บนเส้นทางอุดมคติ
๑).
กอดจูบอุดมคติอีกสิกู
เยี่ยงผู้ทระนง-แล้วจงหยิ่ง
ชีพมิใช่ไฟแช็คหรือแพ็คลิงค์
ที่จะนิ่งเงียบเหงาในกระเป๋ากางเกง
จองหองอีกสักนิดเถอะชีวิตกู
เพื่อจะดูปลั่งดาวอีกคราวเปล่ง
กัดสันฟันกรามแล้วฮัมเพลง
ลืมเกรงใจบ้างกับสังคม
ยืนยันตนเองอีกสักนิด
ก่อนชีวิตพังพ่ายสลายล่ม
ในโลกที่กำลังตายทั้งกลม
เลือดลมโลกแม่จึงแปรปรวน
โอ-อุดมคติจะผลิบาน
ในโลกรานร้าวแหลกใกล้แตกร่วน
กูแหงนคอดูดาวที่พราวนวล
เดินว้าเหว่เซซวนใต้นวลดาว
๒).
เหลือแบบกูกี่คนอยู่บนโลก
ที่เปียกโชกห่าเห็บทั้งเหน็บหนาว
ยังกอดอกย่ำทางที่กว้างยาว
เดินก้าวร้าวรวดบนกรวดคม
คมกรวดนวดตีนจนช้ำชอก
ยิ่งตอกตีนจ้ำยิ่งย่ำข่ม
ลมหนาวกราวกรูยิ่งพรูลม
กูยิ่งฝ่าห่าขรมระงมอึง
ยังมิตายวันนี้ยังมิตาย
แต่ก็คล้ายตายซากไปกว่าครึ่ง
เหลือเพียงวูบอุดมคติในคำนึง
ที่ดื้อดึงให้มีซึ่งชีวิต
ร้าวรวดปวดเมื่อยจนเหนื่อยแรง
ตาแข็งค้างอยู่มิรู้ปิด
โอ-อุดมคติงามมาลามพิษ
แผลงฤทธิ์แรงกล้าจนตาค้าง
ยังมิตายก็ต้องย่างไปข้างหน้า
เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องกล้าย่าง
กูถอนใจน้อยน้อยค่อยค่อยวาง
รอยประทับโลกกว้างเป็นร่างเท้า
ยังมิตายวันนี้ยังมิตาย
นับเป็นความโชคร้ายเกินใดเท่า
ดาวเอยดาวพรายประกายเงา
กูเศร้ากูโศกกูโชคร้าย!
๓).
กูยิ้มเศร้าถอนใจแล้วไห้ร่ำ
โศกให้ช่ำเถิดกูอย่ารู้หาย
เดินดูดาวเปล่าเปลี่ยวอยู่เดียวดาย
แหงนหงายเงยหม่นอยู่คนเดียว
มองดาวดาวก็จ้าสบตากู
กัดฟันสู้ยิ้มซีดจนบิดเบี้ยว
โอ-อุดมคติจะลีบเรียว
กูย่ำบนวิถีเปลี่ยวอยู่เดียวดาย
ตีพิมพ์ครั้งแรกที่ จุดประกาย