ถนนสายละม้ายสงเคราะห์ :: ๕.) เงาสะท้อนบนประตูกระจก
ถนนสายละม้ายสงเคราะห์
เงาสะท้อนบนประตูกระจก
๑).
หรือโลกหมุนเร่งแต่เคว้งคว้าง
จึงทุกอย่างกระจายกระจัดอยู่ดาดดื่น
ต่างทอดเงาทับบนต่างโดนกลืน
กลายอื่นเปลี่ยนหัวแปลงตัวตน
จนสิ้นไร้สภาพของคราบเดิม
เมื่อผ่านการต่อเติมจากเริ่มต้น
ที่สุดก็กลับมาอับจน
หลังพังป่นทะยอยลงย่อยยับ
๒).
ดวงตาของผู้คนปัจจุบัน
เคลิ้มฝันแสนงามในความหลับ
ต่อเนื่องนานยาวแหละท่าวทับ
ในสรรพฝันประดามี
แหวกว่ายดิ่งดำในความฝัน
มิรู้คืนรู้วันสถานที่
หลับใหลเนิ่นนาน-ปีผ่านปี
ฝันร้ายฝันดีมากี่แล้ว
ท่ามกลางเสียงละเมออันเพ้อพก
เงาผู้คนทอดตกกระจกแก้ว
เบื้องหลังความงามของความแวว
คือเสียงแผ่วโหยหวนอยู่ครวญคราง
เป็นความเดียวดายอย่างร้ายกาจ
ความขี้ขลาดเติมต่อเริ่มก่อร่าง
ที่สุดก็กลับมาอับปาง
เราต่างบางบอบตลอดมา
๓).
ข้าพเจ้าหยุดดูข้าพเจ้า
ยิ้มแห่งความว่างเปล่าเต็มใบหน้า
ยุคสมัยพังยับไปกับตา
เมื่อยืนอยู่ต่อหน้ากระจกเงา
เห็นโลกมุมกลับ-ขวาสับซ้าย
สะท้อนความสูญหายที่ดายเปล่า
มิติเค้าโครงทั้งโค้งเว้า
แม้ชัดก็หวิวเบาแหละลึกลับ
เบื้องหน้าและเบื้องหลังข้าพเจ้า
ใดเล่า?ความจริงอันกลายกลับ
กระจกสะท้อนเงาอยู่วาววับ
คว้าจับมิได้สักด้านเดียว
ดวงตาข้าพเจ้าบอกร้าวราน
ปัจจุบันกาล-ช่างเปล่าเปลี่ยว
โลกคนสีชีวิตจนซีดเซียว
ปั่นให้เป็นเนื้อเหนียวเนื้อเดียวกัน
จึงท่านแหละข้าพเจ้า
ต่างร่วมเงาทอดตกกระจกนั่น
ปัจเจกพังยับไปฉับพลัน
หวาดหวั่นเบื้องหน้า-ชะตาตน
๔).
หรือเพราะโลกหมุนเร่ง-หากเคว้งคว้าง
และเราต่างก้มรับความสับสน
ที่สุดชะตากรรม-การจำนน
ก็สิ้นรูปอับจนเงาตนเอง
ข้าพเจ้าหยุดดูข้าพเจ้า
สัตว์เศร้าเหงางำผู้คร่ำเคร่ง
สะอื้นเสียงครวญครางอยู่วังเวง
ขับเปล่งเสียงเปลี่ยวอยู่เดียวดาย
เห็นโลกมุมกลับ-ซ้ายสับขวา
ดวงตาผุพังเพื่อนทั้งหลาย
ที่สุด-เราพลันมาฝันร้าย
แอบป้ายหยาดก่ำของน้ำตา
๕).
ประตูกระจกติดฟิล์มดำสนิท
ขณะดวงอาทิตย์ยังแผดกล้า
สะท้อนเงาเหล่าท่านผู้ผ่านมา
เมื่อยืนอยู่ต่อหน้ากระจกเงา
๒ พิจิก ๒๕๔๔
มนตรี ศรียงค์