10 หุ้นปันผลเด่นจ่ายเกิน 5% ติดกัน 5 ปี
- ASP ปันผล 10.20%
- CM ปันผล 7.75%
- GC ปันผล 7.55%
- KGI ปันผล 10.84%
- LEE ปันผล 7.43%
- MBKET ปันผล 10.88%
- MCOT ปันผล 10.34%
- PATO ปันผล 7.24%
- SSSC ปันผล 7.92%
- TCCC ปันผล 7.59%
เครดิต Money Channel.co.th
เรื่องของการลงทุนนั้น สิ่งที่เราต้องพูดถึงกันเป็นประจำก็คือ “ผลตอบแทนการลงทุน” เพราะนี่คือหัวใจสำคัญที่จะบอกว่านักลงทุนแต่ละคนประสบความสำเร็จแค่ไหน การวัดผลตอบแทนการลงทุนนั้น ถ้าวัดกันด้วยเม็ดเงินที่ลงทุนเพียงครั้งเดียวและในเวลาสั้น ๆ ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก ตัวอย่างเช่น ถ้าตอนต้นปีเรามีเงินลงทุน 1 ล้านบาท พอถึงปลายปีเงินกลายเป็น 1.1 ล้านบาท โดยที่เราไม่ได้ใส่เงินเพิ่มหรือเอาเงินออกมาจากการลงทุนเลย แบบนี้แปลว่าผลตอบแทนเท่ากับ 10% ต่อปี ซึ่งหาได้โดยการเอาจำนวนเงินปลายปีลบด้วยเงินต้นปีหารด้วยเงินตอนต้นปีคูณด้วยร้อย นี่ก็คือการคำนวณหาผลตอบแทนพื้นฐานของ “ผลตอบแทนต่อปี” ที่เราใช้พูดถึงหรืออ้างอิงกันตลอด
นักลงทุนผู้มุ่งมั่นนั้นย่อมไม่ลงทุนเพียงปีเดียวและไม่วัดผลเพียงปีเดียว การลงทุนหลายปีนั้นทำให้เราต้องวัดผลหลายปีแล้วนำมาหาค่า “ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี” เพื่อที่จะนำไปเปรียบเทียบกับค่าผลตอบแทนอ้างอิงต่าง ๆ ได้ แต่ “ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี” นี้มีวิธีคิดหลายวิธีซึ่งอาจจะให้ผลที่แตกต่างกันมากจนทำให้เราเข้าใจผิดนึกว่าเราทำผลงานได้ดีทั้งที่ผลงานเราไม่ได้เรื่องก็เป็นได้ ลองมาดูกันว่ามีวิธีคิดผลตอบแทนเฉลี่ยแบบไหนบ้างและเราควรเลือกใช้วิธีไหน
กำลังนั่งคิดอยู่ว่า ตอนนี้ราคาน้ำมันโลกลดลงเยอะ เหตุหนึ่งที่รู้คืออเมริกาสามารถสกัดน้ำมันจากหินน้ำมันได้ในต้นทุนที่ต่ำจนคุ้มทุนที่ 50$/บาเรล ทำให้ลดปริมาณการซื้อจากต่างประเทศไปได้เกือบครึ่ง (ลดลงถึง 8 ล้านบาเรลต่อวัน) น้ำมันก็เลยล้นตลาด
แล้วผลกระทบที่เกิดขึ้นคืออะไร เช่น จะมีการใช้ในำมันเพิ่มขึ้นไหม? ยอดการผลิตและขายเอธิลจะเพิ่มขึ้นไหม? หรือธุรกิจพลาสติกจะมีผลอย่างไร ต้นทุนจะลดลงไหม?
โรงเรียนสอนเล่นหุ้น สอนไว้ดีในเรื่องการมองหาราคาในอนาคต ข้อมูลที่เห็นอยู่ใน set.or.th หรืองบต่าง ๆ นั้นเป็นข้อมูลปัจจุบัน แมงเม่าอยู่กับข้อมูลปัจจุบัน แต่นักลงทุนต้องมีจินตนาการถึงข้อมูลในอนาคต แล้วเข้าซื้อเก็บก่อนที่คนอื่นจะมองเห็น เมื่ออนาคตนั้นมาถึงและถูกต้อง แมงเม่าก็จะตามเข้ามาเก็บ
ลองอ่านรายละเอียดด้านล่างดูนะครับ ดีมาก ๆ
รายชื่อหุ้นที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงสุด 10 อันดับแรกของปี 2009-2014 ตามภาพนะครับ
โดยเฉพาะปี 2014 3 ไตรมาส มีรายชื่อหุ้นที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงสุด 10 อันดับแรก คือ
- AI ปันผล 17.39%
- KGI ปันผล 11.18%
- MBKET ปันผล 10.83%
- ASP ปันผล 10.47%
- MCOT ปันผล 9.17%
- AS ปันผล 8.57%
- TNITY ปันผล 8.28%
- ASIMAR ปันผล 8.15%
- PRAKIT ปันผล 8.08%
- CGS ปันผล 8.03%
ขอเก็บรายการไว้เพื่อประกอบการพิจารณากับข้อมูลอื่น ๆ ก่อนตัดสินใจครับ
ข้อมูลจาก www.set.or.th/yourfirststock โครงการ Your 1st Stock โครงการที่ให้ความรู้เรื่องการวิเคราะห์เลือกหุ้นอย่างถูกวิธี
เข็มทิศช่วยให้นักเดินเรือในสมัยโบราณไม่หลงทางท่ามกลางทะเลที่เวิ้งว้าง การมีเข็มทิศจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและหมายถึงความเป็นความตาย เดินทางผิด ผู้เดินทางอาจหลงทางหรือในบางครั้งอาจต้องตายกลางทะเล เดินทางถูก เป้าหมายก็อยู่แค่เอื้อม ในการลงทุนในตลาดหุ้นเองนั้น เราจำเป็นต้องมี “เข็มทิศ” ที่จะช่วยชี้นำให้เรา “เดินทาง” สู่เป้าหมาย นั่นก็คือ สู่ความมั่งคั่ง มีอิสรภาพทางการเงิน “เข็มทิศลงทุน” ที่เราควรจะต้องใช้ในการนำเราไปสู่เป้าหมายมีหลายข้อดังต่อไปนี้
ได้ข้อคิดของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มาจากเว็บไซท์ Unlockmen-Lady P. เป็นข้อคิดดี ๆ ในการลงทุนในหุ้นระยะยาว การคัดเลือกหุ้น และอยู่กับมัน
การลงทุนในตลาดหุ้นจะสำเร็จได้ดี ถ้าเรามีต้นแบบนักลงทุนในดวงใจ ในตลาดหุ้นไทยคงไม่มีใครไม่รู้จัก ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ต้นแบบนักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) ของประเทศไทย
ดร. นิเวศน์ เป็นนักลงทุนในดวงใจของ Lady P. คำสอนของท่านเป็นแรงผลักดันให้นักลงทุนมือใหม่อย่างเราๆได้มีสติในการลงทุนมากขึ้น ได้อ่านบทความดีๆของท่านที่สอนให้เรารู้จักบัญญัติ 10 ประการของการเล่นหุ้น จึงไม่ลืมที่จะนำบทความดีๆมาแบ่งปันกันค่ะ
บัญญัติ 10 ประการของการเล่นหุ้น
ข้อ 1 ศึกษาข้อมูลหุ้นให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อหุ้น อย่าซื้อหุ้นโดยใช้อารมณ์ อย่าโลภ อย่ารีบด่วนตัดสินใจซื้อหุ้นโดยเฉพาะในกรณีที่หุ้นกำลังวิ่ง อย่าลืมว่ามีหุ้นที่กำลัง "วิ่ง" ทุกวัน ถ้าเราซื้อ เราก็จะเป็นนักเล่นหุ้นรายวันที่มีโอกาสถูกผิด 50-50 ถ้าเราทำแบบนี้ในระยะยาวเราจะขาดทุนเสมอ
ข้อ 2 อย่าสนใจข่าวลือ หรือ "หุ้นเด็ด" ที่เราได้ยินมาไม่ว่าจะมาจากเซียน คนใน หรือ Insider ของบริษัท หรือจากคนแปลกหน้าในงานเลี้ยง เชื่อเถอะว่าถ้าเราได้ยินก็คงมีคนอีกไม่น้อยที่ได้ยิน ข่าว หรือข้อมูลแบบนี้ไม่มีความหมายอะไรนอกจากจะทำให้เราเสียเงิน
ข้อ 3 ให้ความสำคัญกับตัวกิจการ หรือตัวหุ้นมากกว่าสภาพตลาด หรือเศรษฐกิจโดยทั่วไป เพราะถึงแม้สภาพทางเศรษฐกิจอาจจะไม่ดีแต่ตัวบริษัทก็อาจจะดีได้ นอกจากนั้น ถึงกิจการอาจจะไม่ดีนักแต่ราคาหุ้นอาจจะต่ำกว่าพื้นฐานมาก ดังนั้นอย่าให้ภาพของตลาด หรือเศรษฐกิจมาหันเหการตัดสินใจซื้อหุ้นของเรา
ข้อ 4 หุ้นนั้น มักจะดูแย่กว่าที่คิดในช่วงที่ตลาดตกต่ำถึงพื้นในช่วงตลาดหมี และดูดีกว่าที่คิดในช่วงที่ตลาดวิ่งถึงจุดสูงสุดในช่วงตลาดกระทิง มีความกล้าหาญที่จะซื้อเมื่อทุกอย่างดูเลวร้าย และขายเมื่อทุกอย่างดูดีจนไม่น่าเชื่อ
ข้อ 5 จำไว้ว่า มันเป็นเรื่องยาก ที่เราจะสามารถซื้อหุ้นที่พื้นพอดี และขายหุ้นได้ที่จุดสูงสุด ในยามที่ตลาดเลวร้ายมากๆ นั้น หุ้นอาจจะตกต่ำลงไปเกินกว่ามูลค่าพื้นฐานจริงได้มาก เช่นเดียวกัน ในยามที่ทุกคนกำลังมองโลกในแง่ดีมากๆ หุ้นอาจจะขึ้นไปเกินพื้นฐานได้มากเหมือนกัน ดังนั้น อย่าคาดหวังว่าเมื่อซื้อหุ้นแล้วราคาจะต้องขึ้นทันที หรือขายหุ้นแล้ว ก็หวังว่ามันจะลงถึง แม้เราจะเชื่อมั่นกับการวิเคราะห์หามูลค่าของเรา
ข้อ 6 ถ้ามั่นใจว่าบริษัทที่เราลงทุนมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีอนาคตในการเติบโตที่ดีมาก อย่าขายเพียงเพราะว่าราคาหุ้นอาจจะดูเหมือนว่าสูงเกินไปหรือหุ้นวิ่งขึ้นมาเร็วเกินไปชั่วคราว เพราะถ้าเราพลาด เราอาจจะไม่สามารถซื้อมันกลับมา และทำให้เราพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมในอนาคต
ข้อ 7 อย่า "หลงรักหุ้น" จน "ตาบอด" เพราะมันจะทำให้เราไม่สามารถวิเคราะห์กิจการได้อย่างเป็นกลางไม่มีความลำเอียง หุ้นนั้นรักได้แต่อย่าหลง เราจะต้องตรวจสอบและประเมินดูฐานะและความคุ้มค่าอยู่ตลอดเวลา และเมื่อถึงเวลาเราก็อาจจะต้องมีความ "โหดร้าย" พอที่จะ "ตัดรัก" หรือขายทิ้งได้ถ้าพิจารณาดูแล้วว่ามัน "หมดเสน่ห์" แล้ว
ข้อ 8 อย่าสนใจว่าหุ้นเคยอยู่ที่จุดไหนมาก่อน จงสนใจว่าหุ้นจะไปที่ไหน กิจการอาจจะเคยกำไร 100 ล้านบาท ราคาหุ้นอาจจะเคยอยู่ที่ 10 บาทต่อหุ้น แต่ขณะนี้กำไรเหลือเพียงหลัก 10-20 ล้านบาท ราคาหุ้นตกลงมาเหลือเพียง 2 บาทต่อหุ้น อย่าไปคิดว่ากิจการและหุ้นจะต้องกลับไปที่เดิมหรือใกล้ๆ กับที่เดิม อย่าลืมว่าของเดิมอาจจะเป็นปรากฏการณ์ที่ผิดปกติก็ได้ ตัวเลขใหม่คือของจริง ดังนั้น ลืมตัวเลขเก่าแล้วมองไปข้างหน้า หุ้นราคา 2 บาท อาจจะยังแพงเกินไปก็ได้
ข้อ 9 เน้นการลงทุนในหุ้นคุณภาพสูง หุ้นคุณภาพต่ำนั้น บางครั้งอาจจะให้ผลตอบแทนที่ดี และเร็วมาก แต่ความสำเร็จในระยะยาวนั้น มีโอกาสสูงกว่าที่จะเกิดกับพอร์ตของหุ้น ที่เน้นการลงทุนในหุ้นคุณภาพสูงเป็นหลัก Value Investor จำนวนมากหลีกเลี่ยงหุ้นดีประเภทซูเปอร์สต็อก และชอบเล่นหุ้นคุณภาพต่ำที่มีโอกาสทำกำไรหวือหวารวดเร็ว การทำแบบนี้ถ้าทำเป็นครั้งคราวก็คงไม่เสียหายอะไรนัก แต่ถ้าเริ่มต้น ก็ทำแล้วจนในที่สุดติดเป็นนิสัย โอกาสที่เขาจะประสบความสำเร็จในระยะยาวก็จะยาก พอร์ตที่ประกอบไปด้วยหุ้นของกิจการที่มีคุณภาพต่ำนั้นยากที่จะทำให้เรารวย ตรงกันข้าม พอร์ตของกิจการที่มีคุณภาพสูงนั้น สามารถทำให้เรารวยได้ และด้วยความเสี่ยงที่ต่ำกว่ามาก
ข้อ 10 ใช้เวลากับการลงทุน ตรวจสอบกิจการและหุ้นอย่างสม่ำเสมอ ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไป เราต้องปรับการลงทุนเพื่อให้สะท้อนกับการเปลี่ยนแปลง ตัดหุ้นที่อ่อนแอลงออก ซื้อหุ้นที่ดีกว่าเข้ามา แต่นี่ไม่ใช่การเทรดหรือซื้อขายหุ้นรายวัน รายเดือน หรือแม้แต่รายปี มันขึ้นกับสถานการณ์และตัวหุ้น โดยเฉลี่ยแล้วถ้าเราซื้อหุ้นแล้วถือไม่ถึงปี วิธีการลงทุนของเราคงไม่ใช่การเน้นหุ้นคุณภาพในการลงทุนเป็นหลัก
ทั้งหมดนั้น ก็เป็นเพียงบางส่วนของกฎในการซื้อขายหุ้นลงทุนที่ผมคิดว่าดี และสอดคล้องกันเป็นชุดแน่นอน มีกฎอื่นๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน และอาจจะตรงกันข้ามกับที่ผมพูดถึง นักลงทุนคงต้องเลือกเองว่า จะเชื่อแนวความคิดหรือวิธีไหน แต่ขอบอกว่านี่คือวิธีการที่นักลงทุนเอกของโลก อาทิ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ใช้อยู่และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ติดตาม ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากรได้ที่ Facebook
จากข่าว IKEA เพิ่ม BEKANT โต๊ะทำงานแบบยืน
โต๊ะทำงานแบบยืนเริ่มได้รับความนิยมในช่วงหลังๆ เช่น ไลนัสผู้พัฒนาลินุกซ์เองก็เริ่มหันมายืนทำงาน แถมมีลู่เดินให้เดินไปพร้อมกัน ตอนนี้ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่อย่าง IKEA ก็เพิ่มโต๊ะทำงานในตระกูล BEKANT เข้ามาแล้ว
โต๊ะทำงาน BEKANT มีมาแล้วก่อนหน้านี้แต่ขาโต๊ะจะปรับด้วยมือและปรับความสูงในช่วง 65 เซนติเมตรถึง 85 เซนติเมตร แต่ขารุ่นใหม่จะเป็นขาไฟฟ้า ปรับระดับความสูงได้ 56 เซนติเมตรถึง 122 เซนติเมตร ทำให้พอดีกับกับการยืนทำงานพอดี
ราคาขารุ่นใหม่ 399 ดอลลาร์ แพงขึ้นกว่าขาธรรมดาที่ราคาเพียง 99 ดอลลาร์ งานนี้ถ้าชอบยืนทำงานต้องลงทุนกันหน่อยครับ
ที่มา - Geek.com
หุ้นจ่ายปันผลสูง 6-9% แนะลงทุนกลาง-ยาว
หุ้นปันผลสูง (High Dividend Yield Stock) เป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจในช่วงตลาดผันผวนและช่วงปิดงวดผลประกอบการประจำปี เพราะจะมีหลักทรัพย์จำนวนมากที่ใกล้ประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับไตรมาส, ครึ่งปีหลัง หรือทั้งปี 2013 ซึ่งโดยมากจากกำหนดวัน XD ในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย.ของทุกปี สำหรับหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะจ่ายปันผลที่เป็น Remaining Yield (หักปันผลระหว่างกาลไปแล้ว) สูงกว่า 4.5% ได้แก่ TMT (7.4%), TISCO (6.1%), KTB (5.2%), DELTA (5.2%), BTSGIF (5.0%), AP (4.8%)
ส่วนหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะจ่ายปันผลสำหรับปี 2014F ในเกณฑ์สูง กล่าวคือคาดการณ์ว่าจะให้ Dividend Yield ประมาณ 6%-9% ประกอบด้วย SRICHA- BTSGIF- CPNRF- TMT- CSL- MODERN- DCC- LPN- HEMRAJ- BCP- INTUCH- BECL- LH- MK-LHK- TTW- BTS- SPALI- KTB- QH- TISCO- DELTA- ADVANC- SC- AP และ PTTGC
- ฟิลลิป คาด 6 หุ้นใหญ่กลุ่มพาณิชย์ กำไรโต 30% ชู CPALL-HMPRO เป็นTop Pick
บทวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป ระบุว่า ในความเห็นของฝ่าย แม้ภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังมีความเสี่ยง หากผู้ประกอบการยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง ส่งผลให้ยังมีผลการดำเนินงานเติบโต ขณะพร้อมรับผลบวกหากการบริโภคฟื้นตัว ทั้งนี้ทางฝ่ายคาดหมายหุ้นกลุ่มพาณิชย์ขนาดใหญ่ 6 แห่ง (BIGC,BJC, CPALL, HMPRO, MAKRO, ROBINS) มีกำไรสุทธิรวมในปี 2557 อยู่ที่ 3.65 หมื่นล้านบาท ฟื้นตัวขึ้น 30.8% y-y จากที่คาดจะเติบโตเพียง 0.2% ในปี 2556ผู้ประกอบการรายใหญ่มีศักยภาพแข่งขันสูง ทางฝ่ายมีความเห็นว่ามองผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งรายใหญ่ยังมีศักยภาพในการแข่งขันสูงแม้ภาวะเศรษฐกิจผันผวนขณะรายกลาง-เล็กจะมีความเสี่ยงมากกว่า ทั้งนี้มอง Valuation น่าสนใจหลังราคารับข่าวลบไปมากแล้ว
สำหรับหุ้น Top Pick ได้แก่: 1) CPALL (ราคาพื้นฐานปี 2557 อยู่ที่ 55.75 บาท/หุ้น) โดยมองเป็น Defensive Play และรับประโยชน์การเข้าถือหุ้น MAKRO เต็มปีด้านผลกำไรและ Synergy 2) HMPRO (ราคาพื้นฐานปี 2557 อยู่ที่ 14.30 บาท/หุ้น)โดยมองว่ารับประโยชน์จากสาขาใหม่และการออก Property Fund ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเงินลงทุน
ที่มา www.stock2morrow.com