2-6 ธันวาคม ผมจะไปเกาหลีใต้ ใครอยากได้หิมะหรือสาวเกาหลีบ้างครับ?
จะว่าขี้อวดขี้เห่อก็ว่าไปเถอะครับ เพราะผมตื่นเต้นจริงๆที่ได้ไปต่างประเทศ เกิดมาชาตินี้แม้แต่ฝันก็ยังไม่เคย นอกจากไม่รู้จะสื่อสารกับเขายังไง ด้วยตนเองไม่ใส่ใจเรียนมาแต่เด็ก ก็ยังมีเรื่องจนปัญญาจะไปด้วยนี่แหละ เมื่อสักเดือนก่อน เพื่อนชื่อเจี๊ยบ เป็นนักดนตรีวงกอและ และเป็นครู กศน. อยู่ที่รัตภูมิ ได้มาเยี่ยมเยียนและถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ คำถามหนึ่งของเขาก็คือในแต่ละปีผมได้ไปเที่ยวไหนบ้าง? เที่ยวในความหมายเที่ยวจริงๆ ไม่มีงานใดๆไม่เป็นวิทยากร ไม่ไปเยี่ยมญาติ ไม่อะไรทั้งสิ้น เที่ยวก็คือเที่ยว ผมตกใจมาก เมื่อนึกขึ้นได้ว่านับ 20 ปีมานี้ผมเที่ยวน้อยมาก แทบจะจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่านอกจากเกาะเหลาเหลียง ตรัง แล้ว ผมได้ไปไหนบ้าง? เขาถามต่อว่า แล้วผมจะเอาอะไรมาเขียน? คำถามนี้ผมตอบได้ทันทีโดยไม่ต้องคิด ว่าถนนละม้ายสงเคราะห์หน้าบ้านผมนี่แหละ คุณและใครอื่นก็ไม่รู้จักมันดีเท่าผม เขียนจนตายก็ไม่หมด โดยเฉพาะเรื่องของซ้อเหงี่ยม อีกเจ๊นรกข้างบ้าน
ผมช่วยงานที่ร้านตั้งแต่ยังเด็ก ทำเท่าที่จะทำได้ ตอนวัยรุ่นก็ติดเพื่อนเหมือนกัน แต่ที่บ้านเป็นครอบครัวที่เคร่งวินัย (เหตุนี้จึงทำให้ผมปฏิเสธวินัยเสมอมา ฮา) จึงไม่เคยได้ไปเที่ยวไหนกับเพื่อนๆเลย อายุ 15-16 ก็หัดทำเส้นบะหมี่ ไม่ทัน 20 ก็ลวกหมี่ขายได้ ยายเคยพูดว่ามีผมคนเดียวเหมือนมีคนงานทั้งกองทัพ ความที่ทำงานเร็ว ดี และสะอาด (ไม่อายไม่เขินครับ เพราะจริง) มีช่วงเรียน ม.ปลาย ที่สงขลา กับที่รามฯ เท่านั้นที่ผมห่างบ้าน เป็นช่วงที่ชีวิตวัยรุ่นผมเบิกบานสดใสเต็มที่ แต่ก็ค่อนข้างหมิ่นเหม่ต่อการเสียผู้เสียคนไม่น้อย บางทีการอยู่กับพอ่แม่มาตลอด มันก็คล้ายๆเป็นห่วงกังวลให้เราต้องใฝ่ดีบ้าง(มั้ง)
เอาล่ะเข้าเรื่องๆ-
ดังนั้นการได้ไปเกาหลีครั้งนี้ ผมจึงตื่นเต้นดีใจล้นพ้น ไม่ได้คลั่งเกาหลีแบบวัยรุ่นหรอกครับ แต่ได้เที่ยวในตัวด้วย แม้จะไปทำงานก็เถอะ คืองี้-
ม.ฮันกุ๊ก ที่ ดร.พิเชฐ แสงทอง สอนภาษาไทยอยู่ที่นั่น ได้แจ้งมายังนายกสมาคมนักเขียน เพื่อช่วยติดต่อผมกับพี่ไวท์ ศักดิ์ศิริ มีสมสืบ ให้ร่วมงานกวีที่ สนพ.บทกวีเล็กๆแห่งหนึ่งจัด ในโครงการที่ส่งมาเป็นภาษาไทยนั้นบอกว่า เพื่อกระชับความสัมพันธ์(ประมาณนี้)ระหว่างกวีเกาหลีกับกวีอาเซียน( 10 ประเทศ) โดยเจาะจงชื่อมาตามที่กล่าวแล้ว
ผมตอบตกลงทันทีโดยไม่ต้องคิด 55555 พร้อมส่งประวัติและรูปถ่ายที่หล่อที่สุดเท่าที่คิดว่าหล่อแล้วไปให้ พลัน-ผมก็ผิดสังเกตุอะไรบางอย่าง
เขาบอกว่าจัดโดน สนพ.บทกวีเล็กๆ แต่เมื่อดูรายชื่อแล้วก็น่าตกใจที่ สนพ. ของเขาคงร่ำรวยมหาศาลแน่ นั่นคือ กวี 2 คนจาก 10 ประเทศอาเซียน รวมเป็น 20 คนล่ะ กวีเกาหลีอีก 20 กว่าคน รวมเป็น 40 กว่าล่ะ และกวีท้องถิ่นของเขาอีก 200 กว่าคน!
งานขนาดนี้ แค่ค่าเครื่องที่พักสำหรับกวีอาเซียนก็คงหลายอยู่ อีกทั้งงานมี 5 วัน (2-6) ต้องใช้งบที่เยอะมากเป็นแน่ ผมไม่ค่อยเชื่อนักว่าจัดโดย สนพ. เพียงลำพัง รัฐบาลของเขาน่าจะมีส่วนร่วม และต้องเป็นส่วนร่วมที่ใหญ่โตพอจะจัดงานขนาดนี้ได้
เพราะเมื่อหวนระลึกถึงเกาหลีใต้ในขณะที่ผมเรียนรามฯ ปี1 พ.ศ. 2529 พบว่าขณะนั้นเกาหลีใต้ยากจนมาก เป็นประเทศล้าหลัง มีน.ศ.เดินขบวนประท้วงรัฐบาลรายวัย แล้วทางการก็ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุม ซึ่งมักมีคนตายในเหตุการณ์เสมอ
ย้อนกลับไปจาก ปี 2529 จากปี 2520 ที่เกาหลีใต้เริ่มส่งฟุตบอลแข่งในรายการใหญ่ๆในภูมิภาคนี้ เกาหลีใต้ จีน ญี่ปุ่นล้วนแล้วเป็นหมูสนาม มีหน้าที่ตำแหน่งแจกแต้มให้ทีมอื่น จนไทยต้องส่งวิทยา เลาหกุล วรวรรณ ชิตวาณิชย์ ไปสอนฟุตบอล (ตอนนั้น วรวรรณกับวิทยา เพิ่งกลับมาจากลีกบุนเดสลีกา เยอรมัน) ฟุตบอลเป็นกีฬาที่สัดว่าชาติใดเจริญและนวยแล้วได้เป็นอย่างดี
จากปี 2529 ผ่านมา 20 กว่าปี เกาหลีใต้ผิดหูผิดตาไปมาก ผมเริ่มทบทวนช้าๆถึงการสร้างชาติของเขา ก็พบว่านับแต่กฏหมายเอารัฐมนตรีเข้าคุกข้อหาฉ้อโกงและใช้เส้นสายได้มีผลกำหนดใช้ และเจ้าหน้าที่ของเขาดำเนินงานอย่างเอาเป็นเอาตาย นับแต่นั้นเกาหลีใต้ก็เริ่มมีชื่อขึ้นมา
หลังจากที่นักการเมืองเกาหลีใต้ชกต่อยในสภาตามหลังไต้หวัน(ไทยตามมาอีกที) ผมเห็นความพยายามของเขาที่จะเป็นญี่ปุ่นให้ได้ นั่นคือ ญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้พบกับหายนะพินาศยับเยิน กว่าจะรวบรวมเรี่ยวแรงสร้างชาติขึ้นใหม่ได้ก็ต้องลงแรงไปเยอะ ทำทุกวิถีทาง โดยเฉพาะการ์ตูน(มังงะ) ที่ญี่ปุ่นนับเป็นวัฒนธรรมหนึ่ง
ยุค '60 อเมริกาได้ "ล่าอาณานิคมใหม่" ด้วยการส่งออกวัฒนธรรม ผ่านทางเพลงร็อกแอนด์โรล ฮอลลีหวูด กางเกงทรงเดฟและมอส จนวัยรุ่นขณะนั้นอยากเป็นมะกันไปตามๆกัน ญี่ปุ่นเล็งเห็นตรงนี้ จึงได้ส่งออกการ์ตูน และที่สำคัญ ได้ทำการก๊อปปี้สินค้าแบรนด์เนมทุกอย่างของอเมริกา สมัยผมยังเด็ก ใครใช้ของญี่ปุ่นนี่แสดงถึงฐานะยากจนมากๆ จนกระทั่งญี่ปุ่นแข็งแกร่งขึ้น และสร้างแบรนด์เนมของตนเอง คงไม่ต้องบอกนะครับว่ายี่ห้ออะไรบ้าง
เ้กาหลีก็เช่นกัน เมือ่เห็นโลกอยากเป็นมะกัน ต่อมาอยากมีเมียคิกขุอาโนเนะ เพราะคลั่งญี่ปุ่น เกาหลีก็ส่งแดจังกึมมาชิมลาง แล้วจากนั้น ธุรกิจวัฒนธรรมเกาหลีก็เป็นล่ำเป็นสัน เขาจะสร้างหนังสักเรื่อง เขาต้องวิจัยมาแล้ว ว่าอย่างไรจึงจะทำให้คนประเทศอื่นดูแล้วอยากเป็นเกาหลี วันก่อนผมดูไทยไฟลต์ทางช่อง 3 พอถึงคู่ของเกาหลีใต้กับประเทศไหนจำไม่ได้แล้ว นักมวยเกาหลีต่อยไม่เป็นสรรพรสเลย หน้าตาก็ไม่เอาไหน แพ้หมดรูป แต่น้าแนกที่เป็นพิธีกรร่วมกับสมจิตร จงจอหอ ได้ถามดารานางแบบกลุ่มหนึ่ง ซึ่งล้วนเชียร์เกาหลีทั้งสิ้น ทั้งๆที่ชกไม่เอาไหนก็ยังเชียร์ และเปล่งเสียงใส่ไมค์เป็นภาษาเกาหลี มีคนที่รู้บอกผมว่าความหมายของเธอคือฉันรักคุณ! จนน้าแนกถึงกับพูดว่าอิทธิพลเกาหลีมีอำนาจต่อสาวไทยจริงๆ และพูดติดตลกต่อว่าหน้าตาแตกยับเยินอย่างนี้ไม่เป็นไร เพราะเกาหลีเป็นประเทศศัลยกรรม ตรงนี้ผมไม่ฮาครับ เพราะรู้สึกว่าเราตกเป็นเมืองขึ้นของเกาหลีไปเรียบร้อยแล้ว
พร้อมกันนั้นเกาหลีก็ทำการก๊อปปี้ทุกอย่างจากญี่ปุ่น จนญี่ปุ่นโกรธมากถึงกับประกาศประณามเกาหลีโดยไม่เอ่ยชื่อ เกาหลีไม่สนใจ ทำการก๊อปต่อไปอย่างมีความสุข พร้อมกับคิดสร้างแบรนด์ของตนเองอย่างจริงจัง จนกระทั่งมีซัมซุง ฮุนได และอีกมากมาย ญี่ปุ่นเห็นท่าไม่ดี โดยเฉพาะการส่งออกวัฒนธรรม เพราะรู้ตัวว่ากำลังสูญเสียเมืองขึ้นให้กับเกาหลีไปเยอะแล้ว จึงได้พยายามคิดกระแสแฟชั่นใหม่หวังจะตีเมืองขึ้นคืนกลับ ด้วยการสร้างกระแสคอสเพลย์ แต่แป๊ก เพราะมีคนร่วมมือน้อยมาก อีกทั้งที่น่าเจ็บใจที่สุดก็คือ มีบางคนจากบางประเทศแต่งตัวประกวดคอสเพลย์ของเกาหลีไปซะงั้น วงดนตรี wow wow ถอยไป X japan ถอยไป loudness ถอยไป k-pop มาแร้วววววววว
มีเหตุผลอะไรที่เกาหลีต้องสร้างสัมพันธ์กับนักเขียน-กวีอาเซียน?
คิดได้ตอนนี้ก็คือเพราะเกาหลีใต้ยังไม่มีนักเขียนรางวัลโนเบล แต่จีนมี ญี่ปุ่นมี เยอะด้วย การพยายามแข่งในทุกด้านกับจีนและญี่ปุ่นของเกาหลีดำเนินไปอย่างร้อนแรง มหาอำนาจใหม่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว
ผมชื่นชมเกาหลีใต้ก็ตรงนี้ละครับ ที่เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาประเทศของเขาในทุกด้าน การสร้างวัฒนธรรมของเขาให้แข็งแกร่งและส่งออก ทั้งที่เขาเองไม่มีวัฒนธรรมที่มีลักษณะเฉพาะเลย
แต่เขาก็สร้างขึ้นมาจนคนทั้งโลก โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นไทยอยากเป็นเกาหลี
เรียกในส่วนของเขาว่าชาตินิยมครับ
คำชาตืนืยมนี้ผมไม่ทราบว่าดีหรือไม่ เพราะบ้านเราพอพูดชาตินิยมก็พาไปหาฮิตเลอร์กับมุสโสลินีท่าเดียว
เรียกในส่วนของเมืองขึ้น หรือคนรับวัฒนธรรมของเขา
ก็ต้องเรียกว่าคลั่งชาติอื่นครับ
ก็ไม่รู้อีกนะแหละว่าดีหรือไม่ดี เพราะเมื่อย้อนกลับไปยุค '60 ปัญญาชนปัจจุบันก็คลั่งมะกันเป็นแถว บางส่วนก็หันไปคลั่งรัสเซียและจีน โดยเฉพาะเช กูวารา จน พคท. ต้องสร้าง จิตร ภูมิศักดิ์ ขึ้นมาเพื่อเป็นไอดอลปฏิวัติ ผมใช้คำว่าสร้างจิตร ภูมิศักดิ์ ขึ้นมาครับ เพระาตอนนี้รับรู้กันวงกว้างแล้ว ว่าจิตรไม่เคยมีความสำคัญในระดับแกนนำกรรมการกลางของ พคท. เลย เป็นแค่เอกชนวีรชน(หรือวีรชนเอกชนหว่า จำไม่ได้แล้ว) ของ น.ศ. ในยุคนั้น
แล้วมองดูบ้านเราอีกครั้งนึงสิครับ....