มาจากร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์ : ไอ้เด็กมัธยม ๕ คนหนึ่งกับไอ้หนุ่มอายุ ๒๘
ไอ้เด็กมัธยม ๕ คนหนึ่งกับไอ้หนุ่มอายุ ๒๘
บางทีนายจ้างก็ต้องมีฐานะของผู้อุปถัมภ์อยู่กลายๆ
๑).
แดดเช้าของวันปีใหม่มันช่างสวยงามเสียนี่กระไร ข้าพเจ้าเปิดประตูร้านเมื่อเวลาตี ๕ จัดโต๊ะจัดเครื่องใช้เรียบร้อยแล้วไปตลาด กลับมาล้างผักล้างหมูไก่เรียบร้อยก็เดินออกจากครัว ๖โมงเช้าของเดือนมกราคมสวยเสียเหลือเกิน แดดอ่อนๆทาบทาเป็นสีพลอยสุกปลั่งไปทั้งตีนฟ้าตะวันออกเหนือเขาคอหงส์ เหลือบไปดูหน้าร้านไม่เห็นรถมอเตอร์ไซค์ของประเสริฐเด็กทำงานที่ร้าน ก็ถามเจ๊ติ่งว่ายังไม่มาหรือ? คำตอบของเจ๊ติ่งเล่นเอาข้าพเจ้าหัวเสีย แดดเช้าปีใหม่เดือนมกราคมทำไมมันแสบตาอย่างนี้วะ?
จะไม่ให้หัวเสียได้อย่างไรกัน ในเมื่อวันที่ประเสริฐมาขอทำงานวันแรกนั้น เราได้ตกลงกันแล้วว่าให้มาถึงไม่เกิน ๖ โมงเช้า ด้วยที่ร้านมักจะมีลูกค้ามาซื้อไปใส่บาตรพระ และหรือให้ลูกหลานก่อนไปโรงเรียน มันจึงเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายเอาการอยู่ ข้าพเจ้ากระฟัดกระเฟียดหงุดหงิด ข้าพเจ้าไม่ชอบเลยกับการมาไม่ตรงเวลา หากจะหยุดงานก็ตกลงกันไว้แล้วว่าให้โทรศัพท์มาบอกกล่าวกันก่อน และนี่เป็นวันปีใหม่ วันที่ร้านค้าทุกร้านจะวุ่นวายโกลาหลอลอึงกันชนิดที่แทบไม่ได้นั่งพัก นี่เป็นวันปีใหม่เชียวนะ ทำอย่างนี้ได้อย่างไรกัน ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ข้าพเจ้าจึงเดินเข้าครัว ชุนถ่านใส่เตาให้มันลุกโชนขึ้นอีก พร้อมๆกับตักคราบน้ำมันที่ลอยอยู่ในหม้อน้ำแกง
วันที่ประเสริฐมาขอทำงานนั้น ข้าพเจ้าได้ขึ้นป้ายประกาศรับสมัครคนงานแขวนไว้ที่ต้นมะขามหวานแคระแกร็น เขามาจอดมอเตอร์ไซค์หน้าร้านยามบ่าย ชะเง้อชะแง้มองเข้ามาในร้าน ข้าพเจ้าลุกขึ้นไปหา ลักษณะทะเล่อทะล่ากล้าๆกลัวๆไม่ใช่ลักษณะของลูกค้าแน่ ก็ได้ความว่าเขามาสมัครงาน ตกลงร่วมกันที่วันละ ๑๗๐ บาท กิน ๒ มื้อ และห้ามหยุดงานโดยพลการ โดยเฉพาะเสาร์อาทิตย์และวันหยุดราชการทุกวันหยุด เขาตกลงยิ้มรับ พลันข้าพเจ้าฉุกคิดได้ ว่าครั้งก่อนเคยรับเด็กหนุ่มมาทำงานคนหนึ่ง วินัยทำงานก็เอาการอยู่ ติดจะขี้โม้ไปบ้างก็ช่าง ทำงานได้ไม่กี่วันก็มาบอกว่าขอลาหยุดสัก ๒ วัน ข้าพเจ้าถามเหตุผล เขาก็ยิ้มให้เหตุผลว่าไปขึ้นศาลคดีค้ายาบ้า ข้าพเจ้ายืนนิ่งอึ้งเงียบ จึงบอกวินัยไปอย่างใจดีว่าไปเถอะ ไม่ต้องกังวล ทางนี้จัดการกันเองได้ และวันนั้นเป็นวันที่เหนื่อยเพิ่มขึ้นมาอีกงาน เมื่อต้องรื้อดูว่าวินัยมันจะเอายาบ้ามาแอบไว้ในร้านบ้างหรือเปล่า ตั้งแต่นั้นจึงตั้งใจว่าอยากได้ผู้หญิงมาทำงาน อย่างน้อยก็เรื่องความสะอาดสะอ้านน่าจะดีกว่าผู้ชายอยู่ล่ะ
ข้าพเจ้าบอกประเสริฐว่าจริงๆอยากได้ผู้หญิงมากกว่า เขาเหลือบตาเอียงคอมองข้าพเจ้าพร้อมถามทำไม ก็ไม่ทำไมหรอก แต่การปกครองผู้ชายนั้นมันยากนัก ยิ่งเจอไอ้พวกถือดีมาจากไหนไม่รู้ด้วยนี่ แทบจะวิงวอนให้ออกกันเลยทีเดียว เขาบอกว่าเขาทำได้ทุกอย่าง ล้างส้วม? ได้! ถูพื้น? ได้! สะอาดไหม? สะอาด! ห้ามลา? ได้! เป็นอันว่าประเสริฐได้มาทำงานในร้านที่มีเกียรติแห่งนี้
ประเสริฐทำงานดีสมคำคุย ไม่มีอิดเอื้อนแม้น้อย แม้จะติดขี้โม้และเจ้าชู้ไปบ้างก็ตาม ครั้งหนึ่งลูกค้าคนสวยมากัน ๓ คน งามราวหยาดหยดลงมาจากฟากฟ้าสุราลัย ข้าพเจ้าลวกหมี่ไปหัวใจเต้นตุ้มต้ำๆไปประเสริฐนะหรือ? ถ้าข้าพเจ้าไม่หันไปดุที่เอาแต่ยืนมอง ก็คงยืนมองอยู่อย่างนั้นเป็นแน่ จนลูกค้าทานอิ่มและออกจากร้าน ประเสริฐก็เอ่ยกับข้าพเจ้าว่า แม่เว้ย เนื้อนมไข่จริงๆ ข้าพเจ้าเขกกะโหลกไปโป๊กแรงๆ มันไม่สมควรที่จะวิจารณ์ลูกค้าใดใดทั้งสิ้น เขาต้องรู้กฎข้อนี้ มันเป็นภาคบังคับของร้านอาหาร แม้เนื้อนมไข่สามคนนั้นจะไม่ได้ยิน แต่ลูกค้ารายอื่นที่นั่งอยู่ในร้านย่อมได้ยิน เสียเกียรติภูมิ เสียมรรยาทโดยแท้
ประเสริฐได้รับความไว้วางใจ งานหลายอย่างได้รับมอบหมายให้ตัดสินใจเองโดยไม่ต้องถาม นิสัยเด็กขี้เล่นของเขาแม้อายุจะ ๒๘ เข้าแล้ว ทำให้ร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์แห่งนี้ครึกครื้น เขาร้องเพลงได้ทุกเพลงอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าวิทยุจะเปิดเพลงอะไรเขาเป็นร้องคลอได้หมด ไม่แน่ใจว่าเป็นพรสวรรค์เป็นแรงบันดานใจ หรือเพราะอยู่บ้านไม่มีอะไรทำกันแน่ จึงได้นั่งฟังเพลงทั้งวันจนจำขึ้นใจ อยู่ๆวันหนึ่งเขาก็ขาดงาน เป็นการขาดงานโดยไม่บอกกล่าว นี่ข้าพเจ้าฉุนเป็นครั้งแรก รุ่งอีกวันเขามา บอกว่าเมื่อวานนั้นทะเลาะกับเมีย เขาว่าแม่เขามาจากราชบุรี แต่เมียไม่ต้อนรับ เมียบอกว่าจะเอาเขาคนเดียว ญาติพี่น้องพ่อแม่เขาหรือใครก็ตามไม่เอาทั้งนั้น แล้วประเสริฐก็ทำตาแดงๆจะร้องไห้ จนปัญญาจะเอ่ยอะไร ข้าพเจ้าจึงตบบ่าเขาเบาๆ แล้วบอกว่ายกน้ำร้อนไปหน้าบ้านหม้อหนึ่งก่อน ค่อยมาคุยกัน
ใครที่กลัวเมียเข้าเส้นเลือดนั้น ต้องมาดูประเสริฐเพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ตนเอง เกิดมาข้าพเจ้าไม่เคยเห็นใครกลัวเมียได้เท่าประเสริฐ และไม่เข้าใจจริงๆว่ามันจะกลัวเมียทำขี้เกลืออะไร ต่อให้รักมากสักเพียงไหน แต่ศักดิ์ศรีคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์มันน่าจะต้องทระนงสักหน่อย ประเสริฐเป็นคนชอบพูดเรื่องเมีย พร่ำพรรณนาว่าเมียดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ขณะเดียวกันก็มักจะสอดใส่ความเลวร้ายของเมียลงไปด้วย เป็นการสอดใส่อย่างแนบเนียนที่สุด ข้าพเจ้าค่อยๆซึมซับรับรู้เรื่องราวเมียของเขาทีละนิด จนวันหนึ่งเกิดอยากเห็นหน้าเมียของเขาว่างามล้ำเนื้อนมไข่สักเพียงไร เก็บร้านวันนั้นเสร็จ ข้าพเจ้าทำทีขึ้นข้างบนไปอาบน้ำล้างตัว เมื่อเห็นประเสริฐปิดประตูร้านและเมียขับมอเตอร์ไซค์มารับ ข้าพเจ้าจึงแอบเล็ดลอดสายตา เกาะประตูร้านยืนมองโดยมีบังตาปิดร่างไว้
ข้าพเจ้าเดินกลับข้างบนอย่างครุ่นคิด และจากนั้นมา เมื่อเขาพร่ำพรรณนาความรักที่มีต่อเมีย ข้าพเจ้าได้แต่ยิ้มเอ็นดู และตบบ่าเขาเบาๆพร้อมส่ายหน้าทุกครั้ง
วันละ ๑๗๐ บาท สำหรับที่นี่นับว่าพอสมน้ำสมเนื้อกับสภาพเศรษฐกิจ และเป็นเรทราคานี้โดยประมาณเกือบทุกร้านอาหาร จริงๆแล้วมันไม่น่าจะใช่แค่ ๑๗๐ เสียด้วยซ้ำ เมื่อได้เห็นการกินมื้อเช้าและเที่ยงของประเสริฐ เขาเคยถามราคาว่าที่เขากินนี้เป็นเงินเท่าไหร่ ข้าพเจ้าคำนวณให้เขาฟังทันทีว่าไม่ต่ำกว่า ๘๐ บาท หมี่แห้งใส่ทุกอย่าง = ๓๐ บาท เกาเหลาหัวตีนคอตูด = ๔๐ บาท และเลือดอีก ๑๐ บาท นี่เป็นเพียงรายการเล็กๆของประเสริฐเท่านั้น วันที่เขานึกรายการใหญ่ออกมื้อนั้นร้อยกว่าบาทขึ้น จึงจากวันที่มาสมัครงานร่างกายผอมกะหร่อง เพียง ๒ เดือนที่มาทำงานประเสริฐจึงอ้วนพีจนแผ่นหลังเป็น
ชั้นๆ พุงที่เคยแห้งติดชายโครงก็อวบอูมแหลมยื่นสะดือหลุม เตี่ยเคยสอนข้าพเจ้าว่ากับลูกน้องนั้นให้เขาอิ่ม เพื่อจะได้มีแรงทำงานให้กับเรา และนี่เป็นข้อปฏิบัติของข้าพเจ้าอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแม้นิด ไม่เคยมีใครที่มาทำงานกับข้าพเจ้าแล้วจะผอมแห้งสักคนเดียว นอกจากเจ้าเจมส์ ไอ้เด็กมัธยม ๕ คนนี้
ประเสริฐทำงานด้วยดีเสมอมา แม้ว่าหลายครั้งข้าพเจ้าจะรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทีเด็กไม่โตของเขา เขาเล่นไปหมดในทุกสถานการณ์ แม้สถานการณ์นั้นมันกำลังยุ่งเหยิงปวดกบาลสักเพียงไร เขายังร่าเริงได้ตลอดเวลา นี่ไม่แน่ใจนักว่าเป็นคุณสมบัติหรือโทษสมบัติ ความไม่รู้ร้อนรู้ทุกข์ของเขา หลายครั้งที่ข้าพเจ้าแทบจะสิ้นความอดทน ครั้นเขาเห็นว่าข้าพเจ้าฉุนหนัก เดี๋ยวเถอะเขาจะเข้ามาพูดจาเป็นการเป็นงาน และนั่นเขารู้ว่าเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ข้าพเจ้าผ่อนคลายความกริ้ว จนกระทั่งก่อนวันสิ้นปี ๒๕๔๙ เขามาขอลางานด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย บอกว่าเมียให้ไปร่วมงานปีใหม่ที่บ้านเกิดเมีย อำเภอระโนดอยู่ห่างออกไปเกือบ ๑๐๐ กิโลเมตร ข้าพเจ้าถามว่าไม่คิดบ้างหรือว่าที่นี่จะยุ่งอย่างไรในวันเช่นนั้น เขาว่ารู้ และเข้าใจดีว่าจะเป็นวันที่อึกทึกโกลาหลอย่างยิ่ง แต่เมียสั่งให้ไปให้ได้ เพราะเป็นการพบปะกันของญาติๆในช่วง ๑ ปี ข้าพเจ้าพยายามชักแม่น้ำทั้ง ๕ มาอธิบายว่าวันละ ๑๗๐ พร้อมกิน ๒ มื้อที่ปาเข้าไปอีก ๑๖๐ บาทนั้น มิใช่จ้างให้มานั่งเล่น ใน ๑ อาทิตย์วันที่จะมีลูกค้าเยอะจนแทบทำกันไม่ทันนั้นก็คือเสาร์อาทิตย์และวันหยุดราชการ และนี่เป็นเหตุผลสำคัญสุดในการจ้างลูกจ้าง ข้าพเจ้าถามสำทับอีกทีว่าเข้าใจไหม? เขาพยักหน้าพร้อมตอบรับว่าเข้าใจ แต่เมียสั่งให้ไปให้ได้ ข้าพเจ้าจนปัญญา เลยบอกว่าคิดเอาเองเถิด แต่ไอ้เรื่องที่จะให้ง้อคนโดยเฉพาะลูกจ้างนั้น มิใช่วิสัยของข้าพเจ้า
ไม่มีมอเตอร์ไซค์ของประเสริฐใน ๖ โมงเช้าของวันปีใหม่ และไม่มีในอีก๓-๔วันต่อมา ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะโทรฯไปตามให้เขามาทำงานได้ มันไม่ใช่เรื่อง คนที่เดือดร้อนจริงๆนั้นหาใช่ข้าพเจ้าไม่ แต่คนที่ไม่มีเงินซื้อข้าวกินนี่สิที่ต้องเดือดร้อน ข้อนี้เมียที่รักของเขายืนยันได้ดีในวันที่เจ๊ติ่งโทรฯไปทวงเงินที่ประเสริฐยืมไป ๒๐๐ บาท มีนายจ้างที่ไหนบ้างให้เบิกล่วงหน้าและให้ยืมเงิน เขาเคยโทรฯมาขอยืมเงินข้าพเจ้า ๑๐๐๐ บาท บอกจะเอาไปเป็นค่าเช่าบ้านและผ่อนมอเตอร์ไซค์ ไม่มีนายจ้างที่ไหนเขาให้หรอก นอกจากนายจ้างใจดีรูปหล่อ ข้าพเจ้ากดเบอร์เจ้าเจมส์ในค่ำวันศุกร์ เสาร์อาทิตย์ซ้ำเป็นวันหยุดชดเชยปีใหม่ เจมส์มันน่าจะว่างพอที่จะมาช่วยงานได้อีก
๒).
เจมส์- เด็กหนุ่มอายุ ๑๘ ในวันนี้ เขาเป็นหลานของคนข้างบ้าน พักอยู่แถวละแวกคลองเรียนกับแม่เลี้ยงที่ลูกอ่อนเพิ่งคลอด เป็นเด็กหนุ่มที่ถูกความไร้เดียงสาของผู้ใหญ่กระทำจนมึนงง ความร่าเริงที่เคยมีเมื่อสมัยมัธยมต้นที่ข้าพเจ้าเคยพบเห็น กลับเป็นความเงียบขรึมครุ่นคิดในวัยมัธยมปลาย พี่น้อง ๔ คนของเขาเหมือนลูกฟุตบอล ถูกเตะกลิ้งหลุนๆไปมาจนไม่รู้แน่ว่าตนเองจะไปทางไหน โชคดีของพี่ชาย ๒ คนของเจมส์ ที่โตพอจะหาเลี้ยงตัวเองได้ด้วยการเล่นดนตรี โชคดีของน้องสาวคนเล็กสุดท้องที่แม่กระเตงพากลับไปลำปาง โชคร้ายจึงเป็นของใครไม่ได้นอกของเขา ที่เมื่อพ่อเขาไปได้งานที่นครปฐม ทิ้งเขาให้อยู่กับแม่เลี้ยงคู่อริ และส่งเงินมาให้โดยผ่านทางแม่เลี้ยง รูปร่างผอมๆผิวคล้ำของเจมส์จึงยิ่งดูผอมกร้านขึ้น และใบหน้าที่ควรจะดูเอิบอิ่มอย่างเด็กหนุ่มทั่วไปก็เศร้าหมองตลอดเวลา
แม่ของเจมส์กับแม่เลี้ยงเป็นเพื่อนกันมาก่อน พ่อของเจมส์เคยทำงานเป็นผู้จัดการบริษัทใหญ่โตโอฬาร เป็นนักตีสนุ้กเกอร์ด้วยฉกาจพอๆกับที่เป็นนักสังคม วันที่เพื่อนรักสองคนทะเลาะกันรุนแรง เป็นวันที่ลูกๆรู้อนาคต แม่เก็บข้าวของกลับลำปางอย่างปวดร้าว ทิ้งลูก ๔ คนให้อยู่ในความดูแลของแม่เลี้ยง ผู้เป็นพ่อถูกขับออกจากงาน และดิ้นรนหางานทำใหม่อย่างยากเย็น มันเป็นช่วงภาวะป่วนปั่น กระเซ็นกระสายลุ่มๆดอนๆไม่มีหยุด เมื่อคนโตออกจากวิทยาลัยไปทำงาน เมื่อคนที่สองออกจากมหาวิทยาลัยไปทำงาน เมื่อคนเล็กสุดท้องออกจากโรงเรียนไปเรียนต่อที่ลำปาง เจมส์เป็นคนที่สามจึงเคว้งคว้าง และวันนั้นเขาเดินมาหาข้าพเจ้าด้วยใบหน้าอมทุกข์ ถามว่ามีงานให้เขาทำไหม? โดยไม่ต้องตัดสินใจ ข้าพเจ้าตอบตกลง และจัดแจงขยับขยายเวลาเปิดร้านเลื่อนขึ้นไป จากเปิด ๖ โมงเช้าเก็บบ่าย ๓ ข้าพเจ้าก็เลื่อนไปเป็นเก็บร้าน ๔ ทุ่ม มันเป็นช่วงปิดภาคเรียนของเจมส์ และนั่นคือการปิดอนาคตนักฟุตบอลโรงเรียนฝีเท้าดีคนหนึ่งอย่างสิ้นเชิง
เจมส์มาทำงานอย่างขยันขันแข็ง ไม่เคยบ่นสักแอะสักคำ อยู่ง่ายกินง่ายเลี้ยงง่ายจนข้าพเจ้าแปลก ใจนักว่าทำไมผู้ใหญ่จึงทอดทิ้งเขาได้ลงคอ ก็เหมือนเด็กหนุ่มทั่วไปนั่นแหละ เจมส์มักจะมีมุมมองต่อทุกสิ่งอย่างแปลกใหม่ บางครั้งแปลกใหม่จนข้าพเจ้าต้องเขกกบาลไปสักโป๊กหนึ่ง ดูเหมือนเจมส์พยายามลืมลบความปวดร้าวมึนงงนั้นอย่างลำพัง เขาไม่เคยปริปากบ่นเรื่องนี้ให้ใครได้ยิน มีเพียงดวงตาแดงๆน้ำตาคลอและสันกรามที่กัดจนนูนเท่านั้นเมื่อข้าพเจ้าถามความเป็นไป วันที่เจมส์ไปรับผลสอบปีนั้น เขายังใส่ชุดนักเรียนมาทำงานตามปกติ ยื่นใบผลสอบให้ข้าพเจ้าดูแล้วยิ้มอย่างภูมิใจ เขาเป็นเด็กเรียนดีคนหนึ่ง โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษด้วยแล้ว เขารักมันเหมือนที่รักการเตะฟุตบอล เทอมนั้นเขาได้ ๓ กว่าๆ ข้าพเจ้ากล่าวชมเขาหน่อยหนึ่ง ขยี้หัวเขาเบาๆแล้วบอกให้ไปเก็บถ้วยตามโต๊ะ
หน้าตาเข้มแบบคนใต้ของเจมส์ช่วยทำให้น่ามองอย่างยิ่ง แต่บุคลิกการยืนการเดินของเขานี่สิ ที่ข้าพเจ้าต้องใช้ฝ่ามือตบหลังเบาๆเสมอ เขาชอบยืนหลังงอ และเดินแบบไร้ชีวิตชีวา เด็กหนุ่มควรจะองอาจกว่านี้ ข้าพเจ้าบอกเขา ใช้มือซ้ายดันหัวไหล่ให้ตัวยืดตรง แล้วใช้มือขวาตบหน้าท้องเขาเบาๆอย่าให้งอโค้ง ข้าพเจ้าเล่าเรื่องเก่าๆในวัยที่มีอายุเท่าเขาให้ฟัง พูดถึงวงดนตรีร๊อคยุค ๖๐,๗๐และ๘๐ พูดถึงแมวชื่ออบเชยที่เคยอยู่ร่วมบ้านหลังนี้ เล่าเรื่องของเด็กๆข้างบ้านที่เป็นญาติของเขา จนกระทั่งถึงวันเปิดเทอม เจมส์ก็กลับไปเรียนตามปกติ ค่าเทอมเขาได้รับทุนจากโรงเรียนและจากรัฐบาลยุคนั้น ค่ากินค่าใช้จ่ายเขาได้จากการทำงาน และส่วนหนึ่งมาจากที่แม่ของเขาส่งมาให้
แม่ของเจมส์เป็นผู้หญิงสวยบุคลิกดี ลูกของเธอทุกคนได้หน้าตามาจากเธอทั้งสิ้น เมื่อครอบครัวล่มสลาย เธอจำเป็นต้องทิ้งลูกๆทั้ง ๔ ให้อยู่ที่นี่ไปก่อน จนกว่าเธอจะหางานใหม่ที่มั่นคงได้ ข้าพเจ้ายังจำได้ถึงภาพที่เจ้าตัวเล็ก ป.๔ เดินมาที่ร้านยามบ่าย แม่ของเธอนำมาส่งให้ญาติข้างร้านข้าพเจ้าดูแลในยามเธอไปทำงาน มันเป็นวันอาทิตย์ที่ครอบครัวนั้นเขาไปพักผ่อน เจ้าคนเล็กยืนเคว้งคว้างไม่รู้จะไปไหนดี ได้แต่นั่งชิงช้าหน้าบ้านแล้วรอคอย ข้าพเจ้าเหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนนั้น จึงกวักมือเรียกให้มาที่ร้าน สอบถามได้ความก็บอกให้รอที่ร้านนี่แหละ ลวกบะหมี่ให้กิน นั่งพูดคุยและเล่นหัว ครั้นลูกค้าเข้าร้านมาสักคน เจ้าตัวเล็กก็จะเดินไปถามว่ารับน้ำอะไรดีคะ? แล้วเดินมาถามข้าพเจ้าด้วยเสียงเบาๆว่าน้ำอ้อยทำยังไง? ครั้นว่างลูกค้าเจ้าตัวเล็กก็จะเดินตามข้าพเจ้าไปติดๆ เด็กกำลังไร้ที่พึ่ง กำลังสับสนมึนงงและหวั่นไหว ข้าพเจ้าเดินไปรองน้ำรดต้นไม้หน้าร้านก็เดินตาม เดินไปหลังร้านเพื่อยกถ้วยที่ล้างแล้วก็เดินตาม จนเย็นย่ำเก็บร้านครอบครัวนั้นก็ยังไม่มา เราทุกคนก็ต้องการชำระร่างกายและพักผ่อน จะทำอย่างไรดีกับไอ้เด็กผู้หญิงคนนี้หนอ? ข้าพเจ้าอธิบายให้ฟังว่าเราต้องพักผ่อน รออยู่ในร้านสักชั่วโมงได้ไหม เดี๋ยวข้าพเจ้าจะลงมาคุยด้วย? เด็กน้อยยืนนิ่ง เธอเป็นเด็กที่ไม่ค่อยยิ้มแย้มนัก หน้าตาอมทุกข์อมโศกเหมือนเจมส์พี่ชายของเธอ แต่ครั้นเธอยิ้มนั่นแหละที่เราจะเห็นถึงความสดใสเบิกบานไร้เดียงสาของเด็ก เจ้าตัวเล็กตอบข้าพเจ้าว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเธอจะเดินไปที่โรงเรียนซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ข้าพเจ้าตอบตกลง และสำทับว่าอีกชั่วโมงหนึ่งให้มาเจอกันที่ร้านอีก ร่างน้อยๆผอมบางเดินลับไปไม่กี่ร้อยเมตรก็เข้ารั้วโรงเรียน
จนปีกว่าๆผ่านพ้น แม่ของเธอก็กลับมาอีกครั้ง วันที่แม่ลูกพบกันเป็นวันที่เจ้าตัวเล็กขลุกอยู่กับข้าพเจ้าในร้าน เจ้าตัวเล็กรู้ล่วงหน้าแล้วว่าแม่จะมา รอคอยชะเง้อหาตั้งแต่เช้า ข้าพเจ้าเห็นความร่าเริงที่สูญหายไปแรมปีกลับมา เจ้าตัวเล็กกระโดดโลดเต้นไม่มีหยุด ชักชวนพูดคุยกับข้าพเจ้าอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบสองปี เหมือนโลกทั้งโลกที่เธอแบกไว้มันกลายเป็นปุยเมฆ ข้าพเจ้าเห็นผีเสื้อปีกสวยอยู่ในดวงตาของเธอ จนกระทั่งแม่ของเธอปรากฏตัวเบื้องหน้า....
เด็กน้อยยืนนิ่งอยู่ในชายคาร้าน มองแม่ของเธอที่กำลังจอดมอเตอร์ไซค์ ข้าพเจ้าตั้งใจฟังเสียงสักเสียงที่จะหลุดออกมาจากปากของเธอ มันมีเพียงความเงียบงัน เธอจ้องดูแม่ของเธอตาไม่กะพริบ น้ำตาไหลออกมาทีละหยด แม่ของเธอฝืนกลั้นน้ำตาไว้ในหน้า ยิ้มทักข้าพเจ้าก่อนจะหันไปจ้องมองลูกสาวของตนเต็มตา มันเป็นความเงียบที่แสนเงียบในห้วงบ่ายที่ถนนพลุกพล่านไปด้วยเสียงจอแจ มันเป็นเวลาที่นานแสนนานในช่วงระยะการจอดมอเตอร์ไซค์แล้วเดินเข้าชายคา ข้าพเจ้าเห็นสองแม่ลูกกอดกันแน่น ต่างคนต่างแข่งกันร้องไห้สะอึกสะอื้นไร้เสียง มีเพียงหยาดน้ำตาที่ร่วงพรูออกมา และอาการหอบสะอื้นจนตัวโยนเท่านั้น สองแม่ลูกไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย แม่กอดและเฝ้าแต่จูบลูกน้อยของตน ลูกสาวก็ซุกหัวเข้าหาแนบอกแม่ สองร่างแทบจะกลืนกันเป็นหนึ่งเดียว ข้าพเจ้ายืนมองได้เพียงครู่ ก่อนที่น้ำตาจะไหลด้วยความรู้สึกอันประหลาด ข้าพเจ้าแกล้งเดินเข้าไปหลังร้าน
วันนั้นเจมส์ไปโรงเรียน พี่ชายอีกสองคนก็ยังคงนอนหลับหลังจากเล่นดนตรีในช่วงกลางคืน เจ้าตัวเล็กเดินกอดแม่ของเธอไม่ปล่อย แม่ของเธอก็ไม่ปล่อยมือออกจากการโอบกอดลูกสาว หลังน้ำตาปีติและแสนเศร้า สองแม่ลูกพูดคุยกันอย่างยาวนาน ข้าพเจ้าแอบได้ยินเสียงหัวเราะ และแอบได้ยินเสียงร้องไห้เป็นช่วงๆ จนเย็นที่ลูกทั้ง ๔ ได้มาพบเจอกับแม่ของตัว ข้าพเจ้ามองพวกเขาอย่างเป็นสุข ก่อนสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ไปเตะฟุตบอล
แล้วแม่ของเธอก็กลับลำปางอีกครั้ง บอกลูกน้อยว่าอีกไม่นานจะมารับไปอยู่ที่นั่นด้วย ข้าพเจ้าถามเจมส์ว่าจะได้ไปด้วยหรือไม่? เจมส์ยิ้มเศร้าๆตอบว่าไม่ได้ไป ข้าพเจ้ามองหนทางข้างหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้อย่างสงสาร ดูเขาจะเป็นคนที่โชคร้ายโดยไม่มีพักเว้นเสียจริงๆ การคาบเกี่ยวระหว่างวัยที่เขายังไม่สามารถหาเลี้ยงชีพได้ กับการเกินกว่าจะไปเริ่มต้นใหม่ในที่เรียนใหม่ด้วยใกล้สอบเข้ามหาวิทยาลัย มันช่างเป็นเรื่องปวดร้าวแท้ๆ
ลูกของแม่เลี้ยงคนโตกำลังเรียนอนุบาล และเธอมีลูกอ่อนคนใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกคน พ่อของเจมส์ได้งานทำที่นครปฐม ในช่วงที่แม่เลี้ยงเพิ่งออกจากโรงพยาบาลหลังคลอด เจมส์ทำหน้าที่เลี้ยงดูคนโตอย่างเต็มที่ เขาไม่เคยรังเกียจว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของแม่เลี้ยงใจร้าย และดูแลอาหารการกินให้แม่เลี้ยงในช่วงอยู่ไฟ เขาซักผ้าอ้อมทุกชิ้น เช่นที่หุงข้าวทุกมื้อสำหรับทุกคน ก่อนไปโรงเรียนเจมส์จะแต่งตัวให้คนโตแล้วไปส่งโรงเรียนอนุบาล จากนั้นเขาก็จะไปโรงเรียนที่อยู่ห่างออกไปเป็น ๑๐ กิโลเมตรด้วยรถโดยสาร เมื่อโรงเรียนเลิกเขาจะแวะรับคนโตกลับบ้านพร้อมกัน จากนั้นก็ทำหน้าที่พ่อบ้านอย่างอดทน ไม่มีใครเคยได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มคนนี้บ่นสักคำเดียว พ่อของเจมส์ส่งเงินมาให้ผ่านทางแม่เลี้ยง แต่ข้าพเจ้ารู้มาว่าเงินที่เจมส์ใช้จ่ายนั้นมาจากแม่ที่ลำปาง และจากการทำงานในร้านของข้าพเจ้านี่เอง
เจมส์ย่างเข้า ๑๘ ปี รูปร่างเล็กๆของเขาเหมือนไม่มีพัฒนาการ ใบหน้ายังหมองเศร้าอมทุกข์อมโศก ความร่าเริงที่เคยพบเห็นกลับเป็นความเงียบขรึมเลื่อนลอย หลายครั้งที่ข้าพเจ้าจ้องดวงตาเขาในยามที่เขาลอยเหม่อ เขาไม่เห็นข้าพเจ้า
มันเป็นการดูดายเกินไปกับการเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งเคว้งคว้างไร้ที่พึ่ง ข้าพเจ้าเองก็ไม่ใช่ญาติโกโหติกาเสียด้วย เห็นใจสงสารเพียงไรก็คงทำได้เท่าที่ชาวบ้านคนหนึ่งจะทำได้ ข้าพเจ้าเดินขึ้นไปหิ้งพระ เลือกหาหลวงพ่อทวด วัดพะโคะ มาองค์หนึ่ง แล้วเอาไปใส่กรอบสแตนเลสพร้อมสร้อย ข้าพเจ้าคล้องคอให้เจมส์ บอกเขาว่าคนต้องมีที่พึ่ง คนต้องมีศรัทธา ชีวิตเป็นเรื่องซับซ้อนเกินกว่าสมองน้อยๆของเราจะทำความเข้าใจได้หมด ควรหาหลักไว้สำหรับให้ชีวิตได้ยึดเกาะสักอย่าง และนับแต่นั้นเจมส์ก็แขวนหลวงพ่อทวดมาทำงานทุกวัน
๓).
มันเป็นวันปีใหม่แท้ๆ ทุกคนต่างรอคอยวโรกาสนี้อย่างจดจ่อ มันเป็นเทศกาลแห่งความสุขแม้ๆ ทุกคนต่างรอคอยวโรกาสนี้อย่างกระวนกระวาย แต่ใครมันจะกระวนกระวายได้เท่าข้าพเจ้าอีกแล้วเล่า? ชะเง้อมองหามอเตอร์ไซค์ของประเสริฐก็ไม่เห็นแม้เงาล้อ ได้แต่แช่งชักหักกระดูกไม่เหลือดี บ่นงึมงำๆอยู่ทั้งวันจนเจ๊ติ่งสงสัยว่าข้าพเจ้าเป็นอะไร
อยู่ๆกระแสจตุคามก็โหมกระหน่ำไปทั้งประเทศ ข้าพเจ้าแปลกใจนักว่าเป็นเพราะอะไร ค้นดูในหิ้งพระด้วยจำได้คร่าวๆว่าเคยมีอยู่องค์หนึ่ง มีคนให้ข้าพเจ้ามานานแล้ว เป็นการให้ตอบแทนที่ข้าพเจ้ามอบเนื้อว่านพ่อท่านชูเฒ่าให้เขา รื้อไปรื้อมาก็นึกขึ้นได้ ว่าประเสริฐเคยถามว่าข้าพเจ้ามีจตุคามบ้างไหม? เขาอยากได้สักองค์ และข้าพเจ้านี่แหละที่เป็นคนยื่นให้กับมือแท้ๆ น่าตบกะโหลกตัวเองแรงๆสัก ๔-๕ ทีเชียว เมื่อมารู้ทีหลังว่าจตุคามที่ให้ประเสริฐไปนั้น ตอนนี้ราคาพุ่งหลักหมื่น
เจมส์ปิดภาคเรียนใหญ่ มาทำงานทุกวันอย่างขันแข็ง มีหยุดไปบ้างในวันที่เขาไม่สบาย คงเพราะการขาดความร่าเริงกระมังที่ทำให้เขาเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะ ผลการเรียนครั้งล่าสุดของเจมส์ตกลงอย่างน่าใจหาย เขาบอกว่าอยากเรียนคณะอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับการเงิน ข้าพเจ้าบอกว่าที่ธรรมศาสตร์หรือจุฬาฯสิ เจมส์ยิ้มแห้งๆ บอกเบาๆว่าได้ที่ มอ.หาดใหญ่ก็พอแล้ว ข้าพเจ้าไม่แน่ใจนักว่าที่นั่นจะมีคณะเกี่ยวกับการเงินการบัญชีไหม มองลึกเข้าในดวงตา เหมือนข้าพเจ้าจะมองเห็นอนาคตอันเลื่อนลอยเคว้งคว้างของเจมส์ เหลือการเรียนอีกชั้นปีเดียวก็จะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผลการเรียนที่ตกลงมาฮวบๆ ชีวิตที่ดิ้นรนหาเอาเองในวัย ๑๘ ทุนการศึกษาที่ได้รับจากแม่เดือนละ ๑๕๐๐ จากพ่อเดือนละ ๑๐๐๐ มันจะเป็นไปได้อย่างไร? เจมส์รู้ และเจมส์พยายามปฏิเสธสิ่งที่เขารู้นี้ เขาแกร่งเกินข้าพเจ้าจะคาดคิด ก้มหน้าก้มตาทำงานหาเงิน จมอยู่กับภาพบางอย่างในหัว เมื่อข้าพเจ้าทักก็ได้แต่ยิ้มแหยๆตอบ หลวงพ่อทวดยังคงคล้องคอเขาทุกวัน ข้าพเจ้าอยากรู้นัก เขากำลังคิดอะไรอยู่เกี่ยวกับอนาคต
เจมส์รับเงินค่าแรงที่มาทำงานเป็นก้อนใหญ่ เขาฝากเงินรายวันไว้กับข้าพเจ้ามาตลอดเกือบๆ ๓ เดือน ข้าพเจ้ายื่นให้พร้อมกล่าวอวยพรให้โชคดีเป็นของเขาบ้าง เจมส์ยิ้มแห้งๆรับตอบ ยกมือไหว้ขอบคุณแล้วพูดว่าปิดเทอมจะมาทำงานอีก เด็กหนุ่มร่างเล็กๆที่หลังคุ้มงอผู้น่าสงสาร ขับมอเตอร์ไซค์บุโรทั่งกลับบ้าน พรุ่งนี้เขาต้องไปโรงเรียน อนาคตอันเลื่อนลอยยังคงมีแสงริบหรี่อยู่ ข้าพเจ้าหวังว่าเขาต้องได้เรียนในคณะที่ปรารถนา และจบออกมามีงานทำมั่นคง ร้านของข้าพเจ้ายังพอรับสมัครแรงงานได้อยู่ ประเทศนี้มีผู้ดิ้นรนหางานทำอยู่เกลื่อนกลาดนัก คงไม่นานหรอกที่จะหาแรงงานมาแทนทดชดเชยเจมส์ได้
ตกค่ำ ขณะที่ข้าพเจ้านั่งเล่นอยู่บนระเบียงชั้น ๔ ของร้าน ประเสริฐก็โทรศัพท์เข้ามา ข้าพเจ้ารับสายอย่างเหนื่อยอ่อน จตุคามองค์ละหมื่นยังอยู่ไหมหนอ? เสียงสั่นเครือร้องไห้ของประเสริฐทำให้ข้าพเจ้าต้องนิ่งฟัง ความว่าเขาทะเลาะกับเมียด้วยเรื่องหางานไม่ได้ เมียโกยข้าวของเสื้อผ้าของเขาออกมาโยนทิ้งหน้าบ้าน บอกถ้ายังหางานไม่ได้ ให้ไปอยู่ที่อื่น ประเสริฐร้องไห้หนักขึ้นเมื่อเล่าถึงตอนนี้ และพูดว่าเขาขอโทษในเรื่องที่เกิด เขาขอให้ข้าพเจ้ารับเขาเข้าทำงานอีกครั้งจะได้ไหม? แล้วก็สะอึกสะอื้นฮักๆตรงตู้โทรศัพท์สาธารณะนั่น ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกรำคาญ ข้าพเจ้าเลยบอกให้หยุดร้องไห้ก่อน จากนั้นก็เป็นการเทศนาย้อนหลังอีกราวๆ ๑๕ นาที ก่อนจะบอกให้เขามาทำงานในวันรุ่งขึ้น ก่อนวางสายข้าพเจ้าได้ยินเสียงเฮลั่นอยู่แผ่วๆ
ให้ตายสิ! ข้าพเจ้าลืมถามถึงจตุคามว่ายังอยู่ไหม?
๔ เมษายน ๒๕๕๐
Relate topics



