ทำความรู้จักกับผมสักนิด
อายุใกล้ ๔๐ ของผมในปัจจุบันนี้ นับว่ามันผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเหลือเชื่อเหลือเกินที่ยังชีวิตอยู่ได้ จากเด็กขี้แยไม่เอาถ่านสักเรื่อง ขี้ฟ้องขี้ร้องและอ่อนแอเสียจนใครต่อใครเอือมระอา ผมกลับเติบโตช่วงวัยรุ่นเต็มขีดในมัธยมปลาย ด้วยพฤติกรรมและการมองโลกในอีกแง่มุม มันค่อนข้างท้าทาย โลดโผน และชื่อเสียงที่นักเรียนด้วยกันกล่าวถึง จนกระทั่งไปเรียนรามฯ นั่นคือช่วงเวลาที่ผมรุ่งเรืองสุดขีด พอๆกับตกต่ำสุดขีดในด้านของสังคม ยังนึกอยู่เสมอมา หากผมยังดื้อที่จะอยู่รามฯไม่กลับบ้านตามคำร้องขอของแม่ ผมจะมีสถานะใดในรามฯและหน้ารามฯ? เปล่าเลย - ผมไม่ได้หมายถึงการได้เป็นแก๊งมาเฟียอันน่าเกรงขามเลืองนาม ที่กลุ่มมาเฟียก่อนๆไำด้ปฏิบัติให้เห็นกันอย่างน่าขนหัวลุก ผมไม่ได้หัวใจแกร่งกร้านปานนั้น ผมยังรู้สึกรักรู้สึกอ่อนโยนต่อเพื่อนมนุษย์ ผมเป็นเช่นนั้นไม่ได้แน่ และไม่เคยคิดจะเป็นอีกด้วย แม้ว่าครั้งหนึ่งเคยเดินเลียบๆกลุ่มเหล่านั้นอยู่บ้าง โชคดี - ที่ผมยังเป็นคนภายนอกกลุ่ม
แล้วสถานะที่ผมว่านั้นมันคืออะไร? ผมไม่ทราบ แต่เชื่อได้ว่าต้องเป็นสถานะที่แม่และเตี่ยไม่ชอบใจนัก
ช่วงชีวิตโลดโผนช่วงนั้นนั้นนั่นแหละ ที่ผมมักจะนั่งนึกถึงทบทวนอยู่เสมอ ด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ ด้วยความรู้สึกแปลกหน้า และด้วยความรู้สึกอันปั่นป่วนมวนพุง ขณะเดียวกัน - มันกลับสร้างกระแสบางกระแสขึ้นในหัวใจ ให้ผมรับรู้ว่าผมผ่านอะไรๆที่ร้ายๆมาบ้างแล้ว อย่างที่ผู้ชายสักคนควรจะได้ผ่าน ตามมุมมองของผู้ชายที่มิได้เดินหนีบกระเป๋านักเรียน เป็นความรู้สึกสองความรู้สึกที่ตัดกันอย่างสิ้นเชิงของหัวใจดวงหนึ่ง ไม่น่าเชื่อใช่ไหม? ที่ในขณะเดียวกันนั้น เราพบว่าเราทั้งชิงชังและโหยหาในสิ่งนั้นอยู่อย่างสับสน
ผมว่านี่แหละคือชีวิตที่แท้ ชีวิตที่มิได้มีอะไร "เพียว" มันมีองค์ประกอบมากมายขึ้นในแต่ละวินาทีของเรา
ต้องเอ่ยถึง ประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ กันทุกเมื่อ ด้วยเพื่อนผู้นี้คือผู้ที่ผมไม่ควรจะลืมความทรงจำเล็กๆอันเนิ่นนานมาแล้วนั้น ประมาณ ปี ๒ ของ รามฯ เขายื่นหนังสือเล่มหนึ่ง "ความรักของวัลยา" ของ "เสนีย์ เสาวพงศ์" (แต่ผมมักจะจำว่าเป็นหนังสือ - ปีศาจ - ของผู้เขียนคนเดียวกัน) ผมรับไปอย่างเกรงใจ ครั้นเมื่อได้อ่าน โลกเก่าของผมก็พังทลายลงตรงหน้า ผมมีจุดหมายปลายทางอย่างที่ ดอน คอร์เลโอเน ได้กล่าวเสมอว่า คนเรามีจุดหมายชีวิตเพียงสิ่งเดียว นอกจากหนังสือจะเปลี่ยนทัศนะต่อชีวิตต่อโลก หนังสือยังทำให้ผมรู้ว่าผมต้องการเป็นกวี แล้วผมก็ลงมือทำมัน!
กล่าวได้ว่าผมมีชื่อพอสมควร อย่างน้อยคนในแวดวงก็รู้จักชื่อ ผมมีความสุข และผมพยายามเขียนรูปแบบอื่นๆ แม้ว่าจะไม่คล่องมือเหมือนกับบทกวีก็ตาม
นิยายชิ้นนี้ ผมเริ่มเมื่อประมาณปี ๒๕๓๙ และค้างเติ่งเนิ่นนานอยู่อย่างนั้น จนมาต่อเติมในช่วงป่ ๒๕๔๖ ที่ผมประสบอุบัติเหตุเอ็นหน้าข้อเท้าขวาขาด แล้วก็ต่อมันเรื่อยมาจนจบตอนที่ ๑
มันคงจะมีสัก ๔ ตอน
๑ - แป้งในถังนวด
๒ - การกระหน่ำตีของทุ่น
๓ - ลูกโม่ที่บดจนแป้งเป็นเนื้อเดียวกัน
๔ - บะหมี่หนึ่งก้อน
ใช่ มันเป็นเรื่องราวของผมเอง ที่เอาอาชีพอันคุ้นเคยดีมาเดินเรื่อง และเอาจุดจดจำของใครๆที่มีต่อผมมาเป็นแกน
ปานสีแดงบนเปลือกตาขวาของผมมันสร้างความเจ็บปวดมายาวนาน หลายครั้งที่มันเป็นการตอบโต้สายตาแปลกๆของใครต่อใครด้วยพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง กว่าผมจะสยบยอมต่อสายตานั้น กว่าผมจะทำความรู้จักกับเปลือกตาสีแดงนั้น อายุผมล่วงมาเกือบจะ ๔๐ ปี!
เป็นนิยายเรื่องแรก และยังเขียนไม่จบ ทีแรกผมตั้งใจจะเขียนให้จบทั้ง ๔ ตอนแล้วจึงจะโพสต์เก็บในเวบ แต่เกรงว่าการเล่นเนตแบบซุกซนของผมมันเสี่ยงต่อเครื่องจะเดี้ยงเหลือเกิน จึงตัดสินใจเอามาโพต์ก่อน และเมื่อเขียนจบอีกตอนก็จะเอามาโพสต์อีกที
ผมเป็นนักเขียน สิ่งหนึ่งที่นักเขียนต้องมีต้องเป็นคือ การเขียน เช่นที่ผมเป็นคนขายหมี่เป็ด ที่ผมต้องเป็นต้องมีคือ การค้าขาย ไม่มีอะไรต่างกันเลย ไม่มีอะไรน่าภูมิใจกว่ากัน ผมรักชีวิตชนิดนี้!
Relate topics
- งาน ignite hatyai
- นิยายเล่มใหม่ครับ
- ป า น สี แ ด ง ! ! ๗ ( แ ป้ ง ใ น ถั ง น ว ด )
- ป า น สี แ ด ง ! ! ๖ ( แ ป้ ง ใ น ถั ง น ว ด )
- ป า น สี แ ด ง ! ! ๕ ( แ ป้ ง ใ น ถั ง น ว ด )
- ป า น สี แ ด ง ! ! ๔ ( แ ป้ ง ใ น ถั ง น ว ด )
- ป า น สี แ ด ง ! ! ๓ ( แ ป้ ง ใ น ถั ง น ว ด )
- ป า น สี แ ด ง ! ! ๒ ( แ ป้ ง ใ น ถั ง น ว ด )
- ป า น สี แ ด ง ! ! ๑ ( แ ป้ ง ใ น ถั ง น ว ด )
ขนมเน่า (Not Member)
มัช (Not Member)
yas (Not Member)
ปราด (Not Member)
ผีเสื้อปีกบางฯ (Not Member)
nakhajohn jantawong
เด๊มงรักน้องอ็อป (Not Member)
ปราง (Not Member)
ผึ้ง (Not Member)
tonfon
หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก
แดนไกล ไลบีเรีย
หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก
แด๋น (Not Member)
แซมครับ (Not Member)
poohsan
ป้ายสี.คอม (Not Member)
ปภพ
Pjang
Mai (Not Member)