นักเรียนนักศึกษาไม่ควรยุงเรื่องการเมือง?
ไม่กี่วันมานี้ รมว.ศึกษาธิการ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้กล่าวประโยคนี้ออกมา สำหรับผมแล้วมันเป็นวาทกรรมที่ได้ยินมาแต่เด็ก ทั้งครูบาอาจารย์พ่อแม่ผู้ใหญ่ ต่างกรอกหูผมทุกเช้าเย็น อีกทั้งบรรยากาศสังคมสมัยนั้นมันกำลังขุ่นมัว อึมครึมงึมงำอย่างยิ่ง แบ่งฝ่ายเป็นซ้ายเป็นขวาชัดเจน ขณะที่เสียงปืนของกองทัพปลดแอกลั่นเปรี้ยงอยู่บนภูเขา ที่ห่างจากหาดใหญ่เพียง 10 กว่ากิโล ในเมืองก็ครื้นครึกด้วยเธคดิสโก้ นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาสนุกสนานกับความบันเทิง โดยเฉพาะจากหญิงสาวที่เป็นสินค้าขึ้นชื่อของหาดใหญ่
ภูมิปัญญาต่างๆถูกกวาดล้าง หนังสือฝ่ายก้าวหน้าทั้งซ้ายและไม่ซ้ายถูกเก็บจากแผงจนเกลี้ยง หนังสือพิมพ์เสนอข่าวการเมืองแบบขอไปที นิตยสาร,พ็อกเก็ตบุ๊กก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวที่ไม่เกี่ยวอันใดเลยกับการเมือง ผมถูกบ่มเพาะมาด้วยเพลงปลุกใจให้รักชาติ เพลงลูกทุ่งที่สนับสนุนแนวคิดขวาจัด ความใฝ่ฝันอยากเป็นทหารก็มาจากเพลงลูกทุ่งนี่เอง
ชีวิตที่เติบโตห่างเหินจากการเมือง รู้สึกตัวว่าตนเป็นเด็กตลอดเวลา และการเมืองเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ชาติบ้านเมืองเป็นเรื่องที่ไกลเกินจะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา ผ่านมาเป็น20-30ปี ผมจึงเพิ่งตั้งคำถามว่าทำไม?
อาจารย์เหลือ ที่โรงเรียนมหาวชิราวุธ สงขลา น่าจะเป็นคนแรกที่ให้เด็กอ่านหนังสือพิมพ์การเมืองรายสัปดาห์ แกสอนประชาธิปไตยในวิชาสังคมให้อย่างอ้อมๆ และเล่าเรื่องราว 14 ตุลา 16 ที่เราไม่เคยรู้เรื่องอันใดมาก่อนเลยให้ฟัง ผมเรียนโปรแกรมพละ นอกจากวิชาที่ต้องอยู่กลางสนามเป็นส่วนใหญ่แล้ว จิตใจเด็กพละก็รุนแรงสมวัย โลดโผนและเมามายอยู่กับทุกสิ่งที่เป็นอบายมุข จนกระทั่งเข้าเรียนรามคำแหง
เดินผ่านพรรคการเมืองของนักษา ก็จะได้ยินเสียงเพลงวงคาราวานดังอยู่ทุกที่ทำการพรรค เพลงถั่งโถมโหมแรงไฟทำให้ต้องหยุดยืนฟังอย่างสงสัย ว่ามันหมายถึงอะไร เพลงข้าวคอยฝนของคาราวานในประโยคคลาสสิกที่ว่า ทุนนิยมจักถูกทำลาย นั้นมันเป็นอย่างไร นี่เป็นจุดเริ่มต้นให้ผมสนใจการเมืองตลอดมา
หวนคิดถึงประวัติศาสต์ยุคใกล้ พยายามวิเคราะห์ออกมาว่าทำไมนักการเมือง,ผู้ใหญ่,ครูบาอาจารย์ทั้งหลายจึงพยายามให้เราอย่าเข้าไปข้องเกี่ยวกับการเมือง เด็กหนุ่มสาวอายุประมาณ20ปีไม่มีความคิดเลยหรือ? คิดเองไม่เป็นหรือ? ไม่รับรู้และรู้สึกถึงภาวะปั่นป่วนของสังคมเลยหรือ? การเมืองไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเด็กหนุ่มสาวเลยหรือ?
คำตอบที่ได้ก็น่าตกใจยิ่งกว่า มันเริ่มมาจากหลัง 2475 ที่รัฐบาลทุกรัฐบาลยังล้มลุกคลุกคลาน สร้างสังคมประชาธิปไตยกันอย่างไม่เข้าใจในเนื้อหา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองได้ถูกจัดตั้งขึ้น ความคิดตะวันตกโหมเข้าสังคมไทยอย่างรุนแรงเชี่ยวกราก เกิดกระบวนการคิดของเด็กหนุ่มสาวขึ้นมาในสถาบัน และมีการเรียกร้องเอาจากรัฐบาลในหลายๆเรื่อง
จนกระทั่งเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 เด้กหนุ่มสาวได้สำแดงพลังอันยิ่งใหญ่ออกมา โค่นล้มรัฐบาลเผด็จการทหารจอมพลถนอม กิตติขจร ได้สำเร็จ สังคมเข้าสู่ช่วงฮันนี่มูนอยู่ 3 ปีเต็มจึงเกิดกรณีล้อมฆ่านักศึกษาในธรรมศาสตร์เมื่อ 6 ตุลา 19
ทั้ง 2 ตุลาได้ก่อความวิตกกังวลแก่ผู้ปกครอง การตรวจสอบของนักศึกษาเข้มข้นจนนักการเมืองไม่สามารถกระทำการอุกอาจใดใดได้โดยง่าย และได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเพียงสองมือเปล่าของเด็กหนุ่มสาวนี่แหละ ที่สามารถโค่นล้มถอนรากถอนโคนผู้ปกครองได้อย่างไม่ยากเย็น เป็นอีกพลังหนึ่งที่มีศักยภาพเพียงพอเท่าๆกับกองทัพ
เกิดความเกรงกลัวในหมู่ผู้ปกครองนักการเมือง ผมจำไม่ได้ว่าใครเป็นคนเสนอแนวคิดเด็กไม่ควรยุ่งการเมือง อาจเป็น จอมพล.ป. หรือไม่ก็ จอมพล.ส. และตอกย้ำอย่างรุนแรงในสมัยจอมพลถนอม
กระแสคอมมิวนิสม์ขยายใหญ่ไปทั่วโลก พ่อแม่เด็กที่โดนไซโคเรื่องการเมืองกับเด็กเกิดความเกรงกลัว ว่าหากลูกหลานตนยุ่งการเมืองต้องเป็นคอมมิวนิสม์แน่ อีกทั้งการล้อมฆ่าเมื่อ 6 ตุลา 19 ทำให้เกิดความหวาดหวั่นยิ่งขึ้น การเดินทางไกลหนีเข้าป่าเขาของหนุ่มสาวทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองหวั่นเกรงยิ่งขึ้น และรัฐได้ทำทุกวิถีทางในการมอมเมาหนุ่มสาวให้หลงอยู่กับอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การเมือง
ผลจากครั้งนั้นส่งต่อมาอีก20-30ปี พลังหนุ่มสาวง่อยเปลี้ยเสียขามานับ2-3ทศวรรษ สังคมอ่อนแอยิ่งขึ้นทุกขณะ การลอยตัวเหนือปัญหาสังคมกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของคนรุ่นใหม่ ปรากฏการณ์นักการเมืองขี้โกงจึงยิ่งหนักหน่วง หนักหน่วงยิ่งขึ้นเมื่อเชื่อแน่ว่าพลังสังคมไม่สามารถต่อต้านนักการเมืองได้ อำนาจถ่วงดุลของสังคมถูกปลิดทิ้ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 35 การนำการเคลื่อนไหวคัดค้านต่อต้านรัฐบาลพลเอกสุจินดา จึงเป็นเรื่องของคนวัยกลางคนที่เคยผ่านเดือนตุลามาแล้ว
หลังพฤษภาทมิฬนั้น ผมเคยคิดเล่นๆว่าถ้าคนเดือนตุลาตายไปหมดจากสังคม เราจะยังเหลืออะไรเป็นอำนาจถ่วงดุลต่อนักการเมืองได้อีก ในเมื่อปรากฏชัดว่านักการเมืองของเราล้วนแล้วแต่กเฬวรากทั้งสิ้น
การชุมนุมของพันธมิตรฯ ก็คือปรากฏการณ์การนำของคนเดือนตุลา ฝั่งรัฐบาลเองก็มีแกนนำเป็นคนเดือนตุลา มีหน่ออ่อนแทงยอดขึ้นมาบ้างก็ไม่นับว่าเป็นพลังเรี่ยวแรงได้ การต่อสู้ของคน 2 กลุ่มนี้ จึงทันกันในทุกกระบวนการ ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีล้วนแล้วแต่ได้รับการบ่มเพาะมาจากหนังสือเล่มเดียวกันเมื่อสมัยอยู่ในเขตป่าเขา
วาทะของสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กำลังบอกอะไรเรา?
ผมคิดว่านี่คือการยอมพ่ายแพ้อย่างหมดหนทางต่อสู้ของรัฐบาลแล้ว แม้หนุ่มสาวรุ่นใหม่นี้จะยังคงอ่อนแรงในเรื่องวิธีคิด เรื่องการวิเคราะห์การเมือง เรื่องการจัดตั้งขบวนการ แต่ก็ส่งสัญญาณว่ากะลาที่ทุกรัฐบาลเคยครอบเอาไว้ บัดนี้มันได้ถูกเปิดออกโดยแรงอัดดันที่กดทับมานับ2-3ทศวรรษ
ผมเพียงภาวนาว่าขอให้หนุ่มสาวเหล่านี้เติบโตทางการคิดต่อการเมือง รู้จักวิเคราะห์การเมืองได้ด้วยตนเอง ผมหวังว่าพวกเขาคงจะเป็นหน่ออ่อนประชาธิปไตยที่รอวันเติบโต เติบโตขึ้นมาเพื่อยืนต้นในวันข้างหน้า
และปรารถนาจะมีชีวิตอยู่จนถึงวันที่เห็นพวกเขาเป็นไม้ยืนต้นแข็งแรง