นิยายเล่มเล็ก : ฝากไปกับสายลม

by ธุลีดิน @10 ต.ค.53 11.26 ( IP : 1...215 ) | Tags : กระดานข่าว

สมุดนักเรียนเล่มนั้น


สมุดนักเรียนเล่มนั้นเก่าคร่ำ ขอบเยินยุ่ย รอยยับตรงสันฉีกขาด ปกเหลืองซีดเต็มด้วยลายริ้วไม่ต่างชายชรากรำโลกผู้เก็บเรื่องราวหนหลังไว้ในร่องลึกยับย่นของผิวกาย  หน้าปกถูกพลิกช้า ๆ มีหยดน้ำเผาะลงบนลายมือประจงเขียนด้วยดินสอ  ส่วนบนเป็นอักษรตัวใหญ่คมชัดอ่านว่า..บันทึกดวงใจ


บันทึกดวงใจ

๑ เพรง

ข้าพเจ้าพบเพรงบนถนนสายชะตา  เราสัญจรไปมาโดยหารู้ไม่ว่าใครเป็นใคร เป็นตัวอักษรแปลกหน้าไร้วิญญาณ  ทักทายกันวันนี้เพียงสนองปรารถนาแล้วทิ้งกันในวันถัดมาเหมือนทิ้งกระดาษชำระใช้แล้ว ไม่ต้องสนใจว่าอักษรแปลกหน้าที่เราเคยพูดคุยอย่างสนิทสนมจะมีความรู้สึกนึกคิดหรือไม่  หากหวังปกป้องตนเองจากเป็นผู้ถูกทิ้ง จากความรู้สึกต่ำต้อยคล้ายวัชพืชไร้ค่า ต้องเมินเฉยเสียได้กับความรู้สึกอ่อนไหวผูกพัน  ที่ก้นบึ้งของความเป็นมนุษย์ทุกคนล้วนเจ็บปวด ไม่มีใครต้องการทำร้ายใคร  แต่ปฏิเสธไม่ได้เราล้วนพบพานเพื่อผ่านพ้น  ผู้หลงด่ำดื่มรสแห่งมิตรภาพโดยหวังเกลือกกลิ้งอยู่กับความหวานชื่นจะเป็นเช่นแมลงน้อยหลงวนฉ่ำรสเกสรกว่ารู้ดอกไม้นั่นก็หุบกลีบกลืนกินมันไปแล้วทั้งเป็น

ข้าพเจ้าพบเพรงบนโลกเช่นนี้

โลกที่ซาตานปรากฏกายในคราบนักบุญ  ใช้อสนีอักษรฟาดฟันทำร้ายผู้อื่นโดยไม่มีใครต้องการตอแย  โลกที่ความป่วยไข้ได้รับการเยียวยาด้วยโอสถแห่งโมหะ  โลกที่จริงลวงซ้อนทับกันเพียงพลิกหน้าเหรียญ  เราไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าใบหน้าอักษรนั้นมีกี่ลักษณาการ  หลายใบหน้าซึ่งเราพบปะพูดคุยเป็นคนเดียวกันหรือไม่  อักขระวาจาที่เปล่งออกมามีความจริงใจแค่ไหน

ผู้กรำโลกล้วนเลิกเอ่ยคำถามเหล่านี้  เพราะมีแต่ก่อความสับสน ไร้ประโยชน์เฝ้าเสาะหาว่าใบหน้าเบื้องหลังหน้ากากอักษรเป็นอย่างไร  เราหยุดความสนใจไว้ที่ตาเห็น  ใจสัมผัส  มองไปข้างหน้าโดยไม่ถามถึงที่มาดุจนางนวลโฉบฟองคลื่น  อาจมีปลาน้อยหรือความว่างเปล่า แต่ไม่เคยถามเกลียวคลื่น เจ้าเป็นใคร? มาจากที่ใด? ผ่านแล้วเพียงโบยบินกวาดตามองหาคลื่นลูกใหม่

ข้าพเจ้าพบเพรงบนโลกเช่นนี้

โลกที่เราพูดคุยกันด้วยตัวอักษรซึ่งเราหลงใหล  ตัวอักษรซึ่งเราฝากไว้บนลานอักษรจอแจด้วยหลากอักษรแปลกหน้า  บางอักษรหวังคลายความรู้สึกอ้างว้าง  บางอักษรต้องการให้โลกรับรู้ว่ามีตัวตนอยู่  หลายอักษรเพียงหวังสนุกไปวัน ๆ และอีกหลายอักษรมุ่งมั่นเอาจริงจังที่จะหยัดกายในบรรณพิภพ

ข้าพเจ้าหารู้ไม่เพรงเป็นอักษรชนิดใด  รู้เพียงว่าเพรงงดงาม  มิใช่งดงามด้วยสำนวนสละสลวยแต่เป็นงามคมคิดที่แฝงอยู่ในอักษรเหล่านั้น  ไม่ใช่เพียงสวยด้วยเอาใจใส่วรรคตอนอ่านง่าย  แต่เป็นงามด้วยท่าทีสำเนียงภาษาที่ไม่เคยทำร้ายใครมีแต่ให้กำลังใจ  ทุกตัวอักษรของเพรงอุ่นไอกรุ่นอวลจนอยากนั่งลงใกล้  ฟังเรื่องราวที่เพรงกำลังบอกเล่าผ่านริมฝีปากแห่งอักขระรส

เราพบกันด้วยรักในภาษาของกันและกัน  เราจากกันขณะหลงวนอยู่ในเมฆหมอกแห่งคำถาม  คำถามซึ่งข้าพเจ้ายังไม่อาจหาคำตอบได้เลย

OOO

๒ ผู้แสวงหา

สำหรับท่าน เรื่องราวในอดีตอาจเป็นภาพสืบเนื่องเคลื่อนไหวออกจากเครื่องฉายแห่งปัจจุบัน  เป็นภาพสีสดใสเต็มด้วยชีวิตชีวา  ขณะภาพเก่าเคลื่อนไป  ภาพใหม่ก็เข้าแทน  อดีตช่างหอมหวานคล้ายผลไม้สุกคาต้นมีให้เลือกเก็บไว้ชิมรสอย่างมากมาย  ท่านมองไปข้างหน้าเห็นภาพอนาคตกำลังรอต่อแถวโยงยาวมายังปัจจุบัน  ภาพคืนวันที่ก่อไฟฝันสร้างแรงบันดาลใจให้ท่านมีพลังก้าวเดินไป

แต่ข้าพเจ้าหาเป็นเช่นนั้นไม่

หลังน้องชายเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์  อดีตในห้วงสำนึกข้าพเจ้ากลายเป็นสีเทาหม่นเหมือนแผ่นภาพเก่า ๆ ซ้อนทับกัน  มองย้อนคราใดคล้ายกัดกินผลไม้เหี่ยวใกล้เน่าเสีย  รสชาติที่ข้าพเจ้ากล้ำกินนั้นเป็นรสของความระทมทุกข์นับวันยิ่งกัดกร่อนหัวใจจนเหลือเพียงซาก  มองไปข้างหน้าเห็นแต่ภาพว่างเปล่า  ไม่มีอะไรรอคอยข้าพเจ้า ภาพฝัน ความหวัง ความสำเร็จในชีวิต รอยยิ้มครอบครัวคราพบปะสังสรรค์  ล้วนถูกเผาไหม้ไปพร้อมเปลวเพลิง  แปรธาตุอีกร่างหนึ่งของข้าพเจ้ากลายเป็นละอองไอ คุควันคืนสู่หมู่เมฆ  เราไม่ได้มาจากไหน หรือจะไปไหน  เราไม่ใช่อะไรเลยนอกเสียจากองคาพยพของโลก เราคือไอน้ำในปุยเมฆ  เราคือหยดน้ำในห้วงมหาสมุทร  เราคือผงฝุ่นดินที่เพียงรับโอกาสมีความรู้สึกนึกคิดชั่วคราว  เมื่อถึงเวลาก็แปรสภาพคืนสู่โลก

ข้าพเจ้ากับน้องชายลืมตามองโลกในเวลาใกล้เคียงกัน  ผ่านช่วงชีวิตมาด้วยกันราวเป็นเส้นคู่ขนาน  ภาพอดีตของข้าพเจ้าล้วนมีน้องชายคอยยิ้มหัว หยอกล้อ ชกต่อย  ทะเลาะเบาะแว้ง อิจฉาริษยา ร่ำเรียน สำเร็จการศึกษา สร้างฐานะ มีครอบครัว  ทั้งหมดจบลงเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น หลายครั้งยามข้าพเจ้าซุกกายอยู่หลังม่านน้ำตาเฝ้าถามตัวเอง  หรือชีวิตน้องชายเป็นเพียงความฝัน เขาไม่ได้เกิดขึ้นจริง ไม่ได้มีอยู่จริง  เพียงข้าพเจ้าหลับฝันไป  ความรู้สึกย้อนแย้งที่ปฏิเสธไม่ได้คล้ายเหล็กแหลมคอยทิ่มแทงหัวใจจนหยดเลือดแห่งทุกข์ระทมไหลหลั่งพร้อมธารน้ำตา  เมื่ออีกคนไม่อยู่ข้าพเจ้าไม่เหลือศรัทธาชีวิต  ไม่มีความหมายที่จะอยู่ต่อไป  ซากชีวิตข้าพเจ้าไม่ต่างฝุ่นดินที่ยังมีความรู้สึกร้อนหนาว  หากจะต้องกลายสภาพคืนสู่ผืนโลกเสียเวลานี้ข้าพเจ้าก็ไม่ยึดยื้อ  ความรัก แรงจูงใจทางเพศ ฐานะทางสังคม ทรัพย์สินเงินทอง ไม่อาจส่งแรงขับครอบงำความคิดและพฤติกรรมข้าพเจ้าอีกต่อไป  เหลือเพียงปรารถนาเดียวที่ต้องการกระทำกว่าร่างกายคืนสู่แม่ธรรมชาติ  นั่นคือเขียนหนังสือ

ข้าพเจ้ากลับมาอาศัยริมคลองบ้านเกิด  ใช้ชีวิตในเรือลำเล็ก  ไม่มีทีวีตู้เย็น ไม่ยินยอมให้โลกภายนอกรุกล้ำชีวิตส่วนตัวผ่านโทรศัพท์มือถือ  อยู่กับคืนวันเหมือนทุกวันเป็นวันสุดท้ายของชีวิต  ที่นี่ไม่มีอะไรเหลือสำหรับข้าพเจ้า ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีบ้านเก่า  มีแต่ความผูกพันกับสายน้ำที่เคยว่ายเล่นแต่จำความได้  และทะเลสาบแอ่งน้ำกว้างใหญ่ที่เต็มด้วยเรื่องเล่าขานและความทรงจำครั้งเยาว์วัย

OOO




๓ โลกฝัน

ตลอดเวลาข้าพเจ้าฝันถึงการเขียนหนังสือประดุจห้วงราตรีฝันถึงทิวากาล  คล้ายดังสายธารน้อยละห้อยหาห้วงมหรรณพอันกว้างใหญ่  เป็นความฝันที่คอยเกาะกุมหัวใจด้วยกรงเล็บแหลมคมแห่งความวิตกกังวล  ความหวานชื่นของอักขระรสมิอาจเอมอิ่มต่อริมฝีปากที่หิวโหยหรือเติมท้องที่คอดกิ่วได้เลย  ขณะร่างกายผจญไปในป่ากิเลสตัณหาปกคลุมด้วยหมอกควันแห่งความต้องการไม่สุดสิ้น  วิญญาณกลับติดปีกแห่งความฝันโบยบินไปยังสถานที่เร้นลับไม่น่าไว้ใจเต็มด้วยอาถรรพณ์เวทมนตร์คาถา  มีสายใยบาง ๆ เส้นหนึ่งโยงไว้  ข้าพเจ้าพยายามยื้อยุดด้วยความเชื่อที่ว่า  โลกแห่งความจริงคือสถานที่ปลอดภัยและเหมาะสมสุดแล้วสำหรับข้าพเจ้า

ภาพอดีตสีหม่นเป็นคล้ายใบมีดคมตัดสายใยเส้นนั้นขาดจากกัน  ข้าพเจ้าออกติดตามจิตวิญญาณเข้าสู่โลกแห่งความฝัน  สถานที่ซึ่งกิเลสตัณหาของมนุษย์ไม่อาจล่วงล้ำ  ที่ซึ่งริมฝีปากหาได้มีไว้เพื่อเอ่ยวาจา  ที่นั่นกาลเวลาหยุดนิ่งทุกสิ่งเพียงเคลื่อนไปตามวัฏฏะแห่งสุริยัน-จันทรา  ที่ซึ่งชีวิตหาได้มีความหมายไปกว่าไร้ชีวิต  ที่ซึ่งข้าพเจ้าพบว่าร่างกายกับจิตวิญญาณได้กลับรวมเป็นหนึ่งดำรงคงอยู่อย่างสงัดงัน  ตื่นเช้าพร้อมหยาดน้ำค้างบนยอดหญ้า  เหล่าสกุณาส่งเสียงร้องออกหากิน  เข้านอนด้วยเสียงขับกล่อมของหรีดหริ่งตลอดคืน  ผ่านวันเวลาด้วยวัตรปฏิบัติที่หัวใจโหยหามาเนิ่นนานนั่นคือเขียนหนังสือ

และแล้วด้วยเหตุบังเอิญข้าพเจ้าพบช่องทางเชื่อมต่อสู่โลกแห่งความจริงซึ่งผู้คนเรียกว่าโลกเสมือน  ข้าพเจ้าหาได้ต้องการออกจากโลกฝัน  แต่จะมีความหมายใดหากเราฝังกายอยู่ในโลกฝันตลอดเวลา  ดื่มกินความฝันจนวันสิ้นสังขาร  ข้าพเจ้าเพียงหวังส่งภาพฝันตนออกมาติดต่อกับผู้คน  หากฝันนั่นสามารถสร้างส่งแรงฝันต่อยังคนอื่น ๆ หรือเป็นที่พักใจเพียงครู่ก็นับว่าสมควรแก่ปีติแล้ว  ข้าพเจ้าจึงเยี่ยมหน้าออกมายังโลกภายนอก  โลกที่ข้าพเจ้าพบเธอ..เพรง

OOO




๔ คือแรงใจ

ฤดูกาลของโลกฝันต่างจากโลกแห่งความจริง  ที่นี่อากาศแปรปรวนบัดเดี๋ยวมีลมบัดเดี๋ยวพายุผ่าน  พัดมาเพียงครู่อาจหยุดนิ่งสนิทไม่มีแม้ไหวใบไม้  บางวันเขียนได้ลื่นไหล  แต่บางวันกลับไม่อาจขยับมือแม้สักวรรคสักบรรทัด  ในเปรมสุขของครรลองชีวิตอย่างใจปรารถนายังมีระทมทุกข์ที่ไม่อาจกระทำได้ดังใจต้องการ  คล้ายคนชเลรักผืนน้ำใคร่ล่องเรือไปสุดขอบฟ้าแต่หารู้วิธีบังคับใบ  ไม่รู้จักร่องน้ำสายน้ำกระทั่งทิศทางลม  ที่สุดได้แต่ลอยลำตามยถากรรม

ยามข้าพเจ้าหน่ายใบหน้าอันครัดเคร่งของจอขาวเปล่าว่าง  ข้าพเจ้าเชื่อมต่อออกสู่โลกที่เต็มด้วยตัวอักษรละลานตา  อ่านทุกสิ่งทุกอย่าง  อ่านจนรู้สึกว่าโลกภายนอกช่างมีตัวอักษรมากมายเสียเหลือเกิน  มากจนแม้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็มิอาจอ่านหมดสิ้น  ข้าพเจ้าพบตัวอักษรของเพรง

เพรงเขียนบทกวี

ด้วยถ้อยคำหวานไหวบอกเล่าถึงหัวใจอ่อนโยนของหญิงสาว  ตัวอักษรของเพรงทำให้อักขระที่เราใช้กลับกลายเป็นท่อนไม้แข็งกระด้าง  วรรณรสแห่งบทกวีที่หากผึ้งน้อยพบพานคงมิอาจตัดใจบินผ่านโดยไม่แวะลิ้มชิม  เพรงมองผู้คนมองโลกผ่านหน้าต่างแห่งจิตวิญญาณ  เอ่ยถ้อยคำผ่านริมฝีปากแห่งวิจิตรอักษร  ประโลมโลกอ้างว้างด้วยอ้อมปีกนวลละมุนอบอุ่นและอ่อนโยน  ข้าพเจ้าเองมิอาจเอ่ยขานเรียกอักษรต่ำต้อยตนแม้เศษกวี  กับตัวอักษรของเพรง  ข้าพเจ้าขานคำกวีอย่างไม่ขัดเขินขัดคำ  คล้ายคลื่นกระทบฝั่งก่อระลอกคลื่นต่อ ๆ กันไม่สิ้นสุด  บทกวีของเพรงประดุจสายลมพัดมาประโลมสระน้ำโบราณในหุบเขาห่างไกล  เสียงกระซิบแห่งสายลมก่อระลอกคลื่นอักษรลูกแล้วลูกเล่าขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ  ไม่เสแสร้งแกล้งแต่ง ข้าพเจ้าเขียนโต้ตอบลงไปด้วยหัวใจที่เชื่อมโยงผ่านหน้าต่างแห่งจิตวิญญาณบานนั้น  ก่อเกิดงานเขียนชิ้นแล้วชิ้นเล่า  ครั้นเพรงตอบกลับมาบอกว่าเธอรออ่านอยู่  ยิ่งทำให้หัวใจซึ่งแห้งแล้งแทบไร้สิ้นแรงฝันกลับพองฟู  ตัวอักษรทยอยคล้อยเคลื่อนราวสายน้ำไหลหลั่ง  ที่สุดข้าพเจ้าจึงได้พบว่า..เราหาได้เขียนเพื่อผู้คนมากมายที่ไหนเลย  ตัวอักษรทั้งหมดของเราเพียงเพื่อคนเดียว  คนเดียวที่เฝ้าอ่านด้วยหัวใจรอคอย  ผ่านตาทุกสระพยัญชนะอย่างระมัดระวัง  พร้อมสะท้อนความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาเหมือนกระจกเงาใสที่ไม่เคยบิดเบือนภาพตรงหน้า

โลกฝันข้าพเจ้ากลับคืนชีวิตชีวา ข้าพเจ้าเขียนแม้ในความฝัน

หลังม่านแห่งความแปลกหน้าถูกคลี่ผ่าน ตัวอักษรของเราเคลื่อนหากันดุจหยดน้ำจากธารเดียวที่ถูกพราก  จึงได้พบว่าโลกฝันของเราช่างคล้ายกันเหลือเกิน  เพรงฝันถึงชีวิตในชนบท ท้องฟ้า แสงดาว แมกไม้ สายน้ำ ลำคลอง  ครั้นข้าพเจ้าบอกไปว่าข้าพเจ้าฝังสังขารอยู่ในภาพฝันนั่น  เพรงกระตือรือร้นใคร่ฟังเรื่องราวของข้าพเจ้าเหมือนเด็กน้อยตาโตรอฟังนิทานก่อนนอน  เพรงส่งหนังสือมาให้ข้าพเจ้าหลายเล่ม ล้วนเป็นหนังสือที่ช่วยเปิดโลกการอ่านอันคับแคบของข้าพเจ้าไปสู่สวนอักษรละลานตา  ช่วยเพิ่มจำนวนถ้อยคำในกะโหลกเปล่ากลวงให้ได้ใช้ได้เลือกหยิบจับมาเรียงร้อย  ข้าพเจ้ารู้สึกติดค้างน้ำใจไม่อาจตอบแทน  ด้วยหนังสือนั้นสูงราคานักสำหรับผู้ดื่มกินความฝันเช่นข้าพเจ้า  ได้แต่ก้มหน้าตั้งตาขีดเขียนอักษรทดแทนมิตรไมตรีที่ได้รับมา  เพราะรู้ดีว่าเพรงหาได้หวังสิ่งใดตอบแทนนอกจากอยากเห็นข้าพเจ้ารุดหน้าไปบนหนแห่งอักษรกรรมนี้  และสำหรับข้าพเจ้า ไม่มีสิ่งใดเลยควรค่าทดแทนศุภปรารถนาจากเพรงนอกจากตั้งใจเขียนหนังสือ  เพราะนั่นคือทั้งหมดที่ข้าพเจ้ามีและนั่นคือชีวิตข้าพเจ้า

OOO

๕ พัดผ่าน

ผู้คนบนโลกเสมือนพบปะพูดคุยกันผ่านกล่องความคิดเห็น อีเมล์ หรือโปรแกรมสนทนาต่าง ๆ แต่ข้าพเจ้าคุยกับเพรงผ่านงานเขียน  ทุกตัวอักษรของเพรงล้วนประจงใจ  บ่งความเอาใจใส่อักขระทุกจังหวะวรรคตอน  เพรงสอนข้าพเจ้าด้วยการกระทำ งานเขียนของเพรงไม่เคยมีสะกดผิดพลาด  คงผ่านทวนครั้งแล้วครั้งเล่าจนแน่ใจ  หากพูดคุยเป็นการสื่อสารบนระนาบ  สนทนาของเราคงเป็นการสื่อสารด้วยรูปทรง เป็นรูปทรงของเรื่องราว  จากเรื่องราวหนึ่งสู่อีกเรื่องหนึ่ง  ทุกครั้งจรดอักษรล้วนคืองานเขียนประจงใจไม่ต่างประติมากรบรรจงเคลื่อนนิ้วไปบนงานปั้นตรงหน้า หลังเราแลกเปลี่ยนอักษรกันร่วมปี  เพรงเดินทางมางานแต่งเพื่อนในจังหวัดใกล้เคียงจึงแวะเยี่ยมข้าพเจ้า

OOO

๖ หยดน้ำในทะเลทราย

โลกปัจจุบันชีวิตส่วนตัวของผู้คนถูกคุกคามด้วยโทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นคล้ายเชื้อร้ายค่อย ๆ กร่อนจิตวิญญาณคนในสังคม  โทรศัพท์มือถือกลายเป็นองคาพยพของชีวิต  สิทธิความเป็นส่วนตัวถูกกัดกินจนแหว่งวิ่น  ขาดการติดต่อเมื่อใดจะถูกสังคมไต่ถาม ไม่ก็ตำหนิ  หลายคนมิอาจทนความโดดเดี่ยวอ้างว้างจะต้องเชื่อมต่อสื่อสารตลอดเวลา  ผู้ถูกเชื้อร้ายกัดกินล้วนกลายเป็นเหยื่อทั้งโดยเต็มใจและไม่รู้ตัว

หลังปลีกออกจากสังคมข้าพเจ้าไม่เห็นความจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์มือถือในความหมายของสื่อสารตลอดเวลาอีกต่อไป  ข้าพเจ้าได้โลกส่วนตัวกลับคืนและไม่เคยคิดย้อนหาความวุ่นวายอีก  ใช้โทรศัพท์มือถือพูดคุยเฉพาะกิจจำเป็น ไม่ให้เบอร์กับบุคคลทั่วไป  ข้าพเจ้าพอใจชีวิตเช่นนี้เชื่อมต่อสู่โลกภายนอกก็เพียงตัวอักษร  ไม่เคยต้องการก้าวล่วงถึงการติดต่อส่วนตัวที่จะล้างเวลาฝึกเขียนเหมือนคลื่นซัดสาดรอยทราย  โลกที่คล้ายสงัดงัน  ห่างไกลความวุ่นวายของสังคมซึ่งเต็มด้วยกินแหนงแคลงใจ กระทบกระทั่งว่าร้าย ติฉินนินทา ดูเหมือนมีความสุขสงบ  แต่ในความเป็นจริงแห้งแล้งนัก  ริมฝีปากปิดสนิทไม่เคยปลดปล่อยถ้อยคำออกมา  ชีวิตประจำวันที่ไม่ต่างนักบวชนั้นราวทะเลทรายเวิ้งว้าง  มองทางไหนล้วนผืนทรายสุดตา  กลางวันระอุร้อน  ตกค่ำกลับหนาวเย็นจนกายสะท้าน  ชีวิตเช่นนี้เผยให้เห็นความงามของสังคมวุ่นวายซึ่งข้าพเจ้าเคยรังเกียจ หากแต่ขอเป็นผู้ชมไม่คิดข้องเกี่ยวอีก

เมื่อเพรงเอ่ยถึงเบอร์โทรศัพท์  ข้าพเจ้าจึงจำปฏิเสธ  เกรงนักหนาจะทำให้เพรงแคลงไปว่าข้าพเจ้าไม่ยินดีกับการมาของเธอ  ข้าพเจ้าบอกเธอทางอีเมล์ ‘การมาของเพรงเป็นคล้ายหยดน้ำที่นำความชุ่มฉ่ำแก่กอหญ้าแล้งในทะเลทราย  กอหญ้านั้นย่อมยินดีในความฉ่ำชื่นอันได้รับ  แต่ขอเพรงปล่อยให้กอหญ้าคงอยู่ตรงตำแหน่งนั้น เป็นกอหญ้าทะเลทรายเช่นนั้นต่อไปเถิด  จริงอยู่ได้รับหยดน้ำนั้นชุ่มชื่นนัก  แต่หากไม่อยู่ตรงนั้นมันอาจตาย’

การติดต่อครั้งสุดท้ายจึงผ่านอีเมล์  นัดวันเวลาที่เพรงจะเดินทางมาถึงตลาดซึ่งเป็นย่านการค้าของอำเภอแล้วข้าพเจ้าจะออกไปรับ  การเดินทางไปยังสถานที่แปลกถิ่น  ไปพบคนซึ่งไม่เคยเห็นหน้าตา  ทั้งไม่สามารถติดต่อผ่านโทรศัพท์  หากคลาดกันหรือเกิดเหตุสุดวิสัยจะทำอย่างไร? จะเชื่อใจเขาได้แค่ไหน? ที่พักเป็นอย่างไร? มีเรื่องให้กังวลต่าง ๆ นานา  หลายคนอาจทบทวน และตัดสินใจล้มเลิกการเดินทาง  แต่ไม่ใช่เพรง

OOO

๗ เจ้าหญิงแห่งรัตติกาล

เป็นวันแดดจัดจ้าของกลางฤดูร้อน  ทิวเมฆขาวล่องฟ้า  เสียงนกหลากสำเนียงละเบ็งอยู่ในเงาจามจุรี  ข้าพเจ้าสวมหมวกฟางปั่นจักรยานไปตลาด  ระยะทางจากที่พักร่วมสี่-ห้ากิโลเมตร ปิติเป็นคล้ายร่มเงาป้องเปลวแดด  ทิวไม้สองฟากทางส่งเสียงขับขานบทเพลงแห่งความรื่นรมย์

ข้าพเจ้าจอดรถจักรยานหน้าร้านกาแฟ  พูดคุยกับเหล่าสหายที่ล้วนรู้จักกันแต่ครั้งโดดน้ำเล่นในลำคลอง  เมื่อการเคลื่อนไปของเวลาไม่มีผลกับกิจกรรมชีวิต  การรอคอยจึงประดุจแก้วน้ำใบใสบรรจุเครื่องดื่มหลากรสกลมกล่อม  นั่งคอยเพรงเป็นรสสุขปนเปรสของความไม่แน่นอนเหมือนเครื่องดื่มหวานอมเปรี้ยว  อาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ทราบล่วงหน้า  เพรงอาจเปลี่ยนใจกะทันหัน ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นได้  แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรหาสร้างความแปลกใจแก่ข้าพเจ้าเลย  ความผกผวนของชะตาความผันแปรของชีวิตไม่ทำความประหลาดใจให้ข้าพเจ้ามานานแล้ว

จากหน้าร้านกาแฟมองผ่านเปลวแดดบ่ายออกไป  หญิงสาวร่างเล็กสมส่วนผมยาวลอนเคลียไหล่สะพายกระเป๋าเดินตรงมา  เธอสวมกางเกงยีนส์เข้ารูปเสื้อลายลูกไม้บางเบาพลิ้วสะบัดในสายแดด  ท่าเดินกระฉับกระเฉง  เห็นแว่นสายตาใสกรอบเหลี่ยมสะท้อนประกาย  ข้าพเจ้ารีบลุกเดินตรงไปหา หญิงสาวหยุดเดินแล้วจ้องมอง  ดวงตากลมใสหลังกรอบแว่นฉายวาวฉงนก่อนยิ้มยิงฟันขาว

ข้าพเจ้าไม่อาจเอ่ยวาจา  ไม่สามารถจดจารด้วยอักขระพยัญชนะใดเพื่อบอกถึงความรู้สึกขณะนั้น  สำหรับข้าพเจ้าเพรงคือตัวหนังสือที่สวยงาม  แต่หญิงสาวตรงหน้าเป็นยิ่งกว่า  ดวงตาหลังกรอบแว่นของเธอกลมใสสุกสว่างราวดวงแสงหิ่งห้อยน้อยในอนธกาล  คล้ายธารน้ำใสเย็นไหลผ่านท้องถิ่นกันดาร  ริ้วผมมันวาวขดเป็นลอนขับใบหน้าขาวสะอาดยิ่งคมเข้ม  เธอสง่างามแฝงความรู้สึกเร้นลับราวเจ้าหญิงแห่งรัตติกาล  ข้าพเจ้ายืนนิ่งยินเสียงใสกังวาน

“พี่เมฆใช่ไหมคะ?”

OOO


๘ เสียงนกขับขาน

เราไม่ใช่คนแปลกหน้าของกันและกัน  ดั่งสายธารก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าของแมกไม้  อายตนะภายนอกไม่ว่าเป็นน้ำเสียง ผิวพรรณ รูปกาย ซึ่งคล้ายภาชนะห่อหุ้มจิตวิญญาณนั้นสลายหายไปในทันทีที่ปีกขาวแห่งคำทักทายโบยบินหากัน  จากนั้นบทสนทนาของเราก็พรั่งพรูราวเพลงฝนไม่ขาดสาย  เราไม่เคยพบหน้าแต่รู้จักกันมาร่วมปี  เราไม่เคยพูดคุยผ่านโปรแกรมสนทนาแต่สัมผัสผ่านตัวอักษรของกันและกัน  ผู้คนบนโลกมักผลักบานหน้าต่างส่งเสียงทักทายทำความรู้จักผ่านจักษุสัมผัสจากนั้นจึงค่อยเรียนรู้นิสัยใจคอ  รูปร่างหน้าตาจึงเป็นปัจจัยแรกที่ผู้คนคุ้นเคยนำมาพิจารณา  เป็นการทำความรู้จักจากภายนอกแล้วจึงเรียนรู้สู่ภายใน  บ่อยครั้งกระบวนการเช่นนั้นเกิดความผิดพลาด  กว่าพบนิสัยใจคอต่างจนยากร่วมทาง  เราล้วนแลกด้วยเวลาชีวิตไม่อาจทวงคืน  จ่ายด้วยรอยร้าวในใจยากเยียวยารักษา

ข้าพเจ้าพบเพรงด้วยกระบวนการกลับกัน

จิตวิญญาณของเราสื่อหากันก่อนการมาเยือนของรูปกาย  สำหรับข้าพเจ้าเพรงสวยงามอยู่ในห้วงสำนึก การมาเยือนจึงเป็นเพียงรอยเส้นตัดลงบนภาพซึ่งลงสีไว้แล้ว

เพรงกระชับกระเป๋าสานทรงกลมสไตล์บาหลีเข้ากับไหล่  ซ้อนท้ายจักรยานออกจากตลาดสู่เขตชนบท  เปลวแดดยังแผดกล้า  ไอร้อนอาบพรมข้าวอวบรวงสุกเหลืองอร่ามไปทั้งทุ่ง ข้าพเจ้าถอดหมวกฟางให้เพรงสวมป้องเปลวแดด  เพรงส่ายหน้า ข้าพเจ้าคะยั้นคะยอ

“สวมเถอะ แดดที่นี่แรง จะทำเอาเพรงผิวคล้ำจนแทบจำตัวเองไม่ได้”

“ขอบคุณค่ะ”

เพรงรับหมวกไปสวม  หมวกฟางใบใหญ่ปรกลงแนบกรอบแว่น ดวงตาหลังเลนส์เป็นประกาย

“อีกไกลไหมคะ?”

“สักสิบห้านาที”

แดดที่นี่ร้อนแรงแต่ไม่เคยร้างลม  แม้กลางแผดแดดยังรู้สึกเย็นสบาย  เสียงนกน้อยขับขานเริงรับผู้มาเยือนตลอดเส้นทาง  สักพักก็ลุถึงดงไม้ชายคลอง  เห็นกระท่อมมุงจากใต้ร่มจามจุรีใหญ่

OOO


๙ บ้านเรือ

บ้านของข้าพเจ้าคือร่างกายที่จิตวิญญาณสถิตอยู่นี้  ที่พักอาศัยสำหรับข้าพเจ้าคือหลังคาบังแดดฝนและข้างฝากันแรงลม  เนื้อที่แค่พอเอนกายหลับพักผ่อน  หาได้รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ เครื่องตกแต่งประดับประดา  ที่พักอาศัยข้าพเจ้าจึงไม่ต่างรังฟางหญ้าของพวกนกกา คล้ายกุฏินักบวชมากกว่าเป็นบ้านในความหมายทั่วไป

ข้าพเจ้าอาศัยกระต๊อบมุงจากริมคลองอยู่พักหนึ่ง  ปีกลายเพื่อนบอกขายเรือเก่า  เป็นเรือขนาดเล็กยาวหกเจ็ดวากว้างสองวา มีเก๋งกลางลำ  มีเครื่องยนต์ดีเซลใช้งานไม่ได้  ข้าพเจ้าลังเลพักใหญ่  หากซื้อเรือเท่ากับเงินเก็บที่เผื่อไว้สำหรับใช้ชีวิตผ่านช่วงเวลาฝึกเขียนไปกว่าหาเลี้ยงปากท้องได้ด้วยตัวอักษรต้องหายไปก้อนใหญ่ทำให้ช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าจะดำรงชีวิตด้วยการฝึกเขียนเพียงอย่างเดียวโดยไม่ทำการอื่นเพื่อเงินต้องหดสั้นลง

แต่ความฝันวัยเด็กร่ำร้องให้ซื้อเรือไว้

ภาพทรงจำแรกฉายบนม่านรำลึกข้าพเจ้าอยู่ในเรือ  จากนั้นก็วิ่งเล่นขึ้นลงระหว่างเรือกับบ้านจนแยกกันไม่ออก  วัยเด็กใช้ชีวิตริมคลองเพียงสั้นแต่ประทับลึกลงในความทรงจำ มีเสียงร่ำร้องระงมอยู่ภายในให้คืนกลับไปหาชีวิตเช่นนั้น  ที่สุดข้าพเจ้าตัดสินใจซื้อเรือ  ต่อเติมเก๋งใส่ประตูหน้าต่าง ใช้เป็นที่พักอาศัย  ซ่อมเครื่องยนต์จนใช้การได้  ผูกเรือไว้ใต้เงาจามจุรีใหญ่ชายคลอง  มีสะพานไม้แผ่นเดียวทอดหาฝั่ง

เพรงยิ้มประกายตาสดใสมองบ้านเรือ  ข้าพเจ้าพยายามค้นหาแววกังวลในวาวตาคู่นั้น เพราะห่วงอยู่ว่าเพรงจะขัดเขินต่อความไว้ใ

Comment #1
Posted @11 ต.ค.53 12.24 ip : 119...211

คำถามบางครั้งก็ไม่ต้องการคำตอบ
เราต้องการแค่ตั้งคำถาม
ปลอบโยนอดีตกาล


คำตอบบางครั้งอยู่ในคำถาม
เราต้องการแค่ตั้งคำถาม
เรียนรู้ปัจจุบัน 


คำถามอยู่ในคำตอบ คำตอบอยู่ในคำถาม
เราต้องการแค่ตั้งคำถาม
สู่อนาคต

คำถามบางครั้งก็ไม่ต้องการคำตอบ

Comment #2
Posted @11 ต.ค.53 15.53 ip : 69...109

เดี๋ยวพรุ่งนี้มาอ่านนะขะรับ

Comment #3
Posted @12 ต.ค.53 12.00 ip : 115...151

เอา 2-3 มาแหมะเพิ่มจ้า

Comment #4
Posted @12 ต.ค.53 12.24 ip : 58...161

"ความฝัน" เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของชีวิตลำดับที่เท่าไหร่ก็ไม่ทราบนะคะ

แต่ทรงพลังมากมายมหาศาลจริง ๆ ค่ะ

แวะมาทักทายค่ะ ...  :d

Comment #5
Posted @12 ต.ค.53 22.42 ip : 118...143

ค่อยมาตอบนะ (ฮา  คำตอบยอดฮิตของบอร์ดนี้)

Comment #6
Posted @13 ต.ค.53 18.09 ip : 118...105

ตอนจบดูเนือยๆเกินไป และห้วนสั้นจนไม่ปะติดปะต่อกับบทเกริ่นนำถึง "เพรง"

เนื ้อเรื่องเวียนไปมาอยู่กับความต้องการเขียนหนังสือ การที่น้องชายเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ จนทำให้ถึงกับซังกะตายเช่นนั้น เรื่องก็ยังไม่ได้เล่าให้เห็นชัดว่าผูกพันขนาดนั้นอย่างไร

น้าดินเกริ่นถึงเพรงเอาไว้จนอยากรู้จัก แล้วอยู่ๆเธอก็หายออกไปจากการเล่า มาโผล่ชื่ออีกทีตอนจบซึ่งเธอไม่มีบทบาทอะไรเลย ประเด็นของเรื่องเบาไปมาก จนแทบจับต้องไม่ได้ว่าต้องการบอกถึงอะไรนอกจากความปรารถนาจะเขียนหนังสือ และ "โลกเช่นนี้" ที่ได้พบกับเพรงก็ไม่มีบทบาทเช่นกัน ทั้งที่นั่นคือการเกริ่นนำมาแล้วด้วย

น้าดินใช้ความสามารถในการใช้ภาษาเก่าๆแปลกๆที่หาฟังยากมากลบจุดอ่อน สำนวนภาษาน้่าดินนั้นผ่านแน่นอน และอยู่ในขั้นดีด้วยครับ แต่น้าละเลยเรื่องของแก่นของธีม โดยเฉพาะเรื่องของจุดไคลเมกซ์(ที่คนละอย่างกับอาการสปัซซั่ม ฮา)

ผมชอบสำนวนภาษาน้าดิน แนะนำนิดนึงนะครับ ให้น้าดินระลึกตอนเรียนวิชาเรียงความอีกครั้ง มันจะมี 1. คำนำ หรือบทเกริ่นเริ่ม 2. เนื้อเรื่อง นี่คือประเด็นคือธีม 3. จบ คือสรุปทั้งหมดขมวดเรื่องให้งวดลงให้ได้  โดยทั้ง 3 ข้อนั้นจะต้องกลมกลืนเป็นเอกภาพเดียกวันครับ และต้องอยู่ในอารมณ์ความรู้สึก(ของเรื่อง)เดียวกันด้วย

อ้อ อีกนิด  น้าปล่อยสมุดบันทึกมาตอนต้น แล้วมันก็หายไปเลย ตอนจบก็ไม่ได้กล่าวถึง ผมขออนุญาตนิดนะครับ เช่น จบโดยการที่ "ข้าพเจ้า" ปิดสมุดนักเรียนปกยุ่ยนั้น แล้วทอดถอนใจ ก็จะกลมเป็นเนื้อเดียวกันได้อยู่ครับ

Comment #7
Posted @13 ต.ค.53 19.08 ip : 1...228

แหวก  ๆ ๆ ๆ ๆ ประทานโทษขะรับน้าหมี่ประทานโทษ (ไม่รู้จะยกโทษให้เปล่านะเนี่ย)

ยังเหลืออีกตรึมเลยขะรับ กิจธุระยังประดังสุมกบาล (วันพรุ่งอีกคงทั้งวัน) เลยไม่ได้เอามาต่อหยั่งตั้งใจ คิดไว้แล้วว่าจะวงเล็บตามท้าย 'ยังมีต่อ' แต่ทะลึ่งลืม ทำน้าหมี่อ่านแล้วงง

ธ่อ ๆ ๆ ๆ บอกแล้วไง 'นิยายเล่มเล็ก' จบกันด้วน ๆ เป็นหัวรถด่วนคั่วเกลือได้กระไร

ข้าพเจ้าตระหนักดี ด้วยความยาวทั้งหมดของเนื้อหา รบกวนสายตาและเวลาน้าหมี่ใช่น้อย แต่ก็ยัง (บังอาจ) หวังรับคำชี้แนะ ตำหนิ ติ (และชม) เพื่อที่ว่าจะได้จัดการกับข้อบกพร่องซึ่งย่อมมีหลุดรอดไปจากสายตาตีบตี่เป็นสามัญ  พ้นไปจากน้าหมี่ผู้น้อยมองไม่เห็นใครแล้วจริง ๆ

ยังมีต่อนะขอรับ ยังมีต่อ ขอเสร็จกิจธุระวันพรุ่ง ผู้น้อยจะกลับมาอีกครา

คารวะ

Comment #8
Posted @13 ต.ค.53 20.25 ip : 182...235

อ้าว ซะงั้น  ถึงว่าสิทำไมมันสั้นๆด้วนๆแปลกๆอยู่

ที่แท้ก็ "อยากรู้เรื่องต่อก็ต้อง เปิดหน้าสองฟังเอา" นี่เอง

Comment #9
Posted @13 ต.ค.53 22.47 ip : 1...26

แหะ แหะ ไม่โกรธก็เบาใจ พรุ่งนี้จะมาใหม่ขะร้าบบบบ

-พรม พิรอน-

Comment #10
Posted @14 ต.ค.53 14.47 ip : 1...220

มาแหมะเพิ่มจ้า

Comment #11
Posted @14 ต.ค.53 19.04 ip : 118...45

มาอ่านเพิ่มจ้า

Comment #12
Posted @15 ต.ค.53 7.31 ip : 119...211

มาอ่านครับ  :d

Comment #13
Posted @15 ต.ค.53 8.26 ip : 58...126

มีกี่ตอน น้องดิลล์ รออ่านตอนครบทุกตอนนะ ....ความรู้สึกจะได้ต่อเนื่อง

Comment #14
Posted @15 ต.ค.53 19.04 ip : 111...68

มาต่อขะรับ

ยังไม่ทราบจะตัดจะต่ออย่างไรเลยขะรับพี่น้ำพี้ เสาร์-อาทิตย์สองวัน หากอาการบอบช้ำทางกายพอทุเลา ซึมเซาทางใจค่อยบรรเทา ว่าจะจัดการให้เสร็จสิ้น หากเสร็จสมใจก็จะแหมะทีเดียวจบ มิให้พี่น้ำพี้ต้องรอ เกรงก็แต่จะทำพี่น้ำพี้ตาลาย เพราะจำนวนหน้ามิใช่น้อย จบแล้วอย่าลืมคำชี้แนะด้วยนะขะรับ

คารวะ

Comment #15
Posted @18 ต.ค.53 1.40 ip : 1...217

จบแล้ว..
หวังรสถ้อยรสความนำอภิรมย์แก่ทุกท่านไม่มากก็น้อย

คารวะ

Comment #16
Posted @24 ต.ค.53 17.41 ip : 118...232

อ่านไม่เบื่อครับ นี่เป็นความสำเร็จพื้นฐานของการเขียนหนังสือแล้วล่ะ

มีบางจุดที่ยืดยาดไปหน่อยนะครับ น้าลองอ่านดูอีกสองสามเที่ยวว่าอยู่ตรงไหน

และบทจบนั้น น่าจะเร้าอารมณ์คนอ่านอีกหน่อย

เป็นงานโรแมนติก ที่ใส่เรื่องของการเคลื่อนไหวทางสังคมเข้าไปในช่วงกลางบท น่าจะใส่เกริ่นเอาไว้แต่ต้นนะครับ เกริ่นๆเอาไว้พอ เพื่อจะได้ใส่ช่วงกลางเรื่องได้เนียน

ตัว เพรง นั้นก็น่าสงสัย เธอเป็นเด็กสาวหน้าตาดี แต่เพียงรู้จักทางเนตและมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขา ซึ่งตอนท้ายเรื่องก็เฉลยมาว่าเป็นลูก ขรก. ผู้ใหญ่ นับว่าเป็นไปได้ยากอยู่ครับ และหากให้เพรงกลับไปงานศพของเขา การไม่มีพ่อของเธอไปด้วยจะดูดีกว่า

ภาษาของน้าสอบผ่าน แต่การใช้ภาษาถิ่นนั้น น่าจะใช้เป็นภาษากลางไปเลย โดยใส่ศัพท์ภาษาถิ่นเอาไว้

แต่ผมเสียด๊ายเสียดาย ไม่มีอีโรติกเร้ยยยยยยยยยยยย 5555555555

Comment #17
Posted @25 ต.ค.53 19.05 ip : 115...206

พระคุณมิอาจหาคำสรรบรรยายขะรับน้าหมี่  ทุกจุดที่ว่ามาล้วนเป็นคำถามค้างคาใจข้าพเจ้า น้อมรับข้อติงจากน้าหมี่นับว่าได้รับคำตอบ ยิ่งตรงการใช้ภาษาถิ่น ข้าพเจ้าไม่รู้หันหาปรึกษาใคร ใช้แค่ไหนอย่างไรจึงพองาม คำแนะนำมีประโยชน์นัก

ยังเหลือเวลาอีกหนึ่่งเดือน ข้าพเจ้าจะปรับปรุงอีกครั้ง กราบขอบพระคุณหาที่สุดมิได้ขะรับ

คารวะ

Comment #18
Posted @25 ต.ค.53 21.51 ip : 113...69

รายละเอียดการส่งงานรางวัลนี้เป็นยังไงล่ะน้า อยากทราบไว้บ้าง เผื่อจะได้ร่วมวงสนุกด้วยคนครับ

Comment #19
Posted @26 ต.ค.53 6.38 ip : 1...228

ตามนี้ขะรับน้าหมี่ :

ประกวดนวนิยายรางวัลสุภาว์ เทวกุล ฯ ครั้งที่ ๑๔

ด้วยมูลนิธิสุภาว์ เทวกุลฯ โดยนางสุกัญญา ชลศึกษ์ (กฤษณา อโศกสิน) ประธานกรรมการ ร่วมกับสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย โดยนางชมัยภร แสงกระจ่าง เห็นสมควรให้มีการประกวดวรรณกรรมเพื่อการรับรางวัลสุภาว์เทวกุล ฯ ประจำปี ๒๕๕๑ (ครั้งที่ ๑๔) โดยกำหนดให้เป็นนวนิยาย ขนาดสั้น ความยาวประมาณ ๑๕-๒๐ ตอน ไม่จำกัดความยาวของบทและไม่จำกัดเนื้อหา โดยเขียนเป็นภาษาไทย/ สร้างสรรค์ขึ้นเอง/ ไม่แปล-แปลงจากงานเขียนของผู้อื่น กรณีที่มีการลอกเลียนผลงานของผู้อื่น มูลนิธิฯจะดำเนินการตามกฎหมายลิขสิทธิ์ทันที และต้องเป็นงานที่เขียนขึ้นใหม่ ไม่เคยตีพิมพ์หรือรวมเล่มมาก่อน และระหว่างที่เสนอเข้าพิจารณารับรางวัลห้ามส่งให้นิตยสาร หนังสือพิมพ์หรือสำนักพิมพ์เพื่อการตีพิมพ์ ทั้งนี้ ผู้เขียนยังมีชีวิตอยู่ในวันส่งงานเข้าพิจารณารับรางวัล และผู้เขียนคนเดียวมีสิทธิ์ส่งได้มากกว่า ๑ เรื่อง

หลักเกณฑ์การส่ง ให้พิมพ์ดีดหน้าเดียว ส่งพร้อมสำเนา ๒ ชุด รวมเป็น ๓ ชุด / ผู้เขียนต้องทำสำเนาเก็บไว้เอง มูลนิธิฯไม่ส่งต้นฉบับคืน / กรุณาใส่ชื่อจริง นามสกุลพร้อมที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้ และเบอร์โทรศัพท์(ถ้ามี)ไว้ในต้นฉบับด้วย / ส่งลงทะเบียนทางไปรษณีย์ที่ มูลนิธิสุภาว์ เทวกุลฯ ตู้ ป.ณ.๙ ปท.อ่อนนุช กท.๑๐๒๕๐ โดยคณะกรรมการจะนับวันที่ประทับตราไปรษณีย์ต้นทางเป็นสำคัญ

รางวัลมี ๑ รางวัล เป็นเงินสดจำนวน ๓๐,๐๐๐.-บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และการตัดสินของคณะกรรมการถือเป็นเด็ดขาด ปิดรับเรื่องที่จะส่งเข้าพิจารณารับรางวัล วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ประกาศผลการตัดสิน และรับรางวัล ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๒ จัดงานรับรางวัลในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ๒๕๕๒

ผลงานที่ได้รับรางวัล มูลนิธิฯ ขอลิขสิทธิ์จัดพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกภายในกำหนดเวลา ๓ ปี โดยสำนักพิมพ์นานมีรับเป็นผู้จัดพิมพ์ และผู้ประพันธ์จะได้รับผลตอบแทนตามหลักการค่าลิขสิทธิ์วรรณกรรมพิมพ์รวมเล่มโดยทั่วไปด้วย

Comment #20
Posted @26 ต.ค.53 7.10 ip : 115...48

ที่เรียนว่ารางวัลระบุรับเรื่องโพสต์ลงเน็ตเป็นเมื่อประกวดเรื่องสั้นปีกลายขะรับ

แสดงความคิดเห็น

« 1430
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง

งานเขียนของข้าพเจ้า

personมุมสมาชิก

Last 10 Member Post

Web Statistics : online 0 member(s) of 24 user(s)

User count is 2436995 person(s) and 10224620 hit(s) since 24 พ.ย. 2567 , Total 550 member(s).