กล่อมกรุง
กล่อมกรุง
๑).
๐ แผ่วโผยเพลงลมมาพรมเมฆ
โยกเอ๋ยโยกเยกเจ้าเมฆขาว
มาเยกโยกโกรกไม้จนไหวกราว
ลูกของแม่จะเหน็บหนาวในราวเปล
โอละช้าตาวาวหรือดาวดวง
เจ้าพุ่มพวงเอ่ช้าโอละเห่
ยามศึกย่อมประจักษ์ทุลักทุเล
อยุธยาร้างเล่ห์เสน่ห์เมือง
พ่อของเจ้าถือดาบและหาบหอก
กระชับปลอกเอ็นปูดไปปลดเปลื้อง
เสียงก้องครึกกึกหล้าเมื่อฟ้าเรือง
ไรแดดต้องผิวเหลืองเมลืองมัน
ฝุ่นฟุ้งแต่บุรพาผลิอาทิตย์
เผชิญหน้าปัจจามิตรประชิดมั่น
เออไพร่เลกเฉกกูจะสู้กัน
โถมระส่ำห้ำหั่นประจัญบาน
หนึ่งดาบที่วาบปลิดชีวิตศัตรู
เถอะลูกกูจะกราบข่าวที่กล่าวขาน
ทุกอณูเนื้อดินมีวิญญาณ
ตราบอยุธยาอวสานลงกรานดิน
๒).
๐ วัดเอ๋ยวัดโบสถ์โตนดเจ็ด
เจดีย์เพชรกร่อนสึกเมื่อศึกสิ้น
สนธยาฟ้าคล้ำจนดำนิล
วิเวกแว่วแผ่วยินทั้งติณ-พฤกษ์
ว่าหวนโหยโอยโอดทุกโสตสัมผัส
เสียงดาบปะทะชัดในรู้สึก
ประกายดาบประฟาดยังบาดลึก
ให้อกขื่นสะอื้นอึกจารึกจำ
อกเอ๋ยอกแม่ที่แผ่อก
ให้เจ้านวลเนื้อกกสะทกพร่ำ
มาได้ยากลำบากเป็นหนอเวรกรม
ผีจะซ้ำด้ำจะพลอยจะร้อยตรวน
มืดมนสนธยาทิวาราตรี
พระเจดีย์ผีผลักจนหักด้วน
อยุธยาระส่ำคว้างคระครางครวญ
หนีเตลิดเปิดขบวนเถอะด่วนพลัน
แผ่วโผยเพียงลมมาพรมเมฆ
โยกเอ๋ยโยกเยกจนเมฆสั่น
อยุธยาล่มแล้วให้แล้วกัน
ประคองขวัญร่ำไห้หนีไฟกรุง!
๓).
๐ พ่อของเจ้ากรานดาบลงกราบดิน
เลือดคลักทะลักริน-ดินสะดุ้ง
สะท้อนวาบดาบพรายเป็นสายรุ้ง
ปรากฏชัดระบัดทุ่งและคุ้งน้ำ
คือธงชัยไสวเรืองในเบื้องหน้า
อยุธยาจักชูมือให้ลือร่ำ
มือแม่ที่ไกวเปลที่เห่คำ
จะเปลี่ยนกำดาบลุกและปลุกพร
เออ-หญิงไพร่ไทยอยุธย์จะลุกสู้
หนึ่งดาบกูพลิกพลิ้วจะพลิ้วว่อน
เปลวไฟที่ไหวโถมที่โหมร้อน
กูจะกร้อนฟ้อนหญ้ามาสุมไฟ!
๔).
๐ โอละเห่เอ่ช้าเอ่ช้าเอ่
อยุธยาร้างเล่ห์เสน่ห์สมัย
แผ่นดินคว่ำลำเค็ญยากเข็ญใจ
เพราะจัญไรทมิฬมันกินเมือง!
๒๕๔๐