เรียกอะไรก็ได้...

by น้ำพี้ @11 ก.ย.53 11.00 ( IP : 58...233 ) | Tags : กระดานข่าว

เขียนข้อความบทหนึ่ง
ซึ่งคงมิใช่กวี
สะท้อนรู้สึกมี
บ่งบอกชี้ถึงตัวตน 


ตีความตามตรรกะ
ทรรศนะแห่งบุคคล
ถูกหรือผิดต้องคิดค้น
หาเหตุผลอธิบาย 


เขียนถึง...
น้ำค้างยามค่ำ
ถึงฝนพรำในยามสาย
ร้อนแผดแดดตอนบ่าย
คนมากมายยามย่ำเย็น 


ความรู้สึก..ความทรงจำ
ชีวิตธรรมดาที่เป็น
กลั่นกรองความคิดเห็น
วางประเด็นตามมุมมอง 



"เปล่าหรอกมิใช่บทกวี
แค่คำเรียงที่เสียงคล้อง
กวีนั้นจักต้อง
ยกระดับจิตวิญญาณ 


ต้องเปี่ยมด้วยปรัชญา
ล้ำเลอค่าจินตนาการ
คำเรียงไพเราะหวาน
มิเรียกขานว่ากวี"



..จะเรียกอะไรก็ได้
เรียกดอกไม้หรือเก้าอี้
แล้วแต่นิยามมี
เรียกอะไร...ไม่สำคัญ 

Comment #1
Posted @11 ก.ย.53 12.43 ip : 118...17

ถ้านิยามกวีเป็นแบบนั้นละก็ ผมจะเป็นกวีไหม?


สำหรับผม กวีต้องเดินตลาดได้ ต่อราคาหมูได้ ซื้อเคยปลามาจี่ทำน้ำพริกได้ สุขได้ เศร้าได้ เลวได้


บทกวีหรืองานเขียนใดๆ ก็ต้องไม่นำพาคนอ่านไปสู่ความหมกมุ่นสิ่งเลวร้าย ไม่ทำให้คนอ่านเสียศูนย์แห่งความดีงาม  ผมไม่รู้ว่านั่นคือการยกระดับจิตหรือเปล่า

ใช่ครับ จะเรียกอะไรก็เรียกไป  ขอแต่ให้เป็นการเรียกด้วยน้ำเสียงแห่งความเป็นมนุษย์เท่านั้นพอครับ

Comment #2
Posted @11 ก.ย.53 14.12 ip : 111...66

๏ เมื่อแรกเรียกกวี
เขียนวลีเล่นคำจำนรรจ์หวาน
สูดหายใจอิ่มโอ่โอฬาร
เรียกตนก่นขานว่ากวี
เมื่อกลางขวางใจสัยสง
ท่านภู่ดำรงหลักศักดิ์ศรี
เลิศงานล้ำค่าประดามี
ผ่านเวลาพิสูจน์ศตวรรษ
จึงคงคุณค่ากวี
เรานี้กระพี้มิอาจจัด
ไหนเลยเกยคำจำนรรจ์วัด
เทียมทัดท่านภู่ครูกลอน
เมื่อปลายเห็นคนสนคำ
เวียนย้ำเรียกกวีกันสลอน
ถึงยุคกวีเกลื่อนพระนครฯ
มองค้อนก็คงปลงใจ
ยกท่านภู่เป็นเลิศ 'เอกกวี'
เรานี้แค่กระวีกระวาดไหว
บ้างกระว้อกกระแว้กกระวี่กระไว
เป็นอะไรก็ได้ที่ไม่กระโวยกระวายฯ

Comment #3
Posted @11 ก.ย.53 15.11 ip : 118...17

น้าดินครับ คำว่า สงสัย จะเอามาสับตำแหน่งเป็น สัยสงไม่ได้ครับ เพราะสับแล้วไม่มีความหมาย

ตอนผมเริ่มมีงานตีพิมพ์เผยแพร่ เวลาใครเรียกเราว่ากวีนี่ มันเหนียมๆอายๆไงไม่รุ ซ้ำบางทีคิดไปว่าเขากระแนะกระแหนอยู่ป่าววะ 55555


ไอ้จะให้เรียกตัวเองเต็มปากว่ากวี ก็โหย มิกล้าๆ  เรียกบ้างบางทีในกลุ่มเพื่อนฝูง เรียกเล่นๆเอาฮา


แต่ตอนนี้ดีแล้วครับ ที่เราทั้งหลายไม่รู้สึกว่าการเป็นนักเขียนหรือกวีมันเลิศล้ำเกินกว่ามนุษย์อื่น

เพียงแต่ต้องมีตัวงานที่มากพอและดีพอแก่การเรียกให้เห็นถึงคำว่านักเขียน-กวี

Comment #4
Posted @11 ก.ย.53 16.02 ip : 58...233

อย่างท่านหมี่ต้องเรียกกวี แน่ ๆ กวีซีไรท์ไง ...

ใคร ๆ เขาชอบยกให้ "กวี" อยู่บนหิ้ง เป็นการทอดทิ้งที่สูงส่ง

... มันช่างขัดกับ "สำหรับผม กวีต้องเดินตลาดได้ ต่อราคาหมูได้ ซื้อเคยปลามาจี่ทำน้ำพริกได้ สุขได้ เศร้าได้ เลวได้ " อย่างแรง

คำเรียกขานนั้นสำคัญไฉน

Comment #5
Posted @12 ก.ย.53 1.36 ip : 58...233

"เอ้อ เพิ่งนึกออกค่ะ อีกนิยามกวี ในแบบไม่ยิ่งใหญ่
เคยคุยกันเล่นๆ ในหมู่เพื่อนๆ ตอนเรียนวรรณคดีไทยว่า กวีไทย มีเอกลักษณ์อย่างไร สรุปนิยามได้ว่า "ขี้เมาและเจ้าชู้" ๕๕๕ "

ข้อความข้างบนนี้มีผู้มาเม้นต์ไว้ใน Blog ค่ะ ( คนคุ้นเคยที่เคยเข้าเวปนี้ ) อาคันตุกะแห่งบ้านกวีทั้งหลายมีความเห็นอย่างไรคะ ....เห็นด้วยหรือไม่

Comment #6
Posted @12 ก.ย.53 2.20 ip : 111...27

โอ..ขอบพระคุณขะรับน้้าหมี่  ข้าพเจ้าสลับคำเอาสนุกใจจนเพลิน โดนน้าหมี่ใช้ตะบวยเคาะกบาลเสียบ้างล่ะดี เป็นว่าคำที่แยกแล้วยังเป็นคำอย่าง 'คลาดครา' สามารถสลับเป็น 'คราคลาด' แต่สำหรับคำที่แยกแล้วเป็นวลี ไม่มีความหมาย ไม่สมควรสลับ อย่างนี้ผู้น้อยเข้าใจต้องตรงแล้วใช่ไหมขะรับ?

พี่่น้ำพี้ยิงคำถามกราดกระสุนเยี่ยงนี้ ผู้น้อยยากมุดหลบ แหม..นิยามนั่นพุ่งตรงจำเพาะกวีบุรุษ กวีสตรีก็มีนะขะรับ หยั่ง 'แม่พุ่ม' บุษบาท่าเรือจ้าง ขวัญใจข้าพเจ้าเทียวล่ะ ท่านคงไม่เจ้าชู้ไม่ขี้เมากระมังขะรับ (เป็นไง..หลบพ้นไหม?)

Comment #7
Posted @12 ก.ย.53 11.04 ip : 118...137

การสลับตำแหน่งพยางค์ของคำ มันต้องสลับแล้วความหมายคงเดิม จึงจะใช้ในบริบทเดิมได้ เช่นรุ่งเช้า สลับเป็นเช้ารุ่งได้ แม้ว่าสลับแล้วจะให้ภาพแตกต่างเล้กน้อยก็ตาม เช้ารุ่ง หมายถึงช่วงเวลาเช้าที่รุ่งขึ้นมา แต่รุ่งเช้า หมายถึงช่วงที่เวลาที่แสงรุ่งเรื่อมาในตอนเช้า เป็นความแตกต่างตรงนามกับกริยาเล็กน้อยครับ แต่บางคำเช่น แน่นอน เราจะสลับเป็นนอนแน่ ไม่ได้ เพราะจะกลายความหมายไป

ส่วนบุคลิกลักษณะกวีไทยที่ว่าขี้เมา-เจ้าชู้นั้น ไม่ทราบครับ(ฮา)

เพราะผมขี้เมามาตั้งแต่วัยรุ่น กินเหล้าเมามาตั้งกะอายุ 15-16 ยิ่งช่วงวัย 20 ต้นๆนี่เป็นทศวรรษแห่งความเมาของผมเลย (อายแฮะ)

ตอนนี้ก็ยังดื่มอยู่ แต่ลดปริมาณลงไปมากกกกกกกกกกก และไม่เมาเหมือนสมัยวัยรุ่นครับ

ส่วนเจ้าชู้นี่  ไม่ใช่นิสัยผมเลย แม้จะหน้าตาดีเพียงไรก็ตาม(หุหุ) อย่างว่าแหละ สมัยวัยรุ่นก็หนักไปทางวิถีแบบผู้ชายบ้านนอก มีแค่ 2 อย่างคือเมากับตีชาวบ้าน(หรือโดนชาวบ้านตีนี่แหละ) ไม่ค่อยว่างนักกะเรื่องสาวๆ แม้จะมีสาวมาหลงรักอยู่ไม่ขาดสายก็ตาม (ฮา)


แต่แปลก ผมกลับเป็นขวัญใจกะเทยมาตั้งกะวัยรุ่น ไม่รุบ้าอะไรไอ้พวกนี้ มันชอบมาจีบผมตลอด ยิ่งช่วงเรียนรามนี่ ต้องใช้วิธีเตะกะเทยละครับ มันถึงได้ห่างๆออกไป


เวรกรรมของคนรูปหล่อจิงๆ

Comment #8
Posted @12 ก.ย.53 15.20 ip : 111...156

รับทราบ ขอบคุณขะรับ
ข้าพเจ้าไม่หล่อ..รอดตัวป่ะ

Comment #9
Posted @13 ก.ย.53 13.08 ip : 69...88

ไม่อยากจะเชื่อน้าดิลล์ผู้หล่อเหลา คมคาย ... และมีแม่ไม้คารมอันเป็นเอก

ข้าพเจ้าก็ไม่มีสาวๆ เช่นกันขะรับ ... อาจจะขี้เมาแต่ไม่เมารัก อิอิ

...

ชอบบทนี้ของคุณน้ำพี้อย่างยิ่งขะรับ ไพเราะและสะท้อนใจได้ดียิ่ง ...

กวีนั้น เป็นภาษา สันสกต
คือนักคิด นักปราชญ์ นักฝัน
ผู้เรียงร้อย ถ้อยคำ ร่ำจำนรรย์
ผู้รังสรร โคลงกลอน ไว้สอนใจ  ...

....

อันกวีมีความหมายว่าไงหรือ?
...ขึ้นกับถือ คำนิยาม ตามเขตไหน
ถ้าถือเอาคำนิยามตามหัวใจ
กวีไซร้ คือ ขี้เมาที่เล่ากลอน

(แต่งตามคำนิยามของท่านพี่น้ำพี้ขะรับ ...)

แต่งสด....ตะกุกตะกักอย่างรุนแรง ...

พักนี้สมองตื้อๆ แต่งอะไรไม่ค่อยได้ ...
สงสัยต้องไปหาสุรามาบำรุงสมองก่อนขะรับ

แล้วจะกลับมาคารวะใหม่นะขะรับ ...:)

แว๊บบบบ

Comment #10
Posted @13 ก.ย.53 16.31 ip : 113...77

ยังไงก็ตาม อย่าให้กวีมันลอยตัวเป็นเทวดาเลยนะครับ

ผมห่วงเรื่องมานาน


เพราะมันทำให้เด็กรุ่นใหม่ไม่อ่านแล้ว มันยังไม่จริงกับสถานภาพของกวีปัจจุบันด้วย

แต่จริงที่สุดก็คือ กวีนักเขียนต้องทำงานที่ดีที่สุดออกมา  ซึ่งรวมไปถึงนัยแก่นแกนของเรื่อง และภาษาสำนวนที่สอดคล้องต้องกัน

Comment #11
Posted @13 ก.ย.53 16.39 ip : 69...88

กวีคือคนธรรมดาแหละครับน้าหมี่ เด็กเดี๋ยวนี้ไม่อ่านกวี เพราะเขาเข้าไม่ถึงความหมายของบทกวี หรืออีกนัยหนึ่งคือกวีเข้าไม่ถึงจิตใจของพวกเขา ...

สื่อก็โหมประโคมกระแสชาติ (อื่น) นิยม... พูดไปแล้วก็ขื่นขม แทนกวี (ตัวจริง)...

เกือบทุกคนรวมทั้งพี่หมี่และผมส่วนใหญ่ทำงานอย่างอื่นเป็นงานหลัก ถืองานกวีเป็นงานรอง เลยไม่กระทบกระเทือน แต่คนที่ทำงานเขียนอย่างเดียวนี่สิครับ ...น่าเป็นห่วง...

ยิ่งอ่านที่พวกนักเรียนเขาเขียนกันในบล๊อกหรือในเว็บบอร์ดทุกวันนี้แล้วยิ่งตรอมใจ...

เศร้าใจกับ "พาสาทัย" จิงจิงแว้วววว

โอยยย ปวดตับ!!

Comment #12
Posted @13 ก.ย.53 19.59 ip : 118...40

ผมแปลกอยู่อย่าง ไม่เคยอนาทรร้อนใจเรื่องภาษาวิบัติสักเท่าไหร่ครับ

เพราะเชื่อมั่นว่ามันเป็นคำแสลง ซึ่งมีทุกยุคสมัย สมัยผมก็มีใช้ คิดคำขึ้นมาเพื่อสร้างจุดเด่น การยอมรับ

หากมันไม่ดีจริงมันก็หายไปเอง

เช่นเดียวกัน หากมันดี มีการยอมรับ คำแสลงนั้นก็จะเป็นคำใช้จริงทันที

ภาษามีการลื่นไหลได้ เปลี่ยนแปลงได้

ผมเคยขึ้นเวทีกับวัฒนธรรมจังหวัด แกห่วงเรื่องภาษาวิบัตินี่แหละ พอคิวผม ผมก็พูดแก้ต่างให้เด็กซะงั้น 555

แต่วัฒนธรรมจังหวัดลืมไปว่า ครั้งแกวัยรุ่นก็เคยมีคำว่าเด็ดดวง เด็ดสะระตี่ ใช้เกร่อ

แสดงความคิดเห็น

« 1430
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง

งานเขียนของข้าพเจ้า

personมุมสมาชิก

Last 10 Member Post

Web Statistics : online 0 member(s) of 33 user(s)

User count is 2437073 person(s) and 10224932 hit(s) since 24 พ.ย. 2567 , Total 550 member(s).