เวียดนาม:นักต่อสู้ผู้ไม่เคยแพ้?

by ภู @9 ม.ค.49 13.45 ( IP : 202...82 ) | Tags : กระดานข่าว

“เวียดนามไม่เคยแพ้” วลีนี้หากจะเป็นคำพูดจากปากของคนเวียดนามเองก็ไม่ควรปรามาส ในบรรดาประเทศต่างๆ ในโลกซึ่งได้รู้จักกับสงครามมาจนคิดว่าเพียงพอแล้วนั้น จะมีสักกี่ประเทศกันเล่า ที่ประชาชนต้องพยายามหาหนทางที่จะอยู่รอดในสงครามด้วยความอดทนอย่างสาหัสเท่ากับประเทศเวียดนาม ภายหลังยุคล่าอาณานิคม ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือแม้กระทั่งภายหลังสิ้นสุดยุคสงครามเย็น เด็กๆ และผู้คนในประเทศนี้นั่นเองที่เติบโตขึ้นมาในสภาวะซึ่ง “ไม่เคยว่างเว้นสงคราม” แม้แต่ค่าสกุลเงินด่องซึ่งหาใช้มาด้วยความยากลำบากจากงานกรำชีวิตคลุกควันปืนและฝนเหลือง ก็ยังเคยต่ำค่าประสบอัตราเงินเฟ้อกว่า 700 เปอร์เซ็นต์ นั่นคือมูลค่าเงินเท่ากับเศษกระดาษที่ประชาชนเวียดนามสู้อุตส่าห์หามาจากการขุดรูอยู่

ยิ่งเมื่อมีการคำนวณไว้ด้วยว่าน้ำหนักระเบิดที่สหรัฐอเมริกาเคยบอมลงบนแผ่นดินบางแห่งของเวียดนามนั้น ใช้ปริมาณเฉลี่ยเท่ากับระเบิดหนักถึง 7 ตัน ต่อคนเวียดนามเพียงหนึ่งคน ดังนั้น ใครจะกล้าปรามาสได้เล่าเมื่อมีใครในเวียดนามสักคนจะเอ่ยวลีออกมาว่า “เวียดนามไม่เคยแพ้” การมีชีวิตอยู่นั่นเอง คือชัยชนะของชาวเวียดนาม

แต่ ณ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน เราต่างได้เห็นว่าเวียดนามกำลังจะทำในสิ่งซึ่งยิ่งใหญ่ไปกว่าการมีชีวิตรอดไปอีกไกลแสนไกล ด้วยอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ(GDP)ถึงร้อยละ 7 ต่อปี ดึงดูดให้นักลงทุนจากต่างชาติเข้าไปร่วมถือหุ้นและรับส่วนแบ่งแห่งความเจริญเติบโต จนเราเผลอคิดกันว่าหรือประชาชนเวียดนามที่เคยทุกข์ยากจะหมดสิ้นไปจากแผ่นดินแห่งนั้นแล้ว กระทั่งกรณีตัวอย่างการพัฒนาตัวเองจากประเทศที่นำเข้าข้าวอาหารหลักของชาวอุษาคเนย์ กลายเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากไทย ชวนให้จินตนาการถึงนวัตกรรมแห่งเทคโนโลยี และเทคนิคการตัดต่อพันธุวิศวกรรม(GMOs) อันก้าวล้ำจากมหามิตรผู้เคยเป็นศัตรูอย่างสหรัฐอเมริกา หรือแม้กระทั่งจีน พญามังกรของโลกที่อยู่ติดรั้วบ้าน

ใครที่จินตนาการเช่นนั้นได้ ย่อมเป็นเพราะไม่เคยรู้จักกับคนเวียดนามแน่ๆ


ในบรรยากาศอึมครึมอันหนาวเหน็บ ท่ามละอองฝนที่โปรยปรายตลอดเดือนธันวาคม นี่คือฤดูมรสุมของทะเลจีนใต้ซึ่งส่งผลให้เกิดอุทกภัยขึ้นทุกปีในตอนกลางของประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะแถบจังหวัดดานัง ที่ตั้งของท่าเรือน้ำลึก และเป็นเขตพื้นที่เกษตรกรรมอันสำคัญของประเทศ ข่าวคราวผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยนับหลายสิบรายเผยแพร่ผ่านสถานีข่าวต่างประเทศ ข่าวการระบาดของไข้หวัดนกในสัตว์ปีกด้วยเช่นกัน กระนั้นในระหว่างความเลวร้ายของภัยธรรมชาติที่กำลังโหมกระหน่ำ ทุกวันเรายังได้เห็นเกษตรกรชาวเวียดนามออกไปทำงานกลางแจ้งเป็นปรกติราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่กลัวความผิดหวัง และเหมือนไม่กังวลกับความตายที่อยู่ใกล้เพียงหายใจรดผิวหน้า

ประวัติศาสตร์การต่อสู้อันยาวนานของเวียดนามกับมนุษย์ผู้รุกราน สิ่งนั้นหรือเปล่าที่ทำให้ชาวเวียดนามกล้าหาญพอที่จะต่อกรกับภัยธรรมชาติ บางทีในระหว่างอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวันของพวกเขา อาจเป็นที่มาของคำตอบให้เราทราบได้ว่าระหว่างภัยมนุษย์กับภัยธรรมชาตินั้น สิ่งใดน่ากลัวกว่ากัน

ภาพท้องนากว้างไกลสุดลูกตาในพื้นที่ภาคกลางของเวียดนาม ในนั้นมีแรงงานคือคนกับควาย อุปกรณ์หว่านไถอันประกอบด้วยเทียม แอก คันไถ หนึ่งคนจูงควาย หนึ่งคนไถนา อุปกรณ์จำเป็นในการงานซึ่งเหนือไปจากนี้ก็คือเครื่องตรวจหากับระเบิด!

แม้สงครามเวียดนามจะสิ้นสุดนับตั้งแต่สหรัฐอเมริกาถอนทหารออกไปในปี1975 แต่ภัยจากอาวุธเคมีหรือ “ฝนเหลือง” ก็ยังส่งผลกระทบต่อผู้คนและพืชพรรณในเวียดนามต่อไปอีกนับสิบปี ในบรรดาของที่ระลึกซึ่งหลงเหลือมาจากยุคสงครามเวียดนาม กับระเบิดเปี่ยมประสิทธิภาพจำนวนไม่น้อยยังถูกฝังไว้ใต้ดิน และมันยังคงทำหน้าที่กับดักแห่งสงครามอันซื่อสัตย์อยู่จนทุกวันนี้

จากแรงงานแห่งคนกับควายผู้ไม่หวั่นเกรงความบ้าคลั่งของคลื่นลมในทะเลจีนใต้ สู่ผลิตผลและความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด ภายหลังการเปิดประเทศตามนโยบายโด่ยเหมยนับแต่ปี 1986 เป็นต้นมา ชาวเวียดนามจำนวนไม่น้อยได้มุ่งไปแสวงโชคในเมืองใหญ่ทางภาคใต้อย่างโฮจิมินห์ซิตี้(หรือ “ไซ่ง่อน” เดิม) กับอีกส่วนก็เดินทางขึ้นไปทิศเหนือสู่ฮานอย แต่การเดินทางต่อสู้กับโชคชะตาในยุคสมัยนี้ก็ยังนับว่าดีกว่าการเดินทางแสวงหาแผ่นดินใหม่ในนาม “โบ๊ทพีเพิ่ล” ซึ่งเคยใช้ท่าเรือน้ำลึกจังหวัดดานังนั่นเองเป็นประตูทะเลสู่โลกใหม่ หลายคณะได้ไปเผชิญชีวิตไกลถึงสหรัฐอเมริกา แต่ก็มีเรือหลายลำเหมือนกันที่ยังคงจมนิ่งใต้ทะเลเป็นซากเหยื่อของคลื่นลมมรสุมในทะเลจีนใต้

“ฉันตกใจกลัวลาน เมื่อคิดถึงว่าต้องอยู่ต่อไปในเรือปีศาจลำนี้ ฉันร้องไห้เสียงดังเป็นเวลานาน แต่ไม่มีเสียงขานรับ รอบตัวฉันไม่มีอะไรเลย นอกจากความเงียบเวลาค่ำที่น่าขนลุกขนพอง ฉันไม่เคยกลัวผีหรือปีศาจ ไม่เคยกลัวแม้แต่ศพของควันที่นอนอยู่ข้างๆ ฉัน ฉันกลัวความเปล่าเปลี่ยวต่างหาก ใครเล่าจะมาพูดคุยกับฉัน ใครจะมาเป็นเพื่อนฉันจับนกนางนวล ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งร้องไห้ แสงแดดส่องเข้ามาตรงหน้าของควัน ใบหน้าดูซีดขึ้น แก้มยิ่งตอบยุบ ฟันก็ยิ่งเผยอ ฉันรวบกำลังยันร่างลุกขึ้นนั่ง จับเท้าทั้งสองที่เย็นชืดของศพไปที่ดาดฟ้า ผลักลงทะเลไป

“ฉันหาเลี้ยงตัวฉันเอง ปกติฉันตื่นดึกจับนกนางนวล มีนกบางตัวที่แข็งแรงและต่อสู้ จิกแขนฉันจนผิวหนังหลุดเป็นชิ้นติดจงอยปาก แต่ฉันไม่ยอมปล่อย เมื่อฉันรำลึกถึงพระพุทธเจ้า รำลึกถึงเทวดา ฉันก็บนบานว่าจะถวายไก่สักตัวหากมีเรือมาช่วยชีวิตฉันไว้ บางวันฉันจับนกไม่ได้สักตัว ต้องนอนท้องว่าง ฉันฝันไปว่าได้กินปลา ไม่กลัวตายอีกแล้ว ฉันอยากตาย แต่ก็ไม่ตาย ฉันเชื่อว่าจะต้องมีเรือมาช่วย เฝ้าแต่สวดมนต์วิงวอนว่า—ถ้าฉันบาป ขอให้ตายไปเดี๋ยวนี้เถิด หากฉันยังมีบุญ ขอให้มีเรือมาสักลำ อย่าปล่อยให้ฉันทรมานต่อไปเช่นนี้อีกเลย”(บรุซ แกรนท์,ธรรมรงค์ น้อยคูณ:แปล.คนเรือ.กรุงเทพฯ.หน้า71-72 ไม่ทราบปีที่พิมพ์)

มีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่อพยพทางบกในเส้นทางภาคกลาง ผ่านเขตของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว คือจังหวัดสะหวันนะเขต จังหวัดเวียงจันทร์ และท่าแขก ก่อนจะข้ามโขงสู่จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดหนองคาย และจังหวัดสกลนคร ของประเทศไทย พร้อมกับการรับสภาพ “ญวนอพยพ” ซึ่งรัฐไทยอนุญาตให้อาศัยอยู่ได้ใน 8 จังหวัด ได้แก่ หนองคาย อุดรธานี สกลนคร นครพนม อุบลราชธานี ปราจีนบุรี สุราษฎร์ธานี และพัทลุง นับตั้งแต่ปี 1960 เป็นต้นมา และภายหลังยังถูกกระทำทางการเมือง เมื่อรัฐไทยฝักใฝ่สหรัฐอเมริกา และปั้นภาพปีศาจคอมมิวนิสต์ขึ้นมาใส่ร่างคนญวน ทำให้คนไทยต่างพากันหวาดระแวงชาวญวน (เวียดนาม) ลุกลามบานปลายกลายเป็นเหตุการณ์ปิดล้อมยิงอันเลวร้ายที่สุดในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 1976 ด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็นแหล่งซ่องสุมของญวนคอมมิวนิสต์

แม้ลี้ภัยจากประเทศเวียดนามมาอยู่ไกลแสนไกล ยอมถูกยักย้ายถ่ายเทโดยอำนาจรัฐไทย ให้กลุ่มผู้นำไปอยู่ในสองจังหวัดภาคใต้สุราษฎร์ธานี และพัทลุง คนเวียดนามก็ยังไม่พ้นถูกรังแกและใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการอยู่ในอำนาจโดยมิชอบของนักการเมืองไทย พร้อมกับที่จังหวัดซึ่งรัฐไทยนี้เองเป็นผู้อนุญาตให้ “ญวนอพยพ” สามารถอยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง ก็ถูกขีดวงเป็นพื้นที่สีแดง กองทหารหลายคันรถยีเอ็มซีพร้อมอาวุธเต็มพิกัดถูกส่งเข้าไปปราบปราม โดยหลายครั้งชาวบ้านตายเปล่าทั้งที่ไม่มีการไต่สวนแน่ชัด

กรณี “ถังแดง” การเผาคนทั้งเป็นภายใต้ข้อกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ในปี 1979 ที่จังหวัดพัทลุง ก็เกิดขึ้นด้วยความเชื่อมโยงเดียวกัน และแท้แล้วก็คือการปราบปรามของรัฐโดยไร้เหตุผลในยุคนั้นต่างหาก ที่สร้างชาวบ้านธรรมดาให้จับปืนเข้าป่ากลายเป็นสหายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

กล่าวสำหรับความเป็นคอมมิวนิสต์ภายในประเทศเวียดนามเองนั้น ยุคหนึ่งก็ดำรงอยู่ภายใต้เงื่อนไขของ “สงครามตัวแทน”แห่งสองขั้วมหาอำนาจโลก ประเทศต้องแยกออกเป็นสองส่วนคือเวียดนามเหนือ (คอมมิวนิสต์-โซเวียต) กับเวียดนามใต้(ประชาธิปไตย-สหรัฐอเมริกา) โดยมีเขตปลอดทหาร เส้นขนานที่ 17 เป็นแนวแบ่งคนเวียดนามออกจากกัน

จนอาจกล่าวได้ว่า ไม่ว่าชนเวียดนามจะอยู่ที่ใด ก็มักถูกแทรกแซงโดย “อำนาจอื่น” อยู่ตลอดเวลา

เส้นขนานที่ 17 เป็นเขตปลอดทหาร(DM ZONE) ซึ่งตั้งอยู่บนถนนหมายเลข 1 ใกล้กับเมืองดองฮา เกิดขึ้นจากการประชุมสันติภาพที่นครเจนีวา ในปี 1954 ตกลงให้มีการแบ่งเขตแดนระหว่างเวียดนามตอนเหนือที่ยึดครองโดยเวียดมินห์ กับสาธารณรัฐเวียดนามทางใต้ แต่ละด้านของเส้นขนานนี้มีเขตแดนกว้าง 5 กิโลเมตร มีจุดเชื่อมคือสะพานข้ามแม่น้ำเบนไห่ ซึ่งได้ถูกระเบิดทำลายในปี 1975 หลังเวียดนามเหนือเข้ายึดครองเวียดนามใต้ได้สำเร็จ ก่อนจะสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งในปี 1976

ว่ากันว่าในยุคสงครามเวียดนามนั้น ด้วยเส้นขนานที่มีความกว้างเพียง 5 กิโลเมตรนี้เองที่ได้แบ่งแยกและพลัดพรากพี่น้องกระทั่งคนรักชาวเวียดนามออกจากกัน เวลา 20 ปีพอดีก่อนที่สะพานเบนไห่จะถูกระเบิด แท้จริงก็คือเวลาแห่งการพรากจากและความโหยหา ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงระเบิดปูพรมดังขึ้นจากอีกฝั่งเส้นขนาน ความเจ็บปวดก็คือชาวเวียดนามต่างไม่มีสิทธิ์รู้ว่าคนที่พวกเขารักซึ่งอาศัยยังอีกฟากจะอยู่หรือตาย เวลาตั้ง 20 ปี สำหรับบางคนมันกลับกลายเป็นการรอคอยเพื่อได้ซบหน้าลงเหนือหลุมฝังศพคนที่รัก และกลายเป็นต้นทุนแห่งความเย็นชาเมื่อต้องเผชิญกับการร้องขอความช่วยเหลือกันในหมู่ผู้รอดชีวิต บางคนเริ่มเห็นว่ายามทุกข์ทนแล้วไม่มีผู้ใดช่วยเขาหรือเธอได้

ทว่ากับบางคน รักระหว่างรบก็เกิดขึ้น...

ทางตะวันตกของถนนหมายเลข 1 ในพื้นที่ติดกับทะเล และไม่ไกลนักจากเส้นขนานที่ 17 ปี 1965 จรวดของกองทัพเรือที่ 7 สหรัฐอเมริกา ได้ระดมยิงหมู่บ้านวินมอกซ์ และถูกโจมตีซ้ำจากฐานหยกเมียวเมย์ การเผชิญกับการโจมถูกโจมตีอันหนักหน่วง ทำให้ชาวบ้านต้องหาวิธีอยู่รอดด้วยการขุดอุโมงค์แคบๆ ซึ่งเริ่มขุดนับตั้งแต่ปี 1966 และใช้เวลาถึง 2 ปีกว่าจะสำเร็จ หลังจากนั้นชาวบ้านวินม็อกซ์จึงได้ชวนกันลี้ภัยเข้าไปอยู่ในอุโมงค์ที่มีความชันถึง 3 ชั้น ความยาวกว่า 2,034 เมตร และมีความลึกต่ำสุดคือ 22 เมตร ข้อสำคัญคือมันเป็นอุโมงค์ขนาดเล็กและแคบชนิดที่ทหารอเมริกันซึ่งมีขนาดตัวใหญ่กว่าคนเวียดนามโดยเฉลี่ยไม่สามารถมุดเข้าไปได้

ภายในอุโมงค์ยังมีการแบ่งซอยเป็นห้องขนาดเล็กๆ หลายห้อง มีประตูเข้าออก 13 ประตู โดยเป็นทางออก 7 ทางสู่ชายหาดริมทะเล เล่ากันว่าเคยมีชาวบ้านเวียดนามอาศัยอยู่ในอุโมงค์แห่งนี้สูงสุดถึง 600 คน โดยชาวบ้านหลายคนได้อาศัยฝากชีวิตไว้กับอุโมงค์คับแคบนี้เป็นเวลาถึง 6 ปี

สิ่งที่น่าทึ่งไปกว่านั้นก็คือด้วยสภาพที่มืดอับและคับแคบในอุโมงค์วินม็อกซ์นี้ ภัยสงครามหาได้พรากเอาธรรมชาติอันงดงามของความรักที่มนุษย์มีต่อกันไปได้ ดังนั้นในระหว่างปี 1965-1973 จึงมีทารกน้อยๆ คนแล้วคนเล่ากำเนิดขึ้นภายในอุโมงค์นี้ถึง 17 คน และมี 2-3 คนที่กลายเป็นมัคคุเทศก์นำเที่ยวอุโมงค์แห่งนี้ในเวลาต่อมา หลังสิ้นสุดสงคราม

การเดินทางสู่เวียดนาม นอกจากเราจะได้เห็นเศษซากแห่งสงคราม ร่องรอยอาณานิคม และการสู้งานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของบรรดาชาวเวียดนามทั้งหลายแล้ว ประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยว่างเว้นสงครามอาจทำให้หลายคนลืมคิดไปว่า บนแผนที่รูปตัวเอสซึ่งอาณาเขตติดกับทะเลยาวเหยียดถึง 3,440 กิโลเมตร จะมีการติดต่อและสรรสร้างอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ของตนขึ้นมาชนิดที่ไม่ด้อยไปกว่าอารยธรรมของชนชาติใดๆ เลยทีเดียว

เฉพาะแต่ในเขตภาคกลางของเวียดนาม ก็มีทั้ง “เว้” และ “ฮอยอัน” เป็นมรดกโลกถึง 2 แห่งแล้ว ยังไม่นับพิพิธภัณฑ์หมี่เซิน ซึ่งอยู่ห่างจากจังหวัดดานังไปทางทิศใต้ประมาณ 60 กิโลเมตร ที่นั่นเชื่อกันว่าคือศูนย์กลางของอาณาจักรจามปา (ชนดั้งเดิมก่อนถูกเผ่าเวียดยึดครอง) ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 ซึ่งหลักฐานก็คือการพบโบราณสถานและโบราณวัตถุเป็นจำนวนมากนั่นเอง

ด้วยต้นทุนทั้งที่เป็นเศษซากและยังมีลมหายใจ ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวในภาคกลางเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งภายหลังการนำเสนอละคร “ฮอยอันฉันรักเธอ” ในประเทศไทย ประกอบกับการที่เวียดนามเป็นประเทศอาเซียนที่ไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าให้วุ่นวาย ทัวร์ไทยในวันหยุดนักขัตฤกษ์จึงพากันแห่แหนสู่ประเทศเวียดนาม แทนที่ “นครวัด-นครธม” ของประเทศกัมพูชา เนื่องจากในประเทศกัมพูชานั้น คนไทยได้ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองภายใต้การปลุกกระแสชาตินิยม จนกระทั่งเคยมีการเผาสถานทูตไทยมาแล้ว ในกรณีของ “เนียง ประกายพรึก” หรือ “ดาวพระศุกร์” ฉบับ สุวนันท์ คงยิ่ง ซึ่งคงยังไม่มีใครกล้าที่จะลืมเหตุการณ์นั้นในเร็ววัน

ภายใต้เงื่อนไขของการท่องเที่ยว “เว้-ฮอยอัน” 2 เมืองซึ่งเป็นมรดกโลกกลายเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของการเดินทางสู่เวียดนาม ความงามของสาวเมืองเว้ในชุดอ๋าวหญ่าย ผู้บรรเลงดนตรีพื้นเมืองบนเรือมังกรที่ล่องอยู่กลางลำน้ำหอมที่อวลกลิ่นดอกไม้ป่าเริ่มถูกกล่าวขาน นั่นเช่นเดียวกับภาพบ้านเรือนสีสันฉูดฉาดซึ่งผสมกลมกลืนอารยธรรมจากจีน ญี่ปุ่น อินเดีย และเวียดนามเดิมเข้าด้วยกัน ในย่านการค้าเมืองฮอยอันก็สามารถดึงดูดนักสำรวจโลกให้ได้ไปพบกับความตื่นตา

ในทุกวันนี้ หลายคนเลิกตั้งคำถามถึงความโหดร้ายที่เวียดนามต้องผ่านเผชิญนับครั้งไม่ถ้วน พวกเขาเดินทางสู่เวียดนามกลางเพื่อฟังดนตรี ซื้อสินค้าราคาถูก ชมพระราชวังโบราณ และอธิษฐานขอพรในวัดจีนด้วยธูปหนึ่งเดือน

เฝอ-อาหารเวียดนามเลิศรส กลายเป็น “เทรนด์”หนึ่งของนักชิมเท่านั้น พวกเขาเพียงต้องการรู้จักกับรสชาติของเฝอในเวียดนาม หาได้อยากจะรู้จักกับรสชาติแท้ของเวียดนามเช่นที่คนเวียดนามต้องประสบพบเจอทุกเมื่อเชื่อวัน

แม้กระทั่งกับภาพของเจดีย์เทียนหมุในเมืองเว้ วัดแรกของเมืองซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายในการเกิดขึ้นและดำรงอยู่มาจนปัจจุบัน ความสนใจของนักท่องเที่ยวก็หยุดอยู่เพียงการได้ถ่ายภาพตัวเองโดยมีเจดีย์เทียนหมุทรงแปดเหลี่ยมสูง 7 ชั้นเป็นฉากหลัง เพราะสถานะและบทบาทของเจดีย์เทียนหมุในยุคของเมืองมรดกโลก โดยสำคัญคือการเป็นสัญลักษณ์ของ “การมาถึงเว้” เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ภายในวัดเทียนหมุ ถ้าใครจะได้เห็นรถออสตินสีเขียวคันหนึ่ง ซึ่งจอดนิ่งอยู่ในที่เก็บหลายปีเต็มที ไม่ค่อยมีใครถ่ายรูปคู่กับรถคนนั้น แต่ด้วยรถคันเดียวกันนี้ ในช่วงสายของวันที่ 11 มิถุนายน 1963 มันเคยนำพา พระภิกษุมหายานชื่อ ทิก กวาง หยุก ไปนั่งเผาตัวเองกลางเมืองไซ่ง่อน เพื่อประท้วงรัฐบาล โง ดินห์ เงียม ซึ่งเป็นคาทอลิก และใช้ความรุนแรงขัดขวางการฉลองวันวิสาขบูชาของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศซึ่งเป็นชาวพุทธ

แอนโธนี เกรย์ ได้บันทึกประวัติศาสตร์ตอนนี้ไว้ในนวนิยายเรื่อง “ไซ่ง่อน” ของเขาว่า

“รถคันที่บรรทุกพระสงฆ์ชาวพุทธหยุดลงกระทันหันกลางสี่แยก ผู้เดินขบวนกำลังเดินผ่านรถไปด้วยจุดหมายบางอย่าง แล้วกระจายกำลังเรียงรายเป็นวงกลมล้อมหัวมุมถนนทั้งสองสายเอาไว้ ขณะเดียวกัน พระสงฆ์ต่างลงจากรถออสตินสีเขียวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พระสงฆ์รูปหนึ่งเปิดฝาครอบเครื่องยนต์ ชะโงกตัวเข้าไปข้างใน ยกถังพลาสติกขนาด 5 แกลลอน บรรจุน้ำมันเหลวสีดำแล้วค่อยๆ เดินไปกลางสี่แยก หยุดยืนข้าง ทิช กวง ดุ๊ก พระอีกรูปถือเบาะนั่งไปด้วย เมื่อทั้งหมดเดินไปถึงจุดที่กำหนดไว้ เขาวางเบาะลงบนพื้นถนนราดยาง

“ทิช กวง ดุ๊ก ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งบนเบาะในท่าโยคะพับขารองก้น วางมือซ้อนกันบนตัก นั่งนิ่งอยู่พักใหญ่คล้ายเป็นการเข้าฌาณ แล้วเขาลืมตาขึ้น พยักหน้าเรียกบรรดาผู้ช่วยพระสงฆ์ที่ถือถังน้ำมันพลาสติกเริ่มสาดน้ำมันใส่ศีรษะของทิช กวง ดุ๊ก ของเหลวไหลย้อยไปตามคอและไหล่ เปื้อนจีวรสีส้ม เขาเทน้ำมันรดรอบๆ ร่างของดุ๊ก ลมโชยยามเช้าพัดกลิ่นเหม็นของน้ำมันมาทางคนดูบนบาทวิถี และเมื่อคนมุงเริ่มรู้ว่าพวกเขากำลังจะได้เห็นอะไร หลายคนส่งเสียงแสดงความหวาดหวั่นอยู่ในคอ...ท่ามกลางความเงียบที่น่าระทึกใจ ผู้ช่วยของทิช กวง ดุ๊ก วางถังพลาสติกเปล่าบนพื้นไกลออกไปสองสามฟุต แล้วถอยหลังออกไปอยู่ในกลุ่มคนมุง ทิช กวง ดุ๊ก นั่งในท่าเดิมไม่ไหวติงหลายวินาที ฝูงชนเห็นปากของเขาขยับกล่าวคำสวดคำสุดท้าย ก่อนจะขยับมือเล็กน้อยบนตัก

“เปลวไฟลุกฟู่ท่วมตัวเมื่อเขาจุดไม้ขีด มันเต้นระยับอยู่บนศีรษะและไหล่ของเขาราวกับไม่ได้ทำอันตรายใดๆ ในไม่ช้าใบหน้าและจีวรเริ่มไหม้เกรียมเป็นสีดำ แม้กระนั้นก็ยังไม่มีเสียงลอดจากปากของเขาเลย เขายังคงนั่งนิ่งในท่าเดิมเช่นนั้น...เวลาผ่านไปเกือบสิบนาทีนับตั้งแต่ทิช กวง ดุ๊ก จุดไม้ขีดเผาตัวเอง ในที่สุดร่างของเขาเริ่มโอนเอนไปมา ฝูงชนที่เฝ้าดูเหตุการณ์กรีดร้องและคร่ำครวญอีก ทันใดนั้นร่างของพระล้มหงายลงจมกองไฟ แขนและขาของเขากระตุกเป็นพักๆ อยู่หลายวินาที นิ้วมือหงิกงอเหมือนจะกำอากาศที่อยู่เหนือกองไฟ จากนั้นเขาสะบัดแขนกางออกเหมือนกับแสดงอาการอ้อนวอนครั้งสุดท้าย ร่างทั้งร่างกระตุกอีกครั้งหนึ่งก่อนจะแน่นิ่งไปในที่สุด”

ทิช กวง ดุ๊ก คงไม่อาจรู้สึกอะไรได้อีก แม้ปัจจุบันถ้าเขายังมีชีวิต เขาจะได้เห็นรูปเจดีย์เทียนหมุที่กลายเป็นสัญลักษณ์เมืองเว้ปรากฏบนงอบทรงญวน กระเป๋า แม้กระทั่งส่วนใต้สะดือของชุดอ๋าวหญ่าย

เป็นปรากฏการณ์เดียวกันกับเศียรพระพุทธเจ้าในไทย ที่กลายเป็นเครื่องประดับตกแต่ง “สไตล์เอเชีย”ในร้านอาหาร ผับ บาร์ หลายแห่ง ในต่างประเทศ และอาจรวมถึงในเมืองไทย ในยุคที่ “สัญลักษณ์” กับ “ศรัทธา” ขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละคนอย่างเป็นปัจเจกยิ่ง

กล่าวสำหรับเวียดนามในทุกวันนี้ กับการได้ชื่อว่าเป็นชาติที่ไม่เคยแพ้ ประวัติศาสตร์เวียดนามอาจเป็นเครื่องยืนยันได้ระดับหนึ่ง แต่ในกระแสกาลแห่งโลกาภิวัตน์ที่กำลังหลอมรวมโลกเป็นแบบเดียวกัน มั่นใจได้หรือว่าความขยันและอดทนของคนเวียดนามจะสามารถช่วยให้ชาตินักสู้แห่งนี้หยัดยืนอย่างมั่นคงต่อไปได้ อย่างน้อยก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เมื่อเวียดนามไม่เคยต้องเผชิญกับสงครามแบบ “ศัตรูที่มองไม่เห็น” มาก่อน

ทุกวันนี้ เราพบเพียงสถานบันเทิงไม่กี่แห่งในเมืองเว้ และแทบไม่มีเลยในเมืองฮอยอัน แต่ด้วยเงื่อนไขนั้นเองที่กำลังกลายเป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทำให้การท่องเที่ยวในเวียดนามขาดเสน่ห์?

ภายใต้อัตราแลกเปลี่ยนเงินด่องที่ต่ำค่า 1 บาทต่อ 390 ด่อง เราจึงได้แต่หวังว่า เมืองเวียดนามในอนาคตจะไม่ถูกกระแสแห่งการท่องเที่ยวชี้นำให้ต่ำค่าไปกว่านี้

ได้แต่หวังว่าเวียดนามจะไม่แพ้...

Comment #1
ฝ้าย@v@แมวน้อย (Not Member)
Posted @9 ม.ค.49 15.36 ip : 61...16

อ่านหลายรอบแย้ว  ดีที่สุดค้าบ..............หมูตู้

Comment #2
Posted @9 ม.ค.49 21.17 ip : 203...188

ภูเป็นอีกคนหนึ่งที่ผมปลาบปลื้มมาก  ในทุกครั้งที่เขามาโพสต์อะไรๆในบอร์ดแห่งนี้  เวียดนามฯนี้เป็นการสรุปความเป็นเวียดนามจากอดีตมาจนปัจจุบัน  และตั้งการสังเกตุเอาไว้น่าขบคิด  ในยุคที่เวียดนามกำลังปรับปฏิรูปคอมมูนิสม์สายโฮจิมินห์  ให้เป็นคอมมูนิสม์เปิด  อย่างที่จีนและรัสเซียได้กระทำมาแล้ว


ไม่เฉพาะเวียดนามหรอกที่ขมขื่นกับสงครามไม่รู้จบรู้สิ้น  โลกที่ 3 ในโลกใบนี้ล้วนทุกข์ทนมรมานสาหัสมานักหนากับสงครามเพราะอเมริกา    และทุกประเทศได้กระทำในสิ่งเดียวกันคือ  สู้!


ปัจจุบันเวียดนามกำลังเป็นเสือตัวที่เท่าไหร่ผมก็ไม่สนใจจะจำ  รู้แต่ว่าในเอเชียอาคเนย์นี้  เวียดนามกำลังเนื้อหอมที่สุด  และโอกาสที่เขาจะพัฒนาประเทศได้เจริญรวดเร็วล้ำหน้าไทยมีสูงนัก  สังเกตุจากง่ายๆคือฟุตบอล

เกาหลีใต้-ญี่ปุ่นรวมถึงจีนแดง    10 กว่าปีก่อนเราส่งนักบอลของเราไปฝึกให้เขาเล่นเป็นระบบทันสมัย  สอนการตั้งสโมสรฟุตบอลและการเรียกความนิยมในกีฬาชนิดนี้    สมัยนั้นไทย,มาเลยเซีย,สิงคโปร์เป็นเจ้าแห่งฟุตบอลในภูมิภาค  ไทยมีนักบอลชื่อดังมากมาย  มาเลย์มี  ไซนัล  อาบีดีน  สิงคโปร์มี  ฟานดี้  อาหมัด    ล้วนแล้วแต่เนื้อหอมระดับซุปเปอร์สตาร์  10 ปีต่อมาเราพบว่าเกาหลีใต้,ญี่ปุ่น,จีน  ไปไกลกว่าเราหลายร้อยเท่า !

และเวียดนามกำลังเป็นเช่นนี้ในปัจจุบัน !

มีหนังสือประสัติศาสตร์ยุคใกล้  ที่แปลมาเมื่อหลายสิบปีก่อนชื่อ สิ้นชาติ  บอกเล่าเรื่องราวเสียดนามได้ละเอียดถึงกรณีไซง่อนแตก  การเมืองในเวียดนามและระหว่างประเทศ  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเวียดนามในยุคสงครามเวียดนาม  แน่นอน-ที่ต้องพูดถึงเวียดกง!

และเวียดกงนี่เองที่เป็นปีศาจหลอกหลอนคนบ้าอำนาจในไทย  จนทำให้เกิดกรณี 6 ตุลา  19  ในธรรมศาสตร์    ในกรณี  ถีบลงเขา - เผาถังแดง ในพัทลุง ที่มีคนตายไม่ต่ำกว่า 3000 ศพ  เขาทำกันอย่างไรนะหรือ?  ก็แค่จับคนสักคนที่คิดว่าเป็นคอมมูนิม์  หรือเป็นญาติโกโหติกากับคนที่เป็นคอมมูนิสม์  หรือใครก็ได้สักคนที่เหม็นขี้หน้าหรือไม่เหม็นก็ได้    มัดมือมัดเท้า  ปิดตาปิดปาก  ยัดลงในถังน้ำมันขนาด 500 ลิตร ที่มีสีแดง  แล้วก็ราดน้ำมันจุดไฟเผาทั้งเป็น  เสียงร้องโหยหวนในป่ามันก้องกังวานไปไกล  จึงบางครั้งต้องมีการเร่งเครื่องยนต์รถยีเอ็มซีกลบเสียง      จับคนมามัดมือมัดเท้า  ปิดตาปิดปากยัดถังน้ำมัน  แล้วถีบลงจากหน้าผาสูงชันทั้งเป็นๆ  3000 กว่าศพนั้นเฉพาะที่พัทลุงที่เดียว  ไม่นับรวมที่สตูล ,ตรัง และพื้นที่ภาคใต้อื่นๆเช่น ช่องช้าง  สุราษฎร์ธานี    ช่องช้างนี่เป็นสมรภูมิดุดเดือดที่สุดเขตหนึ่งของภาคใต้เลยทีเดียว


เรฟูจี-  ชาวอพยพทางเรือจากเวียดนามเป็นตำนานอันขมขื่น  ผู้พลัดบ้านพลบัดถิ่นเพราะภัยสงครามลัทธิการเมือง  ร่อนเร่อยู่กลางทะเลด้วยเรือเล็ก  ที่แทบจะไม่มีความหวังว่ามันจะลอยลำอยู่กลางทะเลกว้างใหญ่มหาศาลนั้นได้อย่างไร  การเจอภัยคลื่นลมยังไม่โหดร้ายเท่ากับภัยโจรสลัด  ประมงไทยนี่แหละคือโจรสลัดที่เยอะที่สุด  และเหี้ยมที่สุด    ตำนานเรฟูจีนี้เกินกว่าที่ผมจะหยิบยกมาอธิบายให้เห็นได้ในที่นี้  แค่ภาพคนจำนวนมหาศาลยัดเยียดลงในเรือเล็ก  หอบลูกจูงหลานคนแก่คนเฒ่าไปตายดาบหน้า  แน่ลำเรือ  กราบเรือปริ่มๆน้ำจะจมมิจมแหล่  และในเรือประมงต่างชาติที่รับช่วงไปกลางทะเลนั้น  พวกเขาต้องแอบอยู่ใต้ท้องเรือ  อึดอัดคับแคบ ไม่มีน้ำอาหารอากาศ  ผู้หญิงเป็นเหยื่อกลางทะเลสำหรับโจรสลัดและเรือที่ช่วยเหลือ  ข้าวของเงินทองถูกปล้นถูกต่อรองแลกกับอาหาร  การเดินทางอย่างเสียเปรียบ  พวกเขาต้องการไปตายดาบหน้า  และยอมทุกอย่างเพื่อให้พ้นๆไปจากแผ่นดินเกิด  มันตอบคำถามได้ดีแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในเวียดนาม  และโหดร้ายเลวทรามเพียงใด...

ปัจจุบันเวียดนามกำลังพัฒนาประเทศ  และกราฟความเจริญกำลังพุ่งพรวดๆ  การอ้าแขนรับทุนนิยมเข้าประเทศทำให้พวกเขามีชีวิตบริโภคที่ดีขึ้น  เราได้แต่หวังว่าเวียดนามคงไม่ทุนนิยมเสียจนวิถีชีวิตเรียบง่าย เหมาะต่อภูมิประเทศอากาศและนิสัยคนเวียดนามจะสูญหายไป  เหมือนหลายๆประเทศที่ล่มสลายไปแล้วในโลกนี้

ได้แต่หวังว่าเวียดนามคงจะไม่แพ้ !





ป.ล.1  อ่านงานเขียนของท่าน  ติช  นัท  ฮันท์  ได้ ครับ ท่านเป็นภิกษุเวียดนามที่ผ่านความเลวร้ายนั้นมา  และเขียนหนังสือธรรมะได้อย่างดีเยี่ยม

ป.ล.2    สาวเวียดนามสวยนะ  โดยเฉพาะในชุดอ๋าวหญ่าย 

Comment #3
Posted @10 ม.ค.49 6.53 ip : 203...234

ยอดเยี่ยมค่ะพี่ภู 

พี่หมี่....เรื่องถังแดงอ่ะ เป็นเรื่องจริงเหรอ
โหดร้ายจริงๆ

มีเพื่อนเวียตนามที่มหาวิทยาลัย
เราเรียกมันว่า "ไอ้เหงียน"  มันทำให้กลุ่มคนไทย ที่นั่นรู้สึกว่า "พวกเหงียนคบไม่ได้"  ก็เป็นแค่ความรู้สึก ในขณะนั้น  ในความเป็นจริงคนเวียตนามก็มีทั้งดีและ เลว เหมือนๆคนไทยแหละ

เวียตนาม....คงได้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง....ซักวัน
อยากไปง่ะ

Comment #4
Posted @10 ม.ค.49 13.54 ip : 202...33

ชุดอ๋าวหญ่ายมิดชิด ปิดตั้งแต่คอถึงเท้า แต่ทำไมดูแล้วเซ็กซี่ก็ไม่รู้

Comment #5
น่ารัก (Not Member)
Posted @11 ม.ค.49 15.07 ip : 61...16

Comment #6
Posted @14 ม.ค.49 13.49 ip : 203...74

หลายประเทศที่เจออะไรๆ หนักๆ มามักจะพัฒนาไปเร็ว และไกลกว่าประเทศที่อยู่สุขสบาย


เกี่ยวกันไหม..
ว่าสิ่งร้ายๆ ที่เจอ ทำให้คนในประเทศเข้มแข็ง และเรียนรู้ที่จะดิ้นรนมากขึ้น

Comment #7
nungdomi (Not Member)
Posted @17 ม.ค.49 17.11 ip : 202...130

สงครามทำลายทุกอย่างจริง ๆ

Comment #8
ภู (Not Member)
Posted @21 ม.ค.49 18.34 ip : 58...101

พี่หมี่ ผมต้องขอบคุณมากเหมือนกันครับ
งานหลายๆ ชิ้นเขียนเอาไว้ ก็นิ่งอยู่บนโต๊ะ ดังนั้นการได้มาโพสต์ที่นี่ และมีคนอ่านที่มีคุณภาพ
จึงเป็นความปลาบปลื้ม และเป็นกำลังใจยิ่ง

จาวตาล เรื่องถังแดงเป็นเรื่องจริงครับ ส่วนเรื่องเวียดนามที่เขียนนี้ เขียนหลังกลับจากเวียดนามได้สัปดาห์หนึ่งพอดี

หญิงจ้ะ ชุดอ๋าวหญ่ายบางมากครับ ลมพัดก็แนบเนื้อ

supergirl สิ่งที่ทำให้เวียดนามพัฒนารวดเร็วอีกอย่าง คือการปกครองแบบสังคมนิยมครับ

น้องหนึ่ง เห็นด้วยครับ

แสดงความคิดเห็น

« 1430
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง

งานเขียนของข้าพเจ้า

personมุมสมาชิก

Last 10 Member Post

Web Statistics : online 0 member(s) of 48 user(s)

User count is 2421182 person(s) and 10105613 hit(s) since 8 พ.ย. 2567 , Total 550 member(s).