แห่งสิงหาคม

by หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก @23 ธ.ค.49 18.00 ( IP : 203...113 ) | Tags : การพังทลายของทางช้างเผือก
photo  , 250x188 pixel , 6,984 bytes.

...

Comment #1
Posted @23 ธ.ค.49 18.03 ip : 203...113

แต่ละเม็ดน้ำหนึ่ง

๑).

พอฝนตั้งเค้าขึ้นเงาเมฆ

ฟ้าก็เสกแผ่นน้ำขึ้นฉ่ำหาว

เต็มแผ่นแน่นพืดอยู่ยืดยาว

รอร้าวลมแรงมาแทงเค้า

แตกเป็นฝนเม็ดน้อยที่ลอยลิ่ว

ร่วงปลิวลงหล้าลงป่าเขา

ขณะเมฆดำปลอดยังทอดเงา

เหนือลำเนาพฤกษ์พง-เหนือดงไม้

๒).

หนึ่งหยดน้ำค้างใบของไม้เขียว

ก็จะเรียวดวงหยดเม็ดสดใส

มาซบผืนดินชุ่มให้อุ้มไว้

เพื่อต่อไปภายหน้าเป็นตาน้ำ

ให้ดินอันดำและอุดม

เจิ่งจมท้องลุ่มจนชุ่มฉ่ำ

เป็นซับเย็นเยียบอยู่เงียบงำ

ให้รากไม้เลียงลำเป็นน้ำเลี้ยง

แล้วจึงเจิ่งเป็นห้วยอันเย็นเยือก

จวบเปลือกไม้ปริจนแซะเสี่ยง

แทงยอดยืดต่อจนพอเพียง

แล้วเรียงวงปี-บอกชีวิต

จึงซับน้ำท่วมท้นจนล้นลุ่ม

ฟ้าที่คลุ้มขนัดก็ฟาดกฤช

น้ำก็เซาะหลากไหลไปทุกทิศ

ลึกมิดรางน้ำเป็นลำธาร

ย่อมเกิดแต่เม็ดหยดที่รดร่วง

หยาดดวงก่อแควกระแสผสาน

ชำแรกแทรกสิ้นซึ่งดินดาน

เพื่อผ่านกระแสเป็นแม่น้ำ

คือหยาดดวงปลายใบอันใสเม็ด

ก่องเก็จแวววาวด้วยพราวร่ำ

กลั่นมาจากเมฆฝนที่หม่นดำ

เมื่อเสียงฟ้างึมงำอยู่คร่ำคราง

คือหยาดทิพย์สวรรค์ที่กลั่นดวง

แล้วร่วงเม็ดเรืองลงเบื้องล่าง

เพื่อโถมสายแม่น้ำ-สายลำราง

เป็นความว้างเวิ้งมหาสมุทรที่สุดลึก!

๓).

เด็กน้อย...

โลกรอคอยแรงเธอร่วมผนึก

เพื่อวงปีไม้ดงของพงพฤกษ์

และเพื่อความอึกทึกของแผ่นฟ้า

เด็กน้อย...

เรารอคอยเธอเรียงความเดียงสา

เป็นแรงเรี่ยวเชี่ยวกรากเพื่อหลากมา

เป็นพลังชะตา-อนาคต!

ละอ่อนสารภี

Comment #2
Posted @23 ธ.ค.49 18.09 ip : 203...113
Photo :  , 98x78 pixel 3,373 bytes

พลายงาม

ว่าพ่อรักแม่เจ้าสักเท่าไหน

จึงเลือกให้เป็นผู้กำเนิดเจ้า

มือพ่อกร้านกรำงานมานานเนา

กอดเยาว์ก็เกรงระคายตัว

ต้องมือแม่นิ่มนุ่มไร้ปุ่มปม

ป้อนนมชมจูบได้ลูบหัว

แผ่วแผ่วเบาเบา-กลัวกลัว

เนียนเนื้อเจ้ามัวเจ้าหมองรอย

ว่าพ่อรักแม่เจ้าถึงเท่านี้

งานที่มีจึงสู้มิรู้ถอย

หยาดเหงื่อเรื่อด่างจนร่างพร้อย

หลับม่อยอกพ่อก็เกรงชื้น

ต้องอกแม่อุ่นอบได้ซบหน้า

หลับตาเป็นสุขจนลุกตื่น

ให้อิงแอบซบอยู่กว่ารู้ยืน

อุ้มอื่นใดนุ่มเหมือนอุ้มเยาว์

ว่าพ่อรักแม่เจ้ามากเท่าไร

จึงเลือกให้เป็นผู้อุ้มท้องเจ้า

อ่อนโยนทะนุถนอมกล่อมเกลา

จูบเบาก็เกรงกระเทือนท้อง

ต้องเพลงแม่หวานหวานกังวานกล่อม

หอมหอมเพลงเห่ทั้งหอห้อง

โยกเยกเอยโยกเยกเจ้าเมฆฟอง

กระต่ายล่องลอยเมฆโยกเยกมา

ก็เพราะพ่อรักเจ้าถึงเท่านี้

จึงหน้าที่สูงส่งอันทรงค่า

ควรแล้วเป็นการของมารดา

มือพ่อหนาหยาบด้าน-ทำงานเอง..

๒๒ พิจิก ๒๕๔๘

เนชั่นสุดสัปดาห์

Comment #3
Posted @23 ธ.ค.49 18.13 ip : 203...113

อีกมือพ่อ

คือมือนุ่มนิ่มอันอิ่มเต็ม

ไต่เล็มมือหนา-ฝ่าใหญ่

พ่อกำมือลูกน้อยกลอยใจ

ตาใสเจ้าหนอลูกพ่อเอย

ฝาดเหลือเนื้อนุ่มน่ากุมจับ

ตาวับขลับเงาเจียวเจ้าเอ๋ย

เดียงสาตากวางอย่าร้างเลย

ให้วับเย้ยโลกกว้างอยู่อย่างนี้

เป็นเด็กดีของพ่อมิพอหรอก

โลกนอกเรือนบ้านสถานที่

เจ้าต้องพร้อมตนเป็นคนดี

จึงมีฐานะสมมนุษย์

จงเติบโตเริงร่าประสาเด็ก

โลกใบเล็กเหนื่อยก็พัก-หนักก็หยุด

ดูเถิดเมฆบนฟ้า-พญาครุฑ

ทรงชุดฝ้ายขาวจนพราวฟ้า

แหละซุกซนเถิดเจ้าเมื่อเยาว์วัย

เด็กใดย่อมซุกซนตามประสา

เติบโตเหมือนเช่นพ่อเป็นมา

เช่นปู่ย่าของลูกเคยซุกซน

จนเมื่อเจ้ากำนิ้ว-พ่อกิ๊วล้อ

ลูกหนอนี่ใช่โลกใบส้มผล

เป็นเพียงนิ้วธรรมดาสามัญชน

ที่ปั้นมือลูกตนให้ทนทาน

ให้มือหนาฝ่าใหญ่สมใจพ่อ

แข็งแรงแกร่งพอจะต่อสาน

ปั้นโลกสืบทอดตลอดกาล

ส่งผ่านช่วงต่อคนต่อไป

คือมือนุ่มนิ่มอันอิ่มเต็ม

ไต่เล็มมือหนา-ฝ่าใหญ่

จึงกำมือลูกน้อยเจ้ากลอยใจ

นิ้วเจ้าไชมือกรำที่กำกุม

คือเจ้า-

วัยเยาว์เจ้าเอ๋ยพ่อเคยอุ้ม

โลกนี้มิช้าดอกทุกซอกมุม

ผู้ที่มือนิ่มนุ่มจะกุมกำ!

๓๐ กรกฎ ๒๕๔๐

Comment #4
Posted @23 ธ.ค.49 20.13 ip : 203...75
Photo :  , 640x512 pixel 12,174 bytes

ชายง่อยกับเด็กน้อย

๑).

ท่องโลกโยกเฟืองไปเบื้องหน้า

ดวงตาเข้มแข็งแกร่งกร้าน

เงียบนิ่งราวรูปสลักดักดาน

บนอานบนเบาะเฉพาะตน

เพียงมือขวาซ้ายที่ไหวสั่น

กลฟันเฟืองรถก็บดถนน

ช้าช้าคืบเลื่อนล้อเคลื่อนจน

ผ่านต้นมะขามหวานหน้าบ้านนี้

เด็กน้อยกำลังนั่งเล่น

ลมเย็นโชยพลิ้วมาหวิววี่

โลกทั้งโลกสดใสอยู่ในที

โลกสีลูกโป่งใบโป่งพอง

ผูกปลายด้ายถือข้อมือตน

ซุกซนลูกโป่งน้อยจะลอยล่อง

เด็กนั่งนิ่งแล้วเอนเขม้นมอง

เป็นเจ้าของลูกโป่ง-โลกทั้งใบ

ลมพัดโยกซ้ายแล้วย้ายขวา

ระบัดไหวไปมาอยู่ไหวไหว

เด็กน้อยหัวเราะชอบใจ

กระโดดเต้นทันใด-ก็ทันที

เชือกคลายจากข้อน้อยแล้วลอยหลุด

ลอยสุดเชือกสาย-คลายหนี

ตกใจไห้โฮมือโบกวี โ ชคดีกิ่งขามช่วยค้ำไว้

๒).

ช้าช้าคืบเลื่อนล้อเคลื่อนจน

ผ่านต้นมะขามหวานกิ่งก้านใหญ่

เห็นเด็กตกอก-ก็ตกใจ

รีบเลื่อนเคลื่อนใกล้ถามไถ่พลัน

เห็นเชือกด้ายปลายสุดนั้นหยุดอยู่

กิ่งคู้คลุมครอบเป็นขอบกั้น

ร่มขามปกแต่งปิดแสงวัน

กัดฟันเอื้อมฉุดจนสุดมือ

ยื่นให้เด็กน้อย-ชายง่อยหนอ

ผูกช่อปลายเชือกให้เด็กถือ

ปลอบเด็กผู้ตกใจไห้ฮือ

ถามชื่อถามแหล่งบ้านแห่งใด

ตบหัวเด็กเบาเบาแล้วกล่าวลา

ดวงตาเข้มขลับช่างวับใส

ลมพัดพรูพรำมะขามไม้

ชายง่อยโยกเฟืองไปเบื้องหน้าแล้ว

Comment #5
Posted @23 ธ.ค.49 20.18 ip : 203...75
Photo :  , 430x536 pixel 3,062 bytes

เจ้าชายแสงจันทร์

๑).

เธอเอย-

ฟ้ามืดนั้นจักเผยแสงจันทร์จ้า

สูงสุดสูงสุดเงื้อมสุดเอื้อมคว้า

นวลดวงนวลตานวลใย

นานมาแล้ว-กาลครั้งหนึ่ง

ม้ามีปีกเผ่นผึงไปถึงไหน

ตะกุยฟ้าเมฆแตกวิ่งแหวกไป

จากใจกลางจันทร์-จากแสงจันทร์

เป็นเส้นแสงแทงตรงมาลงโลก

เบื้องหน้าดวงตาโศกคนช่างฝัน

พอฝุ่นเงียบระลอกจากหมอกควัน

หลังม้านั้น-มีเงาของเจ้าชาย

๒).

เธอกอดตุ๊กตาริมหน้าต่าง

ทอดตาฟ้ากว้างคืนข้างหงาย

หอมแก้วกลีบขาวพราวพราย

กรุ่นโผยโชยสายถึงชายคา

ที่ทางช้างเผือกโน้น-มีดวงดาว

ล้านล้านวาววับวิบอยู่พริบพร่า

ฉันผู้มาจากอีกฟากฟ้า

เก็บแก้วกลิ่นกล้ามาแนบทรวง

หอมเอยหอมชื่นในดื่นดึก

สบตาเธอรู้ลึกความแหนหวง

ดาดฟ้าดาดดาวระดะดวง

ดูสิดาวสียวงจะร่วงมา

เป็นหัวแหวนงามวับประดับก้อย

น้ำงามพร่างพร้อยไร้รอยฝ้า

เป็นปิ่นผมมวยหมาดจากหยาดฟ้า

เป็นเงาตาแวมวามอยู่งามดวง

ฉันเก็บแก้วดาดดินทัดปิ่นเธอ

พึมพำพร่ำเพ้อรักและห่วง

สบตาเธอเห็นเงาของดาวยวง

ที่ฉันล่วงล้ำเข้าในเงาตา

๓).

อยากกอดเธอเนิ่นนานอยู่อย่างนี้

กาแลกซี่อื่นไหนไม่ปรารถนา

ฟังเพลงแสงจันทร์พรรณนา

กระชับเธอเข้ามาแนบหาตัว

เด็กสาวช่างฝันดวงตาเศร้า

โลกนี้สีเทาและทึมทั่ว

ดวงหน้าเธอหม่นคล้ำด้วยความกลัว

มองรั้วลานแก้ว-มองแววตา

แววตาแห่งแสงจันทร์ของเจ้าชาย

ชัดฉายความรักจากดวงหน้า

ยิ่งเห็นยิ่งชัดยิ่งศรัทธา

ยิ่งหวั่นเช้าจะมาเร็วกว่าเป็น

คือความหอมหวาน-ความฝันเอย

นานแล้วไม่เคยจะได้เห็น

ฉันเก็บแก้วดมดอมกลีบหอมเย็น

ร้อยเป็นมงกุฎแก้วอยู่แผ่วเบา

สรวมเศียรเธอ-เจ้าหญิงริมหน้าต่าง

กระชับร่างบางแบบเธอแนบเข้า

จูบแรกใต้แสงจันทร์เธอสั่นเทา

จนเช้าพรายพร่างเป็นกลางวัน

เธอกอดตุ๊กตาริมหน้าต่าง

ฟ้ารางชางสางคลี่สาดสีสัน

ม้าโบกปีกพึบพับขึ้นฉับพลัน

ลานแก้วนั้นเปล่าว่างไร้ร่างใคร

๔).

ที่ทางช้างเผือกโน้น-มีดวงดาว

เด็กสาวแก้มป่องอย่าร้องไห้

ม้ามีปีกควบห้อคืนต่อไป

จะร้อยดาวกำไลมาให้เธอ...

๒๗ กันย์ ๒๕๔๘

Comment #6
Posted @23 ธ.ค.49 20.24 ip : 203...75

ไปด้วยกันสิ

๑).

ไปด้วยกันไหม-

ฟังเรไรกล่อมทุ่งยามรุ่งสาง

กรุ่นกลิ่นความเหงาเศร้าอยู่เบาบาง

หอมกลิ่นความเวิ้งว้างอยู่บางเบา

เพื่อจะได้หัวเราะด้วยเสียงสะอื้น

คลอเสียงคลื่นโน้มหน่วงของรวงข้าว

เพื่อน้ำตาสักดวงจักร่วงร้าว

มองดาวสักดวงจักร่วงลับ!!

๒).

ไปด้วยกันไหม-

ฟังลมไกวคลื่นกราวคืนดาวดับ

ยอดคลื่นแตกดอกอยู่วับวับ

สะท้อนจับแสงพราวสกาวเดือน

เพื่อจะได้ร้องไห้ด้วยรอยยิ้ม

สนิมน้ำตาพร่าเปื้อน

เพื่อสำนึกสุดท้ายสลายเลือน

ล้มเรือนกายลง ณ ตรงนั้น!!

๓).

ไปด้วยกันสิ-

ไปดูการบานผลิของสีสัน

แห่งไม้ดอกยอดภูซึ่งชูชัน

ก่อนแสงวันค่ำพลบจะลบเลือน

เธอจะเห็นแสงตาดวงล้าอ่อน

ซึ่งซ่อนแสงหม่นอยู่ปนเปื้อน

ไปดูความฝันที่ฟั่นเฟือน

ฝันของเพื่อนมนุษย์-ฝันสุดท้าย!!

๔).

ไปด้วยกันเถิด-

เพื่อเห็นความบรรเจิดแสนเฉิดฉาย

ของล้านคำคารมความคมคาย

จากดวงหน้าขี้อายของเด็กน้อย

กุมมือเดินเคียงไร้เดียงสา

โตมากลางท่ามความต่ำต้อย

โครงร่างแตกเม็ดสะเก็ดรอย

เกี่ยวก้อยเขาเดินหยอกเอินไป!!

๕).

ไปไหม-ไปเดินตากดาว

พร่างพราวดาวเรืองชานเมืองใหญ่

ริมทางรางคดหมอนรถไฟ

ทอดไกลชานชาลาสถานี

เพื่อจะได้กอดอกตนเองก้าว

คืบเท้ายาวยาวดังก่อนกี้

กระเหย่งกระโดด-มือโบกวี

หัวเราะได้เต็มที่กับชีวิต!!

๖).

ไปโจนโตนโตดยามดึกไหม-

แล้วจุดไฟก่อฟืนให้ตื่นติด

ลมแรงโชนไฟไสวทิศ

จิดริดหิ่งห้อยจะพลอยวับ

เพื่อการปรากฏภาพงดงาม

ไฟโผงดอกวามแล้ววูบดับ

เป็นดาวแห่งแหล่งหล้าคณานับ

ระยิบระยับสุกปลั่งไปทั้งภู!!

๗).

ไปสิ-ไปด้วยกัน

ความฝันมีไว้เพื่อให้สู่

อาจเป็นความฝันเศร้าที่ลาดปู

ณ รอยต่อฤดูและทางเท้า

แต่ก็เป็นความฝันอันหนึ่งเดียว

แม้หลั่งกรากหลากเชี่ยวด้วยเปลี่ยวเหงา

เมื่อน้ำตาสักดวงได้ร่วงเงา

ความสุขความเศร้า-ก็เท่านั้น!! มติชนสุดสัปดาห์

Comment #7
Posted @23 ธ.ค.49 20.30 ip : 203...75

ชายสวมแว่นวันศุกร์ในเสื้อเหลือง

๑).

เป็นวันที่แดดจัดและลมสด

ตลอดทางของรถสายสงขลา

เธอนั่งหน้าต่างซ้ายอยู่ปลายตา

ด้านขวาหน้าต่าง-ฉันนั่งชิด

เป็นเบาะแถวสุดท้ายของรถตู้

อุดอู้แน่นเอี๊ยดนั่งเบียดติด

ในความเงียบ-ต่างคนก็ต่างคิด

กับโลกใบจิดริดเฉพาะตน

ชายสวมแว่นวันศุกร์ในเสื้อเหลือง

แอบชำเลืองกรอบซ้ายอยู่หลายหน

เบาะหลังสุดรถตู้อุดอู้จน

หัวเข่าคนเบียดชิดอยู่ติดกัน

แอบชำเลืองไปทางหน้าต่างซ้าย

ข้ามคู่รักหญิงชายที่นั่งคั่น

เธอนิ่งสงบเงียบอยู่เงียบงัน

กับความฝันหอมหวล-โลกส่วนตัว

๒).

ฝันได้ด่ำดื่มทั้งลืมตา

เบื้องนอกแดดจ้าทาบทาทั่ว

แลบเลียอิดเอื้อนทุกเรือนครัว

เปรี้ยงแผดเผาหัวทุกตัวคน

เราดึงม่านปิดบังภาพทั้งหลาย

อยู่ภายในแอร์รถแผ่พ่น

ในความเงียบ-ต่างคนก็ต่างค้น

อาณาเขตตนเท่าที่มี

สีสันสดใสโลกในฝัน

รั้วกั้นด้านหน้าและทาสี

ไร้วันคืนเคลื่อนไร้เดือนปี

คงที่อย่างนั้นนิรันดร์ไป

ฉันเลียบรั้วโลกเธอด้วยสายตา

มิกล้าขยับเขยื้อนการเคลื่อนไหว

รั้วโลกทุกด้านลั่นดาลไว้

อยากรื้อรั้วด้านใดสักด้านลง

ขยับแว่น-ชำเลืองไปเบื้องซ้าย

หวั่นโลกแหลกทลายเป็นผุยผง

ค่อยเอื้อมมือเคาะรั้วอย่างบรรจง

พลันเธอส่งวงตาขึ้นมาพบ!

๓).

เย็นวาบสันหลังไปทั้งแถบ

ค่อยค่อยแอบก้มหน้าเบนตาหลบ

พนักหลังพิงรีบอิงซบ

องคาพยพหนาวสั่นขึ้นทันใด

สวยเหลือเกิน!

จนเคอะเขินอกสั่นอยู่หวั่นไหว

มิรู้แล้วล้อรถวิ่งบดไป

สงขลาหาดใหญ่หรือไหนกัน

เธอนั่งหน้าต่างซ้าย-ฉันนั่งขวา

สบตาเพียงแวบชั่วสั้นสั้น

ดั่งอายุกลางคนวัยฉกรรจ์

สามสิบห้าแห่งฉันในวันนี้

ดิ่งลงเป็นปรอทในน้ำแข็ง

เต้นแรงหัวใจและไหวถี่

ราววัยหนุ่มที่สูญหายมาหลายปี

เต็มปรี่ขึ้นมาอีกคราครั้ง

ฉันคว้าม่านมาดม-แล้วอมยิ้ม

กริ่มกริ่มคนเดียวในที่นั่ง

เบื้องนอกแดดร้อนโลกกร่อนพัง

ไม่ฟังไม่รู้ไม่ดูแล้ว!

๔).

ฉันดึงแขนเสื้อเหลือง-เหล่เบื้องซ้าย

เกิดลูกคลื่นเทถ่ายไปทั้งแถว

รถตู้แออัดขนัดแนว

แอบแขม่วหน้าท้องไปสองที

เผลอลูบหน้าผากที่เถิกเปิด

รีดกลีบเชิ้ตเหลืองพราวให้เข้าที่

โลกจะแหลกป่นลงเป็นผงคลี

ก็ไม่รู้ไม่ชี้แต่อย่างไร

เราสร้างโลกสวยสดในรถตู้

ไปสู่สงขลา-จากหาดใหญ่

ดึงม่านปิดทัศน์ทิว-รถลิ่วไป

ในความเงียบ-ของใครก็ของมัน! ............................................

............................................

ดึงม่านบังภาพทุกภาพไว้

โลกจะร้อนอย่างไรก็ช่างมัน!ศุกร์ที่ ๒๙ สิงห์ ๒๕๔๖ รถตู้สายหาดใหญ่-สงขลา และหญิงสาวคณะมนุษยศาสตร์-สังคมศาสตร์ ปี ๔ มหาวิทยาลัยทักษิณ ผู้บอกทางไปลานปาริชาต ด้วยเนื้อเสียงที่ยังทรงจำ

๑๓ กันย์ ๒๕๔๖ หนังสือพิมพ์โฟกัสภาคใต้

Comment #8
Posted @23 ธ.ค.49 20.33 ip : 203...75

และกอดกันอยู่โอดโอย


ผ้าไหนหนอจะซับ

ดวงเนตรขลับระยับสุก

ตาเธอที่เอ่อรุก

นั้นน้ำตาที่บ่าออ

มือนี้ที่ปาดป้าย

คือมือชายสีมอมอ

กรำงานกรำทุกข์พอ

ก็กร้านอยู่ก็เห็นกัน

เห็นว่าน้ำตาเธอ

นั่นแหละเออน้ำตาจันทร์

หยาดค้างอยู่เงียบงัน

ณ หัวใจใบหญ้าเขียว

รอแผดของแดดแรก

จะชำแรกเป็นลำเรียว

ผ่านพงอันทึบเทียว

ลงยอดหญ้าอันล้าโรย

เพื่อซับน้ำตาจันทร์

และกอดกันอยู่โอดโอย

ลมชายที่บายโบย

ก็จะพลิ้วผัดผิวมา

เห็นกันก็ยามนี้

น้ำตามีก็มือมา

ปาดทิ้งแล้วน้ำตา

และกอดเธอสะอื้นแทน...

๒๖ สิงหาคม ๒๕๔๗

Comment #9
Posted @23 ธ.ค.49 20.43 ip : 203...75
Photo :  , 320x240 pixel 10,290 bytes

ภูหมอก


๑).

เราเห็น-ภูหมอกนั้นขาวโพลน

ลมโยนปุยเหงาอยู่เบาแผ่ว

ข่าวภู-ฤดูหนาว ใกล้เข้าแล้ว

เหนือแนวเทือกทอดตลอดภู

ฟ้าปิด-ละอองหมอกแตกดอกบาน

ฟ้าหลัวมัวน่านฟ้านานอยู่

แหละตะวันโรยแรงร่วงแสงพรู

โรยปูแสงว้างเวิ้งทางเท้า

นวลแสงกลางหมอกหม่น-สนธยา

คือสีแดงแสงตาแห่งพระเจ้า

ลมโศก-โศลกขรึมเสียงทึมเทา

ลมจูบเธอเบาเบา-เถอะเข้าใจ

๒).

เดินไปสู่ภูสูง-เราจูงมือ

ส่งสื่อมือนั้นเธอสั่นไหว

กลัวขลาดหวาดเงา-หรือเขลาใด

อันซ่อนในพืดหมอกที่พอกคลุม

แรงไหวไรผมเพียงลมแผ่ว

หนาวแผ้วแล้วผ่านไปลานลุ่ม

มือเธอกระชับแน่น-คว้าแขนกุม

ลมกลุ้มรุมหนาวจนร้าวเนื้อ

ปลอบเธอ-เถอะเราเดินด้วยกัน

การไปสู่ภูชันต้องมั่นเชื่อ

แรงเกรียวเรี่ยวกรูอย่ารู้เรื้อ

จะใจเอื้อเอ็นดูมิรู้รา

ปล่อยไปตามใจเท้าที่ก้าวเถิด

ไม้เพยิดพยัก-หมอกกวักหา

อย่าไยดีการเร่ของเวลา

อย่างไรฟ้าวันคืนก็ผืนเดียว

ชื่อใดดอกไม้ภู-มิรู้จัก

หากที่รัก-กลิ่นห้อมช่างหอมเชี่ยว

ใบใดร่วงคว้างทอดทางเทียว

กรอบเรืองเหลืองเปลี่ยวทุกเรียวใบ

ชื่อใดดอกไม้ภู-มิรู้ชื่อ

ทิศใดอื้อลมพรู-มิรู้ได้

แปลกตาแปลกงามแปลกนามนัย

แปลกไหม?-มีอยู่ในภูชัน

เราเห็น-ภูหมอกนั้นขาวโพลน

ลมโยนปุยขาวอยู่พราวสัน

แปลกหรือชื่อนาม-หรือสำคัญ?

หากนั่นงามพอ-ก็พอแล้ว!

๓).

ลมสายโศกขรึมเสียงทึมเทา

ล่องลอยสร้อยเศร้ามาเบาแผ่ว

จากยอดภูสูงชันจากสันแนว

ไล่เรี่ยตามแถวของแนวทาง

มาทางช่องร่องห่างระหว่างช่อง

พรูพลิ้วผิวล่องตามช่องว่าง

เรี่ยดินลาดต่ำ-ระลำราง

ลมพร่างระหว่างพลิ้วละริ้วลม

ลมริ้วปลิวไม้ดอกไหวร่วง

ฝากดวงหอมให้ตรงไรผม

เธอสบตา-ยิ้มให้ดวงใสกลม

ฉันข่มความยินดีวิญญาณ

เธอจึงรู้-ฤดูหนาว ดอกไม้สวย

หอมด้วยผวยจีบแห่งกลีบหวาน

สดสีเปล่งปลั่งอลังการ

เบ่งบานสานสีสันชีวิต

สานเธอเข้ากับสรรพสิ่ง

ให้นิ่งกลมกลืนแนบสนิท

ละอองหมอกดอกหนาวพราวทิศ

เพียงใดใกล้ชิด?-แม้ปิดตา

เรากำลังเดินสู่สันภูหมอก

ดอกไม้สวยสักดอกก็บอกค่า

ว่าล้นแล้วดอกผลที่ด้นมา

สู่ความงามแปลกหน้าแปลกตาตน

เธอจึงรู้-ฤดูหนาว ดอกไม้หอม

ซ่อนในอ้อมลึกลับ-ในสับสน

ที่ที่เธอเขลาหวาดและขลาดจน

ถามเหตุผลแห่งงาม-แห่งนามนัย

๔).

อย่าถามอันใดอีกเลย-ที่รัก

จะหนาวหนักเนื้อปริ-ตอบมิได้

รู้เพียงว่าทางท่องนั้นต้องไป

รู้เพียงใจเราร้องขอท่องทาง

รู้เพียงนำเสนอให้เธอรู้

กลางสันภูยังมีซึ่งที่ว่าง

ในสายหมอกดอกฉ่ำของน้ำค้าง

ให้เราวางเท้าทอดตลอดภู

อย่ากังวลอันใดเลย-ที่รัก

จะรู้จักหรือไม่-ลมสายอู้

ดอกไม้ใดบานผลิแล้วมิรู้

แหละฤดูเหน็บหนาวนั้นเท่าใด

ปล่อยไปตามใจเท้าเราก้าวเดิน

ชมเพริดเพลิดเพลินทางเดินใหม่

ลมจูบเธอเบาเบา-เถอะเข้าใจ

นั้นผมไรสลวยพรายสยายพราว

อย่าถามถึงความงามแห่งนามนัย

อันซ่อนในพืดหมอก-ในดอกหนาว

ลมเสียงโศกโกรกไม้จนไหวกราว

โพลนขาวข่าวภู-ฤดูลม

ละลิ่วลิบพริบตาก็ลาผ่าน

มาเพียงฝานแรงไหว กรีดไรผม

ผ่านไปกอบกรอบใบที่ไหม้อม

ลิบลิ่วปลิวกลมกลืนลมลับ

ไปเถิด-เกี่ยวก้อยต้อยตามกัน

ดวงตะวันลดไต่ไล่ระดับ

ภูโลมลมเพลงมาวับวับ

ดวงตาพระเจ้าใกล้ดับใกล้หลับตา

ปล่อยไปตามใจเท้าที่ก้าวเถิด

ฟ้าปิด-แต่ภูเปิดให้ค้นหา

อย่าไยดีโพล้เพล้ของเวลา

ไม้ดอก หมอกหนา-หรือว่าใด

แปลกหรือมิเข้าใจอันใดเลย

ทั้งมิเคยคาดคิดจะชิดใกล้

มิกระทั่งรู้จักมาจากใคร

แปลกไหม? หากงามพอ-ก็พอแล้ว

๕).

จนดวงตาพระเจ้าหลับสนิท

มืดมิดก็พราวด้วยดาวแก้ว

พร่างอยู่เหนือภูชันเหนือสันแนว

หนึ่งพรึกแพรวก็ปลั่งกว่าทั้งปวง

กอดเถิดเด็กน้อย-เถิดเด็กดี

ราตรีพรายดาวนี้หนักหน่วง

อย่าตกใจ-พรึกหนึ่งจะตึงดวง

ฉายช่วงแสงสีมาคลี่ทาง

....................................

....................................

อย่าตกใจ-พรึกพรายจะฉายดวง

ผ่านล่วงสันภู-มาสู่เรา

ไรเตอร์แมกกาซีน

Comment #10
Posted @23 ธ.ค.49 20.52 ip : 203...75

แห่งสิงหาคม

๑).

ในความอึกทึก-มีความเงียบ

อันราบเรียบเงียบเหงาและเบาแผ่ว

นุ่มนวลอ่อนโยนราวขนแมว

ล่องแล้วลอยอยู่มิรู้ลง

ในความฝันสีดำ-มีความขาว

เป็นจุดดาวพราวพุ่งอยู่สูงส่ง

เพื่อทอความงามงดเป็นกลดทรง

ทอดวงแสงวาดอยู่ดาดฟ้า

แหละในความเติบใหญ่-มีวัยเยาว์

ผุดเงาร้อยเรียงความเดียงสา

ในดวงใจหนักหน่วง-มีดวงตา

เพรียกหาหัวใจแห่งวัยเยาว์

๒).

คล้ายคล้ายกลิ่นทะเลได้เพพัด

แหละคลื่นซัดสะท้อนวันก่อนเก่า

ลำสนสูงยอดนั้นทอดเงา

ลมเป่าหาดทรายฟุ้งฟายมา

คล้ายคล้ายดอกไม้ขาวกลีบเบาบาง

อวดร่างรูปทรงอยู่ตรงหน้า

ในฤดูเมฆขาวเริ่มเทาทา

รอเวลาแตกเกล็ดเป็นเม็ดน้ำ

แห่งสิงหาคม-

สายลมหมาดชื้นเริ่มชื่นฉ่ำ

เธอมาคืนที่ฝันสีดำ

ฝันซึ่งซากซ้ำประจำมา

ในความเจ็บปวด-ความรวดร้าว

ความหนาวเหน็บหนักนั้นนักหนา

มือเบาเย็นชื่นเธอยื่นมา

ดวงตารอยยิ้มเธอเยี่ยมเยือน

เสียงสนวู่ไหวในสายลม

สิงหาคม-ดวงตาที่ฝ้าเฝื่อน

จับจ้องใบหน้าเธอไว้เพ้อเตือน

ก่อนการเคลื่อนสติสู่ภวังค์!!

๓).

ไกลโพ้น-

ปุยอันอ่อนโยนอยู่โพ้นฝั่ง

ระเบียงที่ดาวละดวงยัง

ระยับปลั่งเปล่งสุกอยู่ทุกดวง

ห้วงแห่งการหลับใหลตามลำพัง

ฉันเพรียกขานความหลังอันลับล่วง

เพ่งอยู่ในความกว้างที่ว้างกลวง

ทั้งปวง-ที่ไร้ที่ไม่มี

ในความเงียบอันมิรู้ตัว

กับความกลัวการหลับอยู่กับที่

ช่วงแห่งนาฬิกาต่อนาที

ลมหายใจที่ช่างแผ่วเบา

ห้วงแห่งการหลับใหลอันยาวนาน

คืบคลานดิ่งดำสู่ความเศร้า

สูญเสียการหวังคาดและวาดเดา

แห่งเค้าดวงหน้าเมตตานั้น

ไกลโพ้น-

ดั่งลอยโกลนเรือร้างอยู่กลางฝัน

เบื้องเหนือดาวดื่นนับหมื่นพัน

พรางแสงเงียบงันอยู่ระยับ

แล้วดอกไม้ก็ร่วงจากดวงดาว

กลีบขาวแสนงามในยามหลับ

แอมโมเนียฉุนจัด-สัมผัสรับ

และดวงตาดำขลับจ้องจับมา

๔).

ฉันมองโลกด้วยตาเพียงข้างเดียว

โน้มเหนี่ยวจักรวาลด้วยควานหา

อธิบายสิ่งสรรพเพียงหลับตา

เยียวยาความบอดใบ้มอดตน

จึงรู้-ในความงามมีความเศร้า

ครึ่งค่อนวัยเยาว์ช่างเหงาหม่น

ผิวทะเลที่แดดได้แผดปน

เสียงสนหวิววู่ลมลู่ใบ

ปิดตาข้างหนึ่ง-ข้างหนึ่งเปิด

ดูเถิด-เส้นระที่จะไต่

แนวราบระนาบตลอดที่ทอดไกล

แบ่งน้ำกับฟ้าไว้อย่างชัดเจน

โอวัยเยาว์-

การเติบโตแสนเศร้า-และล้อเล่น

กาลเวลาอัดหนีบซ้ำบีบเค้น

หลอมเป็นชีวิตเบี้ยวบิดทรง

ในความฝันสีขาว-มีเงาดำ

ซ่อนงำรอกาลจะสานส่ง

ค่อยเล็มแสงรอบประกอบองค์

เพื่อถล่มล่มลง ณ ตรงนั้น

ตรงที่ดอกไม้ขาวกลีบเบาบาง

อยู่ระหว่างความจริงกับความฝัน

ในความมืดที่เงียบอย่างเฉียบพลัน

และการตื่นที่อันตรธานวัย

๕).

ไกลโพ้น-

ปุยอันอ่อนโยนอยู่โพ้นไหน?

สิงหาคม-คลื่นเดิ่งสนเริงใบ

อึกทึกอยู่ในความวังเวง

เอื้อมคว้าดาวสักดวงจักร่วงมา

ดวงตาแม้ข้าง-ก็ยังเปล่ง

มิติราบโล่งอันโคลงเคลง

ยังเขย่งเหยียดเงื้อมยังเอื้อมคว้า

ฉันมองโลกด้วยตาเพียงข้างเดียว

วิ่นแหว่งบิดเบี้ยวมาเชี่ยวกล้า

จึงดวงใจบอบช้ำ-มีน้ำตา

สูญเสียเค้าหน้าเมตตาใด

ในความเงียบมีความอึกทึก

เสียงหัวใจเต้นตึก-รู้สึกได้

ฉันหลับตาอีกดวงดิ่งทรวงใน

เลื่อนไหลสู่การหลับ-มิรับรู้

ในความฝันสีขาว-มีเงาดำ

ล่มซ้ำซากพื้นที่ยืนอยู่

ระเบียงดาวดาดที่หยาดอณู

จึงปูแสงลาด ณ หาดทราย

แหละในความเติบใหญ่-มีวัยเยาว์

เติบโตมาโง่เขลาและสูญหาย

เบื้องหน้าเธอยืนอยู่-คือผู้ชาย

ผู้ทำลายเด็กน้อยลงย่อยยับ!!

๖).

แห่งสิงหาคม-

กระแสลมพัดหวนเพื่อทวนกลับ

ถ่างความฝันความจริงเพียงนิ่งนับ

กี่คราหลับ? กี่วามหยาดน้ำเกลือ?

เธอผู้มีรอยยิ้มในดวงตา

ผ่านมาเพื่อคุณการอุ่นเอื้อ

มิรับรู้หน่วยตาที่พร่าเครือ

ของชายผู้เลือดเนื้อ-มิเหลือใด!!

รพ.รามาธิบดี สิงหาคม ๒๕๔๔


ตีพิมพ์ครั้งแรกที่ เนชั่นสุดสัปดาห์

Comment #11
Posted @23 ธ.ค.49 20.58 ip : 203...75

บทเพลงโพ้นทุ่ง

๑).ลุ่มดินถิ่นนี้เคยมีมนต์รักตรึงตรา

โพ้นทุ่งคือลำคลองน้ำนิ่ง

ตลิ่งสองฟากยึดรากหญ้า

ให้หยัดต้นชูยอดตลอดมา

และระนาบราบหล้าเวลาลม

ลัดทุ่งโดยทางใช้ย่างก้าว

กอข้าวท่วมล้อมห้อมห่ม

ไมยราพทิ่มตำหนามคม

เลนตมโคลนเปือกเทือกทาง

เด็ดดอกหญ้าเสียบก้นแมลงปอ

ไล่ล้อเล่นลมโลมร่าง

ปีกใสไร้สีคลี่กาง

บอบแบบโปร่งบางหางยาว

โพ้นทุ่งคือลำคลองน้ำลึก

ที่พฤกษ์ทบพุ่มตะคุ่มท่าว

บดบังลำพูดอกพราว

ที่กิ่งน้าวโน้มโค้งลงน้ำ

๒). แดดบ่ายปลายคุ้งท้องทุ่งรวงทอง

ผิวหน้าอาจเงียบดูเรียบนิ่ง

ค้อมกิ่งโค้งจุ่ม - ชุ่มฉ่ำ

แผ่วเสียงแอคคอร์เดียน – การเขียนคำ

ของครูเพลงผู้คร่ำเคี่ยวกรำงาน

แดดบ่ายระบายทุ่งจรดคุ้งโค้ง

ฟ้าโล่งโปร่งปลอดตลอดน่าน

สดับสรรพคีย์อลังการ

เนิ่นนานนาบเนิบ - เนิบช้า

เนิบช้าแผ่วบางแล้วจางหาย

ละลายไปกับแดดที่แผดจ้า

เกล็ดแดดสะท้อนวับ – จับตา

โรยหน้าผิวน้ำในลำคลอง

ดงดอกลำพู - ชมพูม่วง

โรยร่วงกลีบน้อยลงลอยล่อง

ภวังค์กำลังเอ่อ - เหม่อมอง

พรายฟองฟ่องพราวที่เท้าตี

เงี่ยฟังเสียงแอคคอร์เดียน - การเขียนเพลง

อันแว่วหวานวังเวงเหลือที่

นานนับทศวรรษ - ปีผลัดปี

ดนตรี คีย์โน้ต บทเพลง

กรุ่นกรุ่นในคำนึงคิดถึงอยู่

เพลงครูแจ่มชัด - ครัดเคร่ง

อบอวลมวลฝันบรรเลง

ท่ามกลางความวังเวงของเพลงลม

๓). หยาดเหงื่อที่ย้อยอยู่เหนือคิ้วนาง


ลุ่มน้ำลำคุ้งปลายทุ่งข้าว

ฤดูเกี่ยวเมฆหนาว - ขาวห่ม

แต่ละรวงอวบอ้วน - ชวนชม

ทองถมโน้มรวงถ่วงปลาย

จึงเพลงรักบ้านทุ่งก็ฟุ้งกลิ่น

ไวโอลินเสียงดีก็สีสาย

เป็นเสียงรวงเสียดเปลือก - ลมเสือกราย

ใบคายละเอียดก็เสียดเรียว

สาวสวมงอบกอบเกี่ยวเอาเคียวเก็บ

สากหนามือเล็บเพราะเก็บเกี่ยว

พอลมโหมรวงข้าวกันกราวเกรียว

เหงื่อเหนียวก็คายกระอายร้อน

หยาดเหงื่อที่ปลายคิ้วจึงปลิวลม

เส้นผมจึงไรสยายอ่อน

วับวับเคียวกำรำฟ้อน

ทรานซิสเตอร์ถ่านก้อนกระท่อนมา

เสียงปาดไวโอลินแล้วชักกลับ

สอดรับเสียงทุ้มของรุมบ้า

เปียนโนพลิ้วคีย์นิ้วลีลา

โดเรมีฟาซอลลาซี

เก็บดอกลำพู - ชมพูม่วง

พอนลำพูทอดงวง - หวงที่

สงบนิ่งมั่นคงอยู่ตรงนี้

ฟังเพลงสีไวโอลินส่งกลิ่นไม้

๔). ทุ่งนาแดนนี้ไม่มีความหมาย

ท้ายทุ่งคือลำคลองน้ำลึก

พุ่มพฤกษ์ลมโกรกก็โบกไหว

วงกระเพื่อมเลื่อมแดดถ่างแวดไป

ลมเรี่ยน้ำใสนั้นไล่วง

จนตะวันชายคล้อยลอยลงต่ำ

ลำพูชายน้ำกิ่งก่ง

ก็ทอดเงาระนาบราบลง

กับพงหญ้ารกที่ปรกดิน

ควันไฟจากครัวเริ่มพวยควัน

เสียงโขลกครกลั่นสนั่นถิ่น

แอคคอร์เดียน เปียนโน ไวโอลิน

ยังยินสำเนียงคลอเสียงครก

ผละจากดงลำพู - ชมพูม่วง

พอนลำพูทอดงวง - ดอกดก

ทรานซิสเตอร์ถ่านก้อนกระท่อนกระทก

ยามสายัณห์ตะวันตกลงอกดิน

ลัดทุ่งโดยทางที่ย่างก้าว

คล้อยสาวสวมงอบเหงื่อประทิ่น

เพลงครูโผยแว่วที่แผ่วยิน

ช่างฟุ้งกลิ่นหอมล้ำของน้ำพริก!


๑.-เพลง กลิ่นฟางสาบสาว ร้องโดย ปอง ปรีดา
๒.-เพลง ทุ่งรัก ร้องโดย ศรคีรี ศรีประจวบ
๓.-เพลง หยาดเหงื่อเหนือคิ้วนาง ร้องโดย ชัยชนะ บุญณโชติ
๔.-เพลง รอยไถแปร ร้องโดย ก้าน แก้วสุพรรณ

ผู้จัดการรายวัน(เสาร์-อาทิตย์)

Comment #12
Posted @23 ธ.ค.49 21.01 ip : 203...75

รักของชีวิตชนิดนี้


รักเธอด้วยใจอันใสซื่อ

และรักเท่าที่มือเธอยื่นให้

มิคาดหวังขอบฟ้าเกินกว่าไป

มิคาดหมายดาวดวงใดอันไกลเกิน

รักเท่าที่หัวใจจะให้รัก

เท่าที่เธอให้รู้จักหรือขัดเขิน

หอมไม้ดอกซอกสวนมาชวนเชิญ

หัวใจเธอหมางเมินเลยหรือไร

รักเท่าที่หัวใจที่ฉันมี

และเท่าที่ความรักจักรักได้

ในวิญญาณที่ซ้อนร่างอยู่ข้างใน

อาจรักใครก็ได้-แต่ไม่รัก

สัมผัสรักรู้ได้ด้วยรู้สึก

เช่นสัมผัสประกายพรึกด้วยรู้จัก

เธอจะก้มดูทรายหรือทายทัก

หัวใจเธอย่อมตระหนักอยู่แก่ใจ

ฉันเพียงร้อยสร้อยรักถักศรัทธา

จะหลงเพ้อว่าเลอค่าก็หาใช่

รักจะถักจากชีวิตชนิดใด

ค่าอยู่ที่ผู้ให้และผู้รับ

รักฉันถักจากชีวิตชนิดนี้

ไมตรีเธอจะชื่นหรือยื่นกลับ

มิอาจหยั่งความรู้สึกอันลึกลับ

ที่เธอซ่อนซ้อนซับไว้กับทรวง

ฉันเพียงร้อยสร้อยรักถักศรัทธา

ยื่นให้ด้วยสิเนหาใช่เหนี่ยวหน่วง

เธอจะรับหรือไม่-ได้ทั้งปวง

เท่าที่ดวงใจเธอรู้ค่ารัก

กุลสตรี ปักษ์แรก ฉบับที่ ๕๗๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘

Comment #13
เสือฯ (Not Member)
Posted @24 ธ.ค.49 9.51 ip : 58...189

รักหวานฉ่ำ!!

Comment #14
ตลก (Not Member)
Posted @3 ก.พ.50 20.56 ip : 58...165

อาไรไม่รู้เรื่องเลยอ่า

Comment #15
Posted @5 ก.พ.50 6.25 ip : 203...234

อยากได้แบบเป็นเล่ม

เมื่อไหร่จะวางซะที

แสดงความคิดเห็น

« 3575
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง

งานเขียนของข้าพเจ้า

personมุมสมาชิก

Last 10 Member Post

Web Statistics : online 0 member(s) of 19 user(s)

User count is 2277491 person(s) and 9086510 hit(s) since 24 เม.ย. 2567 , Total 550 member(s).