ป า น สี แ ด ง ! ! ๒ ( แ ป้ ง ใ น ถั ง น ว ด )
๒).
บ่ายของปลายเดือนพฤษภาคมร้อนจนอบอ้าว ห้องที่อยู่ทิศตะวันตกของผมรับแดดบ่ายเต็มที่ ระเบียงเล็กๆที่ยื่นออกไปจากห้องเล็กๆ ผมตั้งโต๊ะเอาไว้สำหรับอ่านหนังสือในวันที่ไม่รู้จะทำอะไร อุบัติเหตุเมื่อดึกของคืนวันที่ ๒๒ เมษายน มันหนักหนากว่าที่ผมคาดคิดเอาไว้มาก มอเตอร์ไซค์เบี่ยงหลบรถยนต์ความเร็วสูง ยามหน้าบริษัท ณ ที่เกิดเหตุเห็นเหตุการณ์เต็มตา และบอกกับใครต่อใครว่าผมกระเด็นลอยเหมือนอย่างหนังกำลังภายใน ไกลประมาณ ๑๐๐ เมตร
กี่เมตรนะ? ผมถามโต้ ในวันเขามาเยี่ยมผมที่โรงพยาบาล
๑๐๐ เมตรพี่ ยามเขาเห็นกับตา โต้ยืนยัน
กี่เมตรนะ?
๑๐๐ เมตร ยามว่าพี่ลอยละลิ่วเหมือนไอ้มดแดงเลยล่ะ
กี่เมตรนะ ผมยังไม่เชื่อ
เอ่อ สัก ๕๐ เมตรมั้ง ผมไม่แน่ใจครับ
เป็นหัวเราะแรกตั้งแต่อยู่ในโรงพยาบาลของผม คืนนั้นผมถูกหาม
ส่งโรงพยาบาลในสภาพยับเยินไปทั้งตัว แรงกระแทกกองดิน แรงเหวี่ยงผมขึ้นสูงตกลงมากระแทกพื้นแข็ง แล้วผมก็สูญสิ้นความทรงจำในคืนนั้นทันที
หัวแตกเป็นทางไม่ยาวนัก แต่ก็หนักพอทำให้หมวกกันน็อคของผมเปื้อนเลือดเหม็นคาวไปทั้งใบ ด้ายขมับซ้ายของหมวกกันน็อคเป็นรอยครูดยาวลึก นี่กระมังที่ช่วยให้สมองของผมไม่ทะลักออกมากอง แต่ที่หนักที่สุดก็คงเป็นข้อเท้าข้าวขวา
คืนนั้น หมอเย็บปิดปากแผลแล้วให้กลับบ้านไปนอนพักผ่อน
ผมจำไม่ได้จริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ความทรงจำรางเลือนที่สุด คือผมขับมอเตอร์ไซค์มาถึงทางแยก ดึกป่านนั้นไม่ค่อยมีรถมากนัก แต่รถที่มีแต่ละคันก็ล้วนมาด้วยความเร็วสูง ผมมองถนนดูรถ แล้วบิดตัดสามแยกเข้าสู่เลนซ้ายของถนน แสงไฟหน้าสองดวงส่องมาจากเบื้องหลัง ผมเบี่ยงหลบข้างทาง ลมปะทะเย็นวาบพอๆกับความใจหายเมื่อรถชนกองดิน แล้วโลกก็เงียบลงในฉับพลันนั้น
รุ่งเช้า ความรู้สึกตัวตื่นมาพร้อมกับความเจ็บปวดบาดแผลทวีคูณ
ผมนอนร้องโอดโอยอยู่บนที่นอน เหมือนข้อเท้าขวามันหลุดหายไม่มีอยู่
นานจนแม่ขึ้นมาดูอาการ และเรียกตัวแทนประกันให้นำส่งโรงพยาบาลอีกรอบ ผลการตรวจอย่างละเอียด และโดยแพทย์เฉพาะทางพบว่า เอ็นใหญ่ข้อเท้าขวาด้านหน้าขาดสะบั้น หมอให้เข้าผ่าตัดในอีกวันรุ่งขึ้น
วิสัญญีแพทย์ให้ตะแคงคู้นอน ฉีดยาบล็อคหลังเข้าตรงกระดูก
สันหลังบริเวณเอว ไม่นานนักก็ไร้ความรู้สึกท่อนล่าง ผมกลัวอาการอัมพาตชั่วคราวนี้เหลือเกิน หมอกรีดเปิดปากแผลที่เย็บไว้เมื่อคืน กรีดขึ้นมาจนถึงเกือบหน้าแข้ง และกรีดลงเปิดปากแผลไปบนหลังเท้า ดึงเส้นเอ็นที่หดตัวไปมาเย็บต่อกันเข้า ผมไม่รับรู้อันใดทั้งสิ้น นอนมองเพดานห้องสีขาวด้วยความรู้สึกเย็นเยียบในหัวใจ ปล่อยหมอและพยาบาลทำหน้าที่ของเขาตามลำพัง ให้เขาอยู่ในโลกของเขา เลือด บาดแผล ความสยดสยอง แล้วผมก็มุดตัวเข้าสู่โลกอันมืดดำ หลับตา และอยู่กับความหวาดกลัวนั้นจนหมอเข้าเฝือกเสร็จเรียบร้อย
ผมมีไม้เท้าค้ำยันช่วยเดิน
รุ่งเช้า ผมจึงได้รู้ว่าแม่พาเตี่ยมาโรงพยาบาลเดียวกับผม อยู่ห้องตรงข้ามเยื้องไปทางขวาหน่อย แม่สีหน้าไม่ดีนัก แต่ก็พยายามฝืนยิ้มเมื่อแวะมาที่ห้องผม เตี่ยอายุ 93 วัยและสังขารของเตี่ยนี่เอง ที่ทำให้แม่ดูทุกข์และเศร้า ทุกวันผมจะเขย่งไม้เท้าค้ำยันไปเยี่ยมเตี่ย มองดูเตี่ยนอนอิดโรยบนเตียง ดวงตาของเตี่ยเลื่อนลอยมองอะไรไม่เห็น เตี่ยจ้องเพดานทะลุไปถึงก้อนเมฆเบื้องบน มิรับรู้ช่วงวันเวลา สายยางให้อาหารระโยงอยู่ด้านซ้าย สายน้ำเกลือและยาระยางอยู่ด้านขวา หมอต่อสายยางให้เตี่ยเพื่อช่วยการปัสสาวะ ความทุกข์ทรมานของเตี่ยดูได้จากการไม่ยอมรับรู้ใดใดทั้งสิ้น เตี่ยปล่อยวิญญาณละล่องไปยังแดนไกลโพ้นอันไร้ความเจ็บปวด ผมพยายามบีบนวดต้นคอให้เตี่ย พยายามเรียกชื่อแกให้ขานรับ ให้รู้ว่าผมมาแล้ว ลูกชายคนเดียวของเตี่ยมาแล้ว ผมมองสายยางอาหารด้วยความรู้สึกเศร้า และเตี่ยยังคงเบิกตามองเพดานค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น ในวัยเยาว์ เตี่ยมักพาผมไปกินข้าวต้มที่ร้านอาหารจีน ผมต้องใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงขายาวที่ตัดจากร้านประจำของเตี่ย เดินจูงนิ้วนางซ้ายและคลึงแหวนหยกสีเขียวแตกลายเล่น เราเดินไปร้านอาการจีนแห่งนั้นเงียบๆ เตี่ยเป็นผู้ชายที่เงียบที่สุดตั้งแต่ผมรู้ความ ความไม่ค่อยพูดของเตี่ย มักทำให้ทุกคนฟังเตี่ยเสมอเมื่อเตี่ยพูด และความไม่ค่อยยิ้ม ก็มักทำให้ทุกคนไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้ มีผมเพียงคนเดียวกระมัง ที่หยอกล้อชวนเตี่ยคุยได้ทุกขณะอารมณ์ของเตี่ย ครั้งหนึ่งในยามเย็นหลังเลิกเรียน ผมดึงเตี่ยไปหน้าบ้าน ดึงติ่งหูเตี่ยเบาเบาลงมากระซิบขอเงินสิบบาท เตี่ยหัวเราะร่วนขยี้หัวผมเบาเบาแล้วควักเงินจากกระเป๋าที่อัดด้วยแบงก์ร้อย เตี่ยพกเงินมากๆเสมอ และมักมีเพื่อนฝูงมาหยิบยืมเงินเตี่ยมิได้ขาด แม้มากรายที่เตี่ยจะไม่เคยได้เงินกลับคืนมาเลยก็ตามที ร้านข้าวต้มแห่งนั้นเป็นร้านมีชื่อ เตี่ยกับเจ้าของร้านเป็นเพื่อนกันมานมนาน เตี่ยสั่งห่านพะโล้ให้ผมด้วยรู้ว่าผมโปรดปรานเป็นพิเศษ เรากินกันอย่างเอร็ดอร่อย ผมเคยถามว่าทำไมสั่งมามากมายอย่างนี้ เตี่ยตอบว่าอย่าไปเสียดายเงินเรื่องกิน ถ้ามีจ่ายจงกินให้อิ่มและให้อร่อย เพราะเราเป็นคนทำงานหนัก มันเป็นรางวัลเล็กๆน้อยๆที่เราควรหาให้กับชีวิต ในขณะที่แม่จะเป็นคนเขียมอย่างที่สุด ผมสับสนกับปรัชญาที่แตกต่างกันสุดขั้วนี้ น่าแปลก-ที่เตี่ยกับแม่หล่อหลอมปรัชญาชีวิตของตนเข้ากันได้อย่างน่าอัศจรรย์ ในความแตกต่างนี้ มันกลายเป็นความรับรู้ที่แสนสับสนเกินจะเข้าใจ แต่การเติบโตและวันเวลามันก็คลี่คลายความงุนงงนั้นให้มลายไปสิ้น หล่อหลอมชีวิตให้มีสองทัศนะ และสุดแท้แต่สถานการณ์จะต้องใช้ทัศนะใด แต่กว่าจะคลี่คลายได้นั้น ผมต้องใช้เวลาอีกหลายปีเพื่อที่จะทบทวนมัน
นึกถึงในวัยเรียนชั้นประถม ผมเป็นเด็กที่ขี้แยที่สุดในห้อง และในความเป็นเด็กขี้อายนั้น ผมเป็นเด็กที่ทะลึ่งตึงตังอยู่โข การถูกประคบประหงมจากเตี่ยและแม่ จากน้าๆทั้งหลาย มันทำให้ผมคิดว่าทุกคนที่ผ่านมาจะต้องรัก และทะนุถนอมผมเหมือนอย่างที่ผมอยู่บ้าน โลกกว้างใหญ่นัก ความแตกต่างอันเป็นธรรมดาโลกค่อยๆสอนผมทีละนิดๆ กว่าจะรับรู้เข้าใจมันได้ ผมก็เกือบกลายเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโตเสียแล้ว เมื่อครั้งเรียนประถมสี่ วิชาภาษาไทยมีเรียนวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ และท่อนหนึ่งที่เรียนนั้น ผมแปลงมันเสียแล้วอ่านออกเสียงดัง หมายจะให้เพื่อนและครูหัวเราะในความตลกนั้น
บัดนั้น..
พระยาพิเภกยักษี
เห็นพระองค์ทรงโศกโศกี
อสุรีกราบลงกับบาทา
ทูลว่าพระลักษณ์สุริยวงศ์
ยังไม่ปลงชีวันสังขาร์
อันหอกโมขศักดิ์ฤทธา
พรหมาประสิทธิ์ประสาทไว้
ให้เป็นอานุภาพอาวุธ
ต้องใครจะฉุดนั้นไม่ไหว
แต่มียาคู่หอกชัย
ให้ไว้สำหรับแก้คัน
วรรคสุดท้ายผมเปลี่ยนเสียจาก ให้ไว้สำหรับแก้กัน กฤษดา-
เพื่อนตัวใหญ่ร่วมห้อง ไม้เบื่อไม้เมากับผมมานมนานลุกขึ้นยืนชี้หน้าผมทันที
จำไม่ได้จริงๆว่าเขากับผมโกรธเคืองกันด้วยเรื่องอะไรมาก่อน แต่มันเป็นความโกรธเคืองที่ดูเหมือนไม่มีวันจะลงเอยด้วยดีได้เลย เขาชอบรังแกผมเสมอ ในขณะที่เมื่อมีโอกาส ผมก็ไม่เคยปล่อยโอกาสนั้นให้ละเลยไปอย่างน่าเสียดาย
กฤษดาตัวใหญ่ ดำมะเมื่อม ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผลอันเกิดจากต่อมน้ำเหลืองไม่ดี เป็นเด็กมาจากบ้านนอกที่ห่างไกลเหลือแสนในขณะนั้น ทุกวันเขาจะนั่งรถจากอำเภอห่างไกลมาโรงเรียนแต่เช้า เขากับผมมักจะส่งสายตาดูแคลนต่อกัน นึกตอนนี้ก็ขำ วัยขนาดนั้นเรายังไม่รู้เลยว่าความแตกต่างของเรามันคืออะไร ในเมื่อเราอยู่ในชุดอย่างเดียวกัน ใต้กฏโรงเรียนเดียวกัน และไม้เรียวจากครูคนเดียวกัน ทันทีที่เสียงออดพักเที่ยงดังขึ้น ผมเดินออกจากห้องไปหาข้าวกิน โดยลืมไปว่าได้สร้างความเคืองแค้นอันใหญ่โตเกินจะเก็บเอาไว้ของกฤษดา เขาปรี่เข้ามาหาผม และหมัดลุ่นๆของเด็กประถมตัวใหญ่ก็ทิ่มเข้ากึ่งปากกึ่งจมูก แน่ล่ะ-ที่ผมจะต้องร้องไห้ ส่งเสียงดังลั่นไปทั่วทั้งบริเวณสนามปูน กฤษดาชี้นิ้วสำทับให้ผมหยุดร้อง ผมได้แต่สะอื้นฮักด้วยความกลัวตัวสั่น จนครูเดินมาแต่ไกล ทั้งผมและกฤษดาก็แยกย้ายกันเดินหนีก่อนครูจะมา กฤษดากลัวครูจับได้ว่าทำร้ายผม ในขณะที่ผมกลัวครูจะเอาเรื่องไปฟ้องเตี่ยที่จะมารับผมทุกเย็น เตี่ยคงไม่พอใจแน่ที่เห็นผมขี้แยขนาดนี้ อีกทั้งการไม่สู้คนของผม มันทำให้เตี่ยหงุดหงิดจนถึงขั้นคาดโทษเอาไว้เมื่อไม่กี่เดือนก่อน และแม่นี่แหละ ที่เข้าขวางเตี่ยในตอนนั้น แม่ไม่ชอบเห็นการต่อสู้ของลูก ไม่ชอบให้ลูกตัดสินทุกอย่างด้วยความรุนแรงเจ็บตัว เตี่ยอธิบายแม่ว่าเพียงแค่ต้องการให้ผมรู้จักป้องกันตัว ให้เอาตัวรอดให้ได้จากการถูกรังแก และแม่ก็เถียงว่าไอ้ตี๋มันยังเล็กนัก จะให้มันสู้อะไรกับใครที่ไหน? แม่เชื่อในความสันติ ว่ามันสามารถที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ด้วยดี และตลอดไป ผมแอบหลังแม่ เตี่ยมองผมด้วยตาดุดัน การแอบหลังแม่ก็เป็นเรื่องที่เตี่ยไม่ชอบเอาเสียนัก แต่ผมรู้-น้ำอย่างแม่มักทำให้ไฟอย่างเตี่ยเงียบเปลวลงได้เสมอ ยามเตี่ยโกรธแม้แต่แม่เองก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้ เพียงแต่กรณีที่มีผมเป็นตัวเหตุนั่นแหละ ที่แม่จะฟังความมองดูเงียบๆ ก่อนตัดสินใจเข้าขวางเตี่ย เมื่อเห็นสถานการณ์ชักตึงเครียดเกินเด็กตัวเล็กๆจะรับไหว หากเหตุคราวนั้นเตี่ยได้รู้จากครู ผมคงโดนไม้เรียวจากมือเตี่ยเป็นครั้งแรกแน่นอน
เรายกชั้นขึ้นเป็น ป.๕ และเตี่ยก็ให้มีรถโดยสารเล็กรับ-ส่งผมแทน
แน่ล่ะผมกับกฤษดาก็ยังคงหมางเมินและไม่ลงรอยกันอยู่ดี เราต่างคนต่างเรียน ต่างซุกซนกันในกลุ่มของตน ต่างขันแข่งจะทำความดีความชอบให้ครูออกปากชมหน้าห้อง และต่างกระแนะกระแหนค่อนขอดในยามที่เป็นฝ่ายได้เปรียบ จริงๆผมไม่มีอะไรจะสู้เขาได้เลย เราเรียนได้ไม่เก่งไปกว่ากัน แต่เขาเป็นเด็กที่ใจถึง กล้าสู้หน้าเพื่อนนักเรียนด้วยกัน และที่ทุกคนยอมรับหัวใจของเขาคือ ครั้งหนึ่งออกหน้ายอมรับผิดแทนคนก่อเหตุต่อครู วันนั้นมีใครสักคนทำผิดอะไรสักอย่าง แต่ครูไม่สามารถจะหาตัวคนทำผิดได้ การเฆี่ยนยกชั้นจึงตามด้วยความหวาดกลัวของเรา กฤษดายกมือขึ้น และบอกว่าเป็นผู้กระทำการนั้นเอง ครูไม่เชื่อ และพวกเราทั้งหมดก็ไม่เชื่อ แต่ไม่มีใครกล้าพอที่จะเอาก้นไปรับไม้เรียวที่ชื่อ ไม้สร้างคนให้เป็นคน นั้นได้ วันนั้นกฤษดาเป็นพระเอกของเพื่อนทุกคน รวมทั้งผมด้วย
แต่เราก็ยังคงเป็นอริอันมิสิ้นสุดลงสักที และเป็นผมที่มักจะวิ่งหนีเสมอยามที่เขาปรี่มา
ความงดงามที่สุดของชีวิตช่วงนี้คือ การเริ่มรู้สึกรักผู้หญิงสักคน มันดูไม่น่าเป็นไปได้ใช่ไหมสำหรับเด็กในพ.ศ.นั้น ผมควรใช้คำเรียกว่าอะไรดีเล่า? ในเมื่อเธอเรียนห้องติดกันที่มีเพียงกระดานดำคั่นห้อง หากไม่มีกระดานดำนั้น เธอและผมก็คงนั่งเรียนโต๊ะเดียวกันเป็นแน่ เรานั่งห่างกันเพียงมือเอื้อม เศษกระดาษที่ผมเขียนพูดคุยถูกส่งลอดกระดานดำ และมันถูกเขียนตอบกลับมาในเวลาไม่นานนัก เราปกปิดเป็นความลับเงียบเชียบ ยามพักเรียนแม้เจอหน้ากัน เราก็ได้แต่ยิ้มให้ และเก็บงำเรื่องจดหมายใต้กระดานดำไว้ในใจ ผมไม่ทราบว่าจะเรียกมันว่าอะไรดีถ้าไม่เรียกมันว่าความรัก ผมรู้สึกต่อเธอเช่นที่ผมเคยรู้สึกต่อเพ็ญพักตร์ ศิริกุล ในหน้านิตยสาร และเช่นเดียวกับครูสาวคนหนึ่งในโรงเรียน เราแอบรับส่งจดหมายและก้มหน้าอ่านด้วยหัวใจพองโต พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้ครูที่กำลังสอนสังเกตุเห็นรอยยิ้มอันเบ่งบาน ผมเชื่อว่าไม่มีใครรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน จนกระทั่งวันหนึ่ง เพื่อนที่สนิทคนหนึ่งเอ่ยปากถามในตอนเย็นขณะกำลังจะเล่นฟุตบอลพลาสติค
คุณชอบโจ้จริงๆหรือ?
ในกลุ่ม-เราใช้สรรพนาม คุณ ผม ตลอดมา จนได้รับคำชมเชย
จากครูประจำชั้นบ่อยๆ ผมอึ้งกับคำถามนี้ หัวใจไหวหวั่นด้วยความรู้สึกเหมือนทำผิดอะไรสักอย่างแล้วถูกจับได้ ผมนิ่งเงียบ หน้าแดงด้วยความอายอย่างบอกไม่ถูก มองเหม่อที่สนามบาสที่เราใช้เล่นฟุตบอล
ผมคงมีกิริยาอันใดสักอย่างที่ทำให้เพื่อนสังเกตุเห็น และความอาย
นั้น บังคับให้ผมตอบปฏิเสธเพื่อนไปด้วยหัวใจเต้นโครมคราม มันไม่เป็นความลับอีกแล้ว เด็กอายุ ๑๐ ขวบ กำลังมีความรัก! เย็นนั้นผมแอบร้องไห้เงียบๆในห้องเรียนที่ไม่เหลือใครสักคน ความมึนงงต่อคำถามที่ตอบได้ยากเย็นนั้น ทำให้ผมไม่กล้าสบตากับเพื่อนไปอีกหลายวัน และสิ้นสุดการติดต่อกับเธอคนนั้นไปอย่างเงียบๆ อย่างที่เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมคิดว่ามันคงจะจบลงเงียบๆอย่างนั้น หากเย็นวันหนึ่งกฤษดาไม่
ทำความสะอาดห้อง และเจอจดหมายที่ผมเก็บไว้ในช่องของโต๊ะเรียน
กฤษดาอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนสามารถจับคำพูดในจดหมายได้หลายคำมาพูดเปรยๆให้ผมได้ยิน ผมภาวนาให้เขาทิ้งจดหมายนั้นและลืมมันเสีย วันต่อมาโลกก็ถล่มทะลายลงบนหัวผมอย่างไร้ชิ้นดี เมื่อครูอ่านจดหมายนั้นหน้าห้อง ผมเชื่อว่าตั้งแต่บัดนั้น ผมจะไม่กลัวกฤษดาอีกต่อไป
มีอยู่สองเรื่องที่ผมไม่กล้าพูดคุยกับเตี่ยกับแม่ หนึ่งคือความขี้แย
อันน่าหมั่นไส้สำหรับเพื่อนหลายคน และอีกหนึ่งคือความรักของเด็กอายุ ๑๐ ขวบ แต่ผมคาดเดาได้ว่าหากเตี่ยหรือแม่รู้ อะไรจะเกิดขึ้นกับผม ในเรื่องความขี้แยเตี่ยจะต้องเป็นฟืนเป็นไฟ จนครั้งหนึ่งเคี่ยวเข็ญให้ผมไปฝึกมวยจีน ผมต้องเกร็งนิ้วแล้วแทงทะลวงในตุ่มข้าวสารวันละสองชั่วโมง มืออันบอบบางเริ่มกระด้าง แต่หัวใจผมมันกลับอ่อนเหลวลงเรื่อยๆ ผมไม่ชอบการชกต่อย มันเจ็บและผมใจอ่อนเกินจะตะบันหน้าใครต่อใครได้ นี่เป็นสิ่งที่ผมถ่ายทอดมาจากแม่โดยแท้ แม่ผู้ไม่ค่อยจะเป็นปากเสียงกับใคร ความเป็นเด็กบ้านนอกของแม่มันทำให้แม่สงบเสงี่ยมเจียมคำเรื่อยมา แม่เป็นคนมีเมตตาสูง และความเมตตาสูงของแม่นี่แหละ ที่ทำให้เตี่ยต้องคลายความดุดันลงได้เมื่อผมแอบหลังแม่ แต่หากเป็นเรื่องความรักของเด็ก ๑๐ขวบ แม่นี่แหละที่จะไม่ยอมให้แม้กระทั่งคิด แม่คงจะทำสารพัดอย่างในการที่จะโน้มน้าวให้เด็ก ๑๐ ขวบเลิกคิดเรื่องนั้น ขณะที่เตี่ยคงจะไม่เอามาคิดให้เป็นเรื่องใหญ่โต ชายพเนจรจากแผ่นดินใหญ่ ผ่านหัวเมืองมาหลายประเทศในแถบอาคเนย์ คงไม่ได้มาเจอแม่เป็นผู้หญิงคนแรกในชีวิตเป็นแน่
จากที่มีรถโดยสารเล็กรับ-ส่งไปโรงเรียนทุกวัน ผมหันมาใช้วิธีเดิน
จากบ้านปลายสุดถนนสายหลัก ไปโรงเรียนที่อยู่ต้นถนน ด้วยระยะทางประมาณ ๒-๓ กิโลเมตร เป็นการเดินไป-กลับอย่างมีความสุขยิ่ง ผมถือกระเป๋านักเรียนใบโตใหญ่แกว่งไปมา หยุดร้านขายของเล่นตามรายทาง หยุดดูผู้ใหญ่ทอยโบว์ลิ่ง แวะซื้อขนมเล็กๆน้อยเดินกินไปตามทาง ผมได้เงินไปโรงเรียนวันละ ๑๐ บาท นับว่าโขอยู่ในสมัยนั้น
โรงหนังที่เตี่ยเปิดแผงขายของได้ถูกรื้อไป เตี่ยเปิดร้านที่บ้านหลัง
ตลาดขายของและให้น้าๆที่ยังเหลืออยู่อาศัย เช่าบ้านอีกหลังหนึ่งไว้อยู่กันตามประสาพ่อแม่ลูก การค้าก็ยังนับว่าเจริญดี แม้จะไม่อู้ฟู่เหมือนหน้าโรงหนัง ช่วงนี้แม่จะทะเลาะกับเตี่ยเรื่องหาซื้อบ้านสักหลังหนึ่ง เอาไว้เป็นที่ที่มั่นคง แต่เตี่ยไม่ชอบการพักอาศัยที่ติดอยู่กับที่แห่งเดียว ผมไม่แน่ใจว่าเพราะการเร่ร่อนมาอย่างยาวนานของเตี่ยหรือไม่ ที่ทำให้เตี่ยไม่พะวงถึงพื้นที่ส่วนตัวนัก เตี่ยยังชอบพกเงินในกระเป๋าเยอะๆ และแจกให้กับเพื่อนฝูงที่ขัดสนเงินทองอยู่เสมอ ต้องใช้คำว่าแจก เพราะเตี่ยรู้ว่าโอกาสจะได้คืนมานั้นน้อยเต็มที ในขณะที่แม่ค้อนประหลักประเหลือก เตี่ยกลับหัวเราะร่า ดีใจที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนฝูงในยามตกทุกข์ เตี่ยพูดกับผมว่า เราไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองนี้เพียงครอบครัวเดียว ยังมีอีกมากมายที่ร่วมอยู่กับเรา หากเขาล้มเพียงหนึ่ง มันย่อมหมายถึงการรวนไปทั้งเมือง และแน่ที่สุดที่เราจะโดนกระทบไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นอีกครั้งที่ปรัชญาของเตี่ยคัดค้านกับปรัชญาของแม่อย่างคนละขั้ว แม่เคยต่อว่าเตี่ยที่ไม่เก็บเงินมาซื้อบ้านสักที และไม่เห็นด้วยกับการช่วยเหลือเพื่อนฝูงโดยไม่เลือกหน้า การค้านไม่เป็นผล ด้วยเตี่ยเป็นคนเก็บเงินทั้งหมดไว้ในตู้ เตี่ยเพียงผู้เดียวที่รู้รหัสเปิดเซฟ แม่ได้แต่หยิบเงินจากการขายของวันละนิดละน้อย เก็บสะสมจนซื้อที่ดินเล็กๆแถบๆชานเมืองได้หนึ่งแปลง ซึ่งต่อมาอีกหลายปี ที่ดินผืนเล็กนั้นก็ถูกแปรสภาพเป็นเงินในการรักษาเตี่ย
เตี่ยอาการหนักเหลือเกิน ผมยืนข้างๆเตียงเตี่ยด้วยความห่วงใย
นี่เป็นการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลของเตี่ยครั้งที่ ๓ ครั้งแรกเป็นการเจาะคอเพื่อตัดเอาก้อนเนื้อร้ายในหลอดลมออก เตี่ยหายใจทางคอตั้งแต่นั้นมา ครั้งที่ ๒ เป็นการผ่าท้องเอากระดูกปลากระพงชิ้นใหญ่ที่เสียบกระเพาะออก และนี่-ครั้งที่ ๓ ในวัย ๙๓ ของเตี่ย อาการโรคหัวใจและวัยชรา มันรุมเร้าเตี่ยเสียจนร่างกายเหมือนจะไม่รับรู้ใดใดทั้งปวงอีกแล้ว ผมหันดูแม่ ดวงตาแม่บอบช้ำสีหน้าหม่นหมอง และผมก้มมองขาตนที่เข้าเฝือกขาวผ่อง มีเพื่อนที่เป็นนักหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นคนหนึ่งถ่ายรูปที่เกิดเหตุคืนนั้น และยืนยันว่าผมลอยไปไกลประมาณ ๕๐ เมตร! แม่อุทานว่าเดชะบุญที่ยังมีชีวิตอยู่รอดมาได้ คำอุทานนั้นบาดลึกเข้าในหัวใจผม หากคืนนั้นผมไม่สวมหมวกกันน็อค นั่นหมายความว่าสมองบางส่วนของผม คงออกมาเต้นตุบๆข้างๆใบหูซ้ายเป็นแน่ และหากผมไม่ดื่มเลย หรือดื่มให้น้อยกว่านั้น ผมคงไม่ต้องเข้าเฝือกมายืนเงียบๆมองแม่พยาบาลเตี่ย เป็นโรงพยาบาลเอกชนก็จริง แต่พยาบาลและหมอไม่ใช่จะมาเฝ้าพยาบาลเตี่ยได้ทั้งวันทั้งคืน เตี่ยมองดูเพดานนิ่งอยู่อย่างนั้น อาจกำลังหวนคิดไปถึงแผ่นดินใหญ่ ที่จนบัดนี้ผมยังไม่สามารถพาแกไปเที่ยวบ้านเกิดได้เลย หากผมเอาถ่านสักนิด รับผิดชอบการงานสักนิด หรือไม่ก็เรียนให้มันจบมีงานการมั่นคงแข็งแรง ด้วยอายุ 35 ปัจจุบันก็คงเก็บหอมรอมริบเป็นค่าเดินทางสู่มาตุภูมิของเตี่ยได้ ผมกวาดสายตามองขวดเบียร์เกลื่อนกลาดเต็มห้อง นึกเล่นๆว่าหากเก็บมันเอาไว้ในรูปแบบของเงินฝาก ผมคงมีเงินมากมายเพียงพอจะซื้อบ้านสักหลังไว้ทำมาหากิน หลังจากพาเตี่ยเที่ยวแผ่นดินใหญ่จนอิ่มหนำ
แดดตะวันตกค่อยๆราลง ผมกระเผลกเดินค้ำไม้เท้าเข้าห้อง
ความรู้สึกผิดยิ่งรุนแรงขึ้นทุกขณะ ผมคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ บางที-บางทีการอาบน้ำเย็นๆ มันคงพอช่วยระงับความร้อนรุ่มหัวใจที่กำลังระงมด้วยเสียงร้องไห้ได้บ้างกระมัง&
Relate topics
- งาน ignite hatyai
- นิยายเล่มใหม่ครับ
- ป า น สี แ ด ง ! ! ๗ ( แ ป้ ง ใ น ถั ง น ว ด )
- ป า น สี แ ด ง ! ! ๖ ( แ ป้ ง ใ น ถั ง น ว ด )
- ป า น สี แ ด ง ! ! ๕ ( แ ป้ ง ใ น ถั ง น ว ด )
- ป า น สี แ ด ง ! ! ๔ ( แ ป้ ง ใ น ถั ง น ว ด )
- ป า น สี แ ด ง ! ! ๓ ( แ ป้ ง ใ น ถั ง น ว ด )
- ป า น สี แ ด ง ! ! ๑ ( แ ป้ ง ใ น ถั ง น ว ด )
- ทำความรู้จักกับผมสักนิด