน
และการตื่นที่อันตรธานวัย
ปุยอันอ่อนโยนอยู่โพ้นไหน?
สิงหาคม-คลื่นเดิ่งสนเริงใบ
อึกทึกอยู่ในความวังเวง
เอื้อมคว้าดาวสักดวงจักร่วงมา
ดวงตาแม้ข้าง-ก็ยังเปล่ง
มิติราบโล่งอันโคลงเคลง
ยังเขย่งเหยียดเงื้อมยังเอื้อมคว้า
วิ่นแหว่งบิดเบี้ยวมาเชี่ยวกล้า
จึงดวงใจบอบช้ำ-มีน้ำตา
สูญเสียเค้าหน้าเมตตาใด
ในความเงียบมีความอึกทึก
เสียงหัวใจเต้นตึก-รู้สึกได้
ฉันหลับตาอีกดวงดิ่งทรวงใน
เลื่อนไหลสู่การหลับ-มิรับรู้
ล่มซ้ำซากพื้นที่ยืนอยู่
ระเบียงดาวดาดที่หยาดอณู
จึงปูแสงลาด ณ หาดทราย
เติบโตมาโง่เขลาและสูญหาย
เบื้องหน้าเธอยืนอยู่-คือผู้ชาย
ผู้ทำลายเด็กน้อยลงย่อยยับ!!
กระแสลมพัดหวนเพื่อทวนกลับ
ถ่างความฝันความจริงเพียงนิ่งนับ
กี่คราหลับ? กี่วามหยาดน้ำเกลือ?
เธอผู้มีรอยยิ้มในดวงตา
ผ่านมาเพื่อคุณการอุ่นเอื้อ
มิรับรู้หน่วยตาที่พร่าเครือ
ของชายผู้เลือดเนื้อ-มิเหลือใด!!
รพ.รามาธิบดี สิงหาคม ๒๕๔๔ ตีพิมพ์ครั้งแรกที่ เนชั่นสุดสัปดาห์
บทเพลงโพ้นทุ่ง
๑).ลุ่มดินถิ่นนี้เคยมีมนต์รักตรึงตรา
โพ้นทุ่งคือลำคลองน้ำนิ่ง
ตลิ่งสองฟากยึดรากหญ้า
ให้หยัดต้นชูยอดตลอดมา
และระนาบราบหล้าเวลาลม
ลัดทุ่งโดยทางใช้ย่างก้าว
กอข้าวท่วมล้อมห้อมห่ม
ไมยราพทิ่มตำหนามคม
เลนตมโคลนเปือกเทือกทาง
เด็ดดอกหญ้าเสียบก้นแมลงปอ
ไล่ล้อเล่นลมโลมร่าง
ปีกใสไร้สีคลี่กาง
บอบแบบโปร่งบางหางยาว
โพ้นทุ่งคือลำคลองน้ำลึก
ที่พฤกษ์ทบพุ่มตะคุ่มท่าว
บดบังลำพูดอกพราว
ที่กิ่งน้าวโน้มโค้งลงน้ำ
๒). แดดบ่ายปลายคุ้งท้องทุ่งรวงทอง
ผิวหน้าอาจเงียบดูเรียบนิ่ง
ค้อมกิ่งโค้งจุ่ม - ชุ่มฉ่ำ
แผ่วเสียงแอคคอร์เดียน การเขียนคำ
ของครูเพลงผู้คร่ำเคี่ยวกรำงาน
แดดบ่ายระบายทุ่งจรดคุ้งโค้ง
ฟ้าโล่งโปร่งปลอดตลอดน่าน
สดับสรรพคีย์อลังการ
เนิ่นนานนาบเนิบ - เนิบช้า
เนิบช้าแผ่วบางแล้วจางหาย
ละลายไปกับแดดที่แผดจ้า
เกล็ดแดดสะท้อนวับ จับตา
โรยหน้าผิวน้ำในลำคลอง
ดงดอกลำพู - ชมพูม่วง
โรยร่วงกลีบน้อยลงลอยล่อง
ภวังค์กำลังเอ่อ - เหม่อมอง
พรายฟองฟ่องพราวที่เท้าตี
เงี่ยฟังเสียงแอคคอร์เดียน - การเขียนเพลง
อันแว่วหวานวังเวงเหลือที่
นานนับทศวรรษ - ปีผลัดปี
ดนตรี คีย์โน้ต บทเพลง
กรุ่นกรุ่นในคำนึงคิดถึงอยู่
เพลงครูแจ่มชัด - ครัดเคร่ง
อบอวลมวลฝันบรรเลง
ท่ามกลางความวังเวงของเพลงลม
๓). หยาดเหงื่อที่ย้อยอยู่เหนือคิ้วนาง ลุ่มน้ำลำคุ้งปลายทุ่งข้าว
ฤดูเกี่ยวเมฆหนาว - ขาวห่ม
แต่ละรวงอวบอ้วน - ชวนชม
ทองถมโน้มรวงถ่วงปลาย
จึงเพลงรักบ้านทุ่งก็ฟุ้งกลิ่น
ไวโอลินเสียงดีก็สีสาย
เป็นเสียงรวงเสียดเปลือก - ลมเสือกราย
ใบคายละเอียดก็เสียดเรียว
สาวสวมงอบกอบเกี่ยวเอาเคียวเก็บ
สากหนามือเล็บเพราะเก็บเกี่ยว
พอลมโหมรวงข้าวกันกราวเกรียว
เหงื่อเหนียวก็คายกระอายร้อน
หยาดเหงื่อที่ปลายคิ้วจึงปลิวลม
เส้นผมจึงไรสยายอ่อน
วับวับเคียวกำรำฟ้อน
ทรานซิสเตอร์ถ่านก้อนกระท่อนมา
เสียงปาดไวโอลินแล้วชักกลับ
สอดรับเสียงทุ้มของรุมบ้า
เปียนโนพลิ้วคีย์นิ้วลีลา
โดเรมีฟาซอลลาซี
เก็บดอกลำพู - ชมพูม่วง
พอนลำพูทอดงวง - หวงที่
สงบนิ่งมั่นคงอยู่ตรงนี้
ฟังเพลงสีไวโอลินส่งกลิ่นไม้
๔). ทุ่งนาแดนนี้ไม่มีความหมาย
ท้ายทุ่งคือลำคลองน้ำลึก
พุ่มพฤกษ์ลมโกรกก็โบกไหว
วงกระเพื่อมเลื่อมแดดถ่างแวดไป
ลมเรี่ยน้ำใสนั้นไล่วง
จนตะวันชายคล้อยลอยลงต่ำ
ลำพูชายน้ำกิ่งก่ง
ก็ทอดเงาระนาบราบลง
กับพงหญ้ารกที่ปรกดิน
ควันไฟจากครัวเริ่มพวยควัน
เสียงโขลกครกลั่นสนั่นถิ่น
แอคคอร์เดียน เปียนโน ไวโอลิน
ยังยินสำเนียงคลอเสียงครก
ผละจากดงลำพู - ชมพูม่วง
พอนลำพูทอดงวง - ดอกดก
ทรานซิสเตอร์ถ่านก้อนกระท่อนกระทก
ยามสายัณห์ตะวันตกลงอกดิน
ลัดทุ่งโดยทางที่ย่างก้าว
คล้อยสาวสวมงอบเหงื่อประทิ่น
เพลงครูโผยแว่วที่แผ่วยิน
ช่างฟุ้งกลิ่นหอมล้ำของน้ำพริก!
๑.-เพลง กลิ่นฟางสาบสาว ร้องโดย ปอง ปรีดา ๒.-เพลง ทุ่งรัก ร้องโดย ศรคีรี ศรีประจวบ ๓.-เพลง หยาดเหงื่อเหนือคิ้วนาง ร้องโดย ชัยชนะ บุญณโชติ ๔.-เพลง รอยไถแปร ร้องโดย ก้าน แก้วสุพรรณ
ผู้จัดการรายวัน(เสาร์-อาทิตย์)
รักของชีวิตชนิดนี้ รักเธอด้วยใจอันใสซื่อ
และรักเท่าที่มือเธอยื่นให้
มิคาดหวังขอบฟ้าเกินกว่าไป
มิคาดหมายดาวดวงใดอันไกลเกิน
รักเท่าที่หัวใจจะให้รัก
เท่าที่เธอให้รู้จักหรือขัดเขิน
หอมไม้ดอกซอกสวนมาชวนเชิญ
หัวใจเธอหมางเมินเลยหรือไร
รักเท่าที่หัวใจที่ฉันมี
และเท่าที่ความรักจักรักได้
ในวิญญาณที่ซ้อนร่างอยู่ข้างใน
อาจรักใครก็ได้-แต่ไม่รัก
สัมผัสรักรู้ได้ด้วยรู้สึก
เช่นสัมผัสประกายพรึกด้วยรู้จัก
เธอจะก้มดูทรายหรือทายทัก
หัวใจเธอย่อมตระหนักอยู่แก่ใจ
ฉันเพียงร้อยสร้อยรักถักศรัทธา
จะหลงเพ้อว่าเลอค่าก็หาใช่
รักจะถักจากชีวิตชนิดใด
ค่าอยู่ที่ผู้ให้และผู้รับ
รักฉันถักจากชีวิตชนิดนี้
ไมตรีเธอจะชื่นหรือยื่นกลับ
มิอาจหยั่งความรู้สึกอันลึกลับ
ที่เธอซ่อนซ้อนซับไว้กับทรวง
ยื่นให้ด้วยสิเนหาใช่เหนี่ยวหน่วง
เธอจะรับหรือไม่-ได้ทั้งปวง
เท่าที่ดวงใจเธอรู้ค่ารัก
กุลสตรี ปักษ์แรก ฉบับที่ ๕๗๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘
รักหวานฉ่ำ!!
อาไรไม่รู้เรื่องเลยอ่า
อยากได้แบบเป็นเล่ม
เมื่อไหร่จะวางซะที
Web Statistics : online 0 member(s) of 56 user(s)
User count is 2592146 person(s) and 11151267 hit(s) since 19 เม.ย. 2568 , Total 550 member(s).