โลกใบนี้ใหญ่แค่ไหน?
รองผู้บัญชาการมาร์กอส
22 กุมภาพันธ์ 2006
(แปลเป็นภาษาอังกฤษโดย irlandesa) ภัควดี วีระภาสพงษ์ แปล
หลังจากวันประชุมเตรียมการ "การรณรงค์บนเส้นทางอื่น" (The Other Campaign) (ตอนนั้นเป็นเดือนกันยายน เวลารุ่งเช้า ฝนพรำจากเมฆไกล) เรากำลังเดิมดุ่มไปที่กระท่อมที่เก็บของไว้ ก็พอดีเจอเข้ากับพลเรือนคนหนึ่งที่โพล่งถามขึ้นมาว่า "เดี๋ยวก่อน เอล ซุป! ซาปาติสตากำลังเสนออะไรกันแน่?" ผมตอบโดยไม่หยุดเดินว่า "เปลี่ยนแปลงโลก" เรามาถึงกระท่อมและเริ่มเก็บข้าวของเพื่อออกเดินทาง นักรบกบฏหญิงเอริการอจนเหลือผมอยู่คนเดียว เธอเดินเข้ามาหาและพูดว่า "ฟังก่อน เอล ซุป โลกใบนี้ใหญ่มากนะ" ราวกับเธอพยายามเตือนให้ผมรู้ตัวว่ากำลังเสนออะไรที่ไร้สาระแค่ไหน และผมคงไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปเมื่อตอนที่พูดแบบนั้น ตามธรรมเนียมปฏิบัติของการตอบคำถามด้วยอีกคำถามหนึ่ง ผมจึงย้อนถามว่า:
"ใหญ่แค่ไหนล่ะ?"
เธอจ้องหน้าผมและตอบด้วยน้ำเสียงคล้ายเอ็นดูว่า "ใหญ่มาก"
ผมยืนกรานคำถาม "ใช่ แต่ใหญ่แค่ไหน?"
เธอหยุดคิดชั่วอึดใจหนึ่งและพูดว่า "ใหญ่กว่าเชียปาสมากก็แล้วกัน"
มีคนเข้ามาบอกว่า เราต้องออกเดินทางแล้ว เมื่อเรากลับมาถึงค่ายและหลังจากดูแลจนเพนกวิน (1) สบายตัว เอริกาก็เข้ามาหาผม หิ้วลูกโลกมาด้วยใบหนึ่ง ลูกโลกแบบที่ใช้สอนกันในโรงเรียนประถม เธอตั้งมันลงที่พื้นและบอกผมว่า: "นี่ เอล ซุป ดูนี่ ตรงจุดเล็ก ๆ นี้ นี่คือเชียปาส แล้วที่เหลือทั้งหมดนี้คือโลก" พูดพลางเธอก็ทำท่าเหมือนลูบไล้ลูกโลกด้วยมือผิวสีคล้ำ
"อืม" ผมพูดพลางจุดกล้องยาสูบเพื่อถ่วงเวลา
เอริการุกต่อ "คราวนี้เห็นแล้วใช่ไหมว่า โลกมันใหญ่มาก?"
"ก็จริง แต่เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงทั้งโลกด้วยตัวเราเอง เราจะเปลี่ยนแปลงโลกด้วยกอมปันเญอโรและกอมปันเญอรา (2) จากทุกหนแห่ง" พอดีมีเสียงเรียกทหารรักษาการ เมื่อเห็นว่าผมเรียนรู้อะไรบ้างแล้ว เธอจึงหันมายิงคำถามใส่ก่อนออกไปว่า "ต้องใช้กอมปันเญอโรและกอมปันเญอรามากแค่ไหนล่ะ?"
โลกใบนี้ใหญ่แค่ไหน? ในหมู่บ้านเตฮัวกัน ในเซียราเนกรา ในเซียรานอร์เต ในย่านชานเมืองของปวยบลา จากซอกมุมที่ถูกหลงลืมมากที่สุดของรัฐปวยบลาที่คนไม่ค่อยรู้จัก มีคำตอบพยายามเล็ดลอดออกมา:
ในอัลเตเปกซี หญิงสาวคนหนึ่งตอบว่า: ชั่วโมงทำงานกว่า 12 ชั่วโมงในโรงงานเพื่อการส่งออกของทุนต่างชาติ ทำงานในวันหยุด ไม่มีเงินล่วงเวลา ไม่มีประกันสังคม ไม่มีเงินโบนัสวันคริสต์มาส ไม่มีส่วนแบ่งกำไร การใช้อำนาจบาตรใหญ่และการปฏิบัติอย่างเลวร้ายของผู้จัดการหรือหัวหน้าคนงาน ถูกลงโทษโดยตัดค่าแรงเมื่อฉันเจ็บไข้ได้ป่วย เห็นชื่อฉันขึ้นบัญชีดำที่ทำให้ฉันหางานในโรงงานไหนไม่ได้อีก ถ้าเรารวมตัวกัน เจ้าของจะปิดโรงงานและย้ายไปที่อื่น การเดินทางก็ลำบาก กว่าจะกลับถึงบ้านก็มืดค่ำ พอดูบิลค่าไฟ ค่าน้ำ ภาษี บวกลบดูแล้วชักหน้าไม่ถึงหลัง ชั้นแต่น้ำจะดื่มก็ยังไม่มี เพราะประปาไม่ทำงานและท่อน้ำตามถนนส่งกลิ่นคลุ้ง วันรุ่งขึ้น ทั้ง ๆ ที่อดนอนและกินไม่อิ่มท้อง ก็ต้องกลับไปทำงานอีก โลกใบนี้ใหญ่เท่ากับความคับแค้นใจที่สุมอยู่ในอกฉัน
หญิงสาวชาวพื้นเมืองมิกซ์เทค: พ่อไปทำงานที่สหรัฐอเมริกากว่า 12 ปีแล้ว แม่ทำงานเป็นช่างเย็บลูกบอล พวกเขาจ่ายเงินให้แม่ 10 เปโซต่อลูกบอลหนึ่งลูก แต่ถ้าลูกไหนเย็บไม่ดี จะถูกปรับ 40 เปโซ เงินจะจ่ายให้ต้องรอผู้รับเหมาสินค้ามาที่หมู่บ้านก่อน พี่ชายของฉันกำลังเตรียมตัวจะไปทำงานที่อื่นเหมือนกัน พวกเราผู้หญิงต้องอยู่กันตามลำพังที่นี่ ดูแลครอบครัวกันไป ทำไร่ทำนา ทำงาน พวกเราจึงต้องรับภาระในการต่อสู้ โลกใบนี้ใหญ่เท่ากับความอยุติธรรมที่ทำให้ฉันกล้าสู้ ใหญ่จนทำให้เลือดในตัวฉันพลุ่งพล่าน
ในซานมิเกวล ซีนาคาปัน ผัวเมียเฒ่ามองดูกันและกันและตอบเกือบเป็นเสียงเดียวกันว่า: โลกใบนี้ใหญ่เท่ากับความพยายามที่เราจะเปลี่ยนแปลงมัน
ชาวนาพื้นเมืองคนหนึ่งจากเซียราเนกรา ผู้พลัดถิ่นมาอย่างโชกโชน เหลือแต่ยังไม่พลัดตกประวัติศาสตร์ ตอบว่า: โลกใบนี้ต้องใหญ่มาก เราถึงต้องขยายการจัดตั้งให้ใหญ่กว่าเดิม
ในอิกซ์เตเปก เซียรานอร์เต: โลกใบนี้ใหญ่เท่ากับความทุเรศของรัฐบาลชั่ว ๆ และองค์การอันตอร์คาคัมเปซินา ที่สร้างอคติต่อชาวนาและวางยาพิษต่อโลก
ในอุยซิลเตเปค สถานีโทรทัศน์กบฏกำลังออกอากาศจากโรงเรียนเล็ก ๆ ในเขตปกครองตนเอง: โลกใบนี้ใหญ่จนมีพื้นที่เพียงพอสำหรับประวัติศาสตร์ของชุมชน ใหญ่พอที่จะให้ชุมชนมีความปรารถนาและต่อสู้เพื่อมองออกไปในจักรวาลด้วยศักดิ์ศรี ช่างฝีมือหญิงชาวพื้นเมืองคนหนึ่ง ดูละม้ายผู้บัญชาการราโมนาผู้ล่วงลับ พูดต่อหลังไมค์ว่า: "โลกใบนี้ใหญ่เท่ากับความอยุติธรรมที่เรารู้สึก เพราะพวกเขาจ่ายค่าจ้างน้อยนิดให้แก่งานที่เราทำ เราได้แต่มองสิ่งของจำเป็นผ่านหน้าเราไป เพราะเราไม่เคยมีเพียงพอ"
ในชุมชนกรันยา: โลกใบนี้ไม่น่าจะใหญ่มากนัก เพราะดูเหมือนไม่มีที่ทางให้เด็กยากจน พวกเขาด่าว่าเรา กลั่นแกล้งและทุบตีเรา ทั้ง ๆ ที่เราแค่อยากมีพอกิน
ในโกโรนันโก: ถึงโลกใบนี้ใหญ่สักแค่ไหน มันก็กำลังจะตายจากมลพิษเสรีนิยมใหม่ที่ทำลายดิน น้ำ อากาศ โลกากำลังวินาศ เพราะอย่างที่ปู่ย่าตายายของเราว่าไว้ เมื่อไรที่ชุมชนพินาศ โลกาก็วินาศ
ในซานมาตียัส โกโกโยตลา: โลกใบนี้ใหญ่เท่ากับความหน้าด้านของรัฐบาล รัฐบาลที่กำลังทำลายสิ่งที่พวกเราแรงงานสร้างขึ้นมา เราต้องรวมตัวกันเพื่อป้องกันตัวเองจากรัฐบาล ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลน่าจะรับใช้เรา รัฐบาลนั้นไร้ยางอาย ในปวยบลา แต่เป็นปวยบลาที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก: โลกใบนี้ไม่ใหญ่นัก เพราะคนรวยมีมากเท่าไรก็ยังไม่พอ คนรวยยังต้องการเอาสิ่งที่พวกเราคนจนมีน้อยอยู่แล้วไปอีก
ในปวยบลาที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักอีกเช่นกัน หญิงสาวคนหนึ่งบอกว่า: โลกใบนี้ใหญ่มาก ดังนั้น พวกเราน้อยคนจึงเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ เราทั้งหมดต้องจับมือกันเพื่อเปลี่ยนแปลง เพราะถ้าเราไม่ร่วมมือกัน เราก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แล้วคุณก็จะเหนื่อยหน่าย
ศิลปินหนุ่มคนหนึ่ง: โลกใบนี้ใหญ่ แต่เน่าเฟะ พวกนั้นรีดเงินไปจากเราเพราะเราเป็นคนหนุ่มสาว ในโลกใบนี้ การเป็นคนหนุ่มสาวคืออาชญากรรม
เพื่อนบ้านคนหนึ่ง: โลกใบนี้จะใหญ่แค่ไหน ก็ยังเล็กไปสำหรับคนรวย เพราะพวกคนรวยกำลังรุกรานที่ดินของส่วนรวม เอฮิโด (3) ละแวกบ้านของชุมชน ราวกับโลกนี้ไม่มีที่อื่นให้สร้างศูนย์การค้าและร้านขายของฟุ่มเฟือยอีก พวกเขาก็เลยจะเข้ามาสร้างในที่ดินของเรา ฉันเชื่อว่าเพราะเหตุนี้เอง จึงไม่มีที่ทางเหลือให้เราผู้อยู่เบื้องล่าง
คนงานคนหนึ่ง: โลกใบนี้ใหญ่เท่ากับความสับปลับของผู้นำที่ฉ้อฉล พวกนั้นยังมีหน้ามาพูดอีกว่า จะปกป้องคุ้มครองแรงงาน แต่บนนั้นพวกเขาสุมหัวรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของโรงงาน ข้าราชการ ผู้นำสหภาพที่เข้าข้างฝ่ายบริหาร ไม่ว่าจะพลิกลิ้นพูดอะไรแปลกใหม่ ที่แท้แล้วก็ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมารวมกันจนเป็นภูเขาขยะ อย่าดีกว่า เพราะพวกนั้นคงทำให้ขยะยิ่งกว่าเน่า ถ้าเราจะจับพวกนั้นไปขังคุก นักโทษก็คงก่อจลาจลเพราะไม่อยากอยู่ใกล้พวกสารเลวเหล่านี้
ตอนนี้เป็นเวลารุ่งแจ้งในปวยบลาที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก เราพบแต่ความประหลาดใจไม่สิ้นสุดในทุกย่างก้าวที่เหยียบบนผืนดินแห่งนี้ เราเพิ่งกินอาหารเสร็จ และผมกำลังคิดว่าจะตอบคำถามอย่างไรดี ทันใดนั้นเอง กระเป๋าเดินทางใบเล็กจิ๋วแหย่ลอดใต้ประตูเข้ามา แล้วติดขลุกขลักอยู่ตรงรอยแตกที่ประตูทันที หูแว่วได้ยินเสียงหอบหายใจหนัก ๆ แผ่ว ๆ เหมือนมีใครคนหนึ่งกำลังผลักอยู่นอกประตู สุดท้าย กระเป๋าเดินทางเล็กจิ๋วใบนั้นก็หลุดผลุบเข้ามาจนได้ และที่ตามหลังเข้ามา ล้มลุกคลุกคลาน คือตัวอะไรสักอย่างที่ดูคล้ายแมลงเต่าทอง ถ้าไม่ใช่เพราะผมอยู่ในปวยบลา แม้จะเป็นปวยบลาที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักก็ตาม และไม่ได้อยู่ในเทือกเขาทางตะวันออกเฉียงใต้ของเม็กซิโก ผมคงสาบานแล้วว่านั่นคือดูริโต เพื่อสลัดความคิดเลวร้ายนั้นไปให้พ้น ผมจึงหันไปหาสมุดบันทึกที่จดคำถามอันเป็นข้อสอบข้อใหญ่ พยายามเขียนต่อ แต่ไม่มีอะไรเข้าท่าผุดขึ้นมาในหัวเลย ผมกำลังทำให้ตัวเองเป็นตัวตลก ตอนที่รู้สึกเหมือนมีตัวอะไรอยู่บนบ่า พอตั้งท่าจะสลัดมันทิ้ง ก็ได้ยินเสียงพูดว่า
"นายมียาสูบบ้างไหม?"
"เสียงเล็ก ๆ นั่น เสียงเล็ก ๆ นั่นมาอีกแล้ว" ผมนึกในใจ
"เสียงเล็ก ๆ อะไร? ฉันรู้นะว่านายอิจฉาสุ้มเสียงมีเสน่ห์สมชายชาตรีของฉัน" ดูริโตโวย
ไม่มีอะไรเหลือให้สงสัยอีกแล้ว ผมอุทานด้วยอาการปลงตกยิ่งกว่ากระตือรือร้นว่า:
"ดูริโต...!"
"ไม่ใช่แค่ 'ดูริโต' สิ! ฉันเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในการแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูก นักบุญของผู้สิ้นหวัง อัศวินของผู้ไร้ทางสู้ ความหวังของผู้อ่อนแอ ความฝันเกินไขว่คว้าของสาว ๆ พระเอกบนโปสเตอร์ใบโปรดของเด็ก ๆ เป้าอิจฉาจนตาร้อนผ่าวของผู้ชาย และ..."
"พอที พอที! นายพูดเหมือนผู้สมัครรับเลือกตั้งเลย" ผมพยายามขัดคอดูริโต แต่เห็นชัดว่าไม่มีประโยชน์ เพราะเขายังพูดต่อไปว่า:
"...วีรกรรมที่อาจหาญที่สุดในบรรดาผู้กล้าที่อ้าแขนรับภารกิจอัศวินพเนจร: ดอนดูริโตแห่งป่าลากันดอน สอ. แห่ง ซว. แห่ง รล. ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นทางการจากรัฐบาลกบฏที่ดี"
พูดพลางดูริโตอวดให้ผมดูตราสลักบนกระดองที่เขียนไว้ว่า: "ได้รับการแต่งตั้งจากเขตปกครองตนเองชาร์ลี ปาร์กเกอร์แห่งกบฏซาปาติสตา"
"ชาร์ลี ปาร์กเกอร์? ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เรามีเขตปกครองตนเองในชื่อนี้ด้วย อย่างน้อยก็ไม่มีแน่ตอนที่ออกเดินทางมา" ผมพูดอย่างงุนงง
"แน่นอน ฉันเพิ่งก่อตั้งเขตนี้ขึ้นมา ก่อนมาที่นี่เพื่อช่วยนาย" ดูริโตบอก
"พิลึก ฉันขอให้ทางโน้นส่งยาสูบมาให้ ไม่ใช่แมลงเต่าทอง" ผมทั้งเถียงทั้งประท้วง
"ฉันไม่ใช่แมลงเต่าทอง ฉันคืออัศวินพเนจรที่รอนแรมมาช่วยนายให้รอดพ้นจากความอับจน"
"ช่วยฉัน? จากความอับจน?"
"ใช่สิ อย่าทำท่าเหมือน "พระเอกคนเก่ง" ของมาริโอ มารีน เวลาเจอเทปบันทึกเสียงที่เปิดโปงระดับทางจริยธรรมที่แท้จริงของตัวเองเลย นายกำลังเข้าตาจนหรือเปล่าล่ะ?"
"เอ้อ เข้าตาจน อะไรคือเข้าตาจน อ๋อ...ใช่ ฉันกำลังเข้าตาจน"
"เห็นไหม? นายคงไม่ได้กำลังนึกถึงฉัน อัศวินพเนจรผู้เยี่ยมยุทธ์ ให้มาช่วยนายหรอกนะ?"
ผมหยุดคิดไม่ถึงอึดใจก่อนตอบว่า:
"เอ่อ พูดตามความจริงแล้ว เปล่าเลย"
"เอาน่า อย่าซุกซ่อนความยินดีเอิบอาบ ความปลื้มปีติล้นพ้นและความพลุ่งพล่านจนล้นทะลักที่ผุดขึ้นในหัวอกของนายเลยเมื่อได้เห็นหน้าฉันอีกครั้ง"
"ฉันอยากซ่อนมันไว้มากกว่า" ผมพูดอย่างยอมแพ้
"ดี ดี เอาล่ะ จุดประทัดและดอกไม้ไฟต้อนรับกันพอแล้ว บอกมาสิ อ้ายวายร้ายอยู่ไหน? ฉันจะจัดการกำราบมันด้วยอาวุธที่อยู่เบื้องล่างและเอียงซ้าย ไหนล่ะอ้ายคาเมล นาซิฟ, ซุคคาร์ คูรี ฯลฯ รวมทั้งพวกวายร้ายชั้นต่ำก๊กเดียวกับมัน?"
"ไม่มีผู้ร้ายและไม่มีวายร้ายชั้นต่ำหรอก ฉันแค่ต้องตอบคำถามข้อหนึ่ง"
"ว่ามา" ดูริโตเค้นต่อ
"โลกใบนี้ใหญ่แค่ไหน?" ผมถาม
"อ๋อ คำตอบก็มีทั้งแบบสั้นแบบยาว นายอยากได้แบบไหนล่ะ?"
ผมดูนาฬิกาข้อมือ ตีสาม ทั้งหนังตาและหมวกแก๊ปเริ่มห้อยหลุบลงมาปิดตาแล้ว ผมจึงตอบไปอย่างไม่ลังเลว่า: "เอาแบบสั้น ๆ "
"นายหมายความว่ายังไง เอาแบบสั้น ๆ! นี่นายคิดว่าฉันอุตส่าห์ลากสังขารตามนายมาตลอดแปดรัฐในสาธารณรัฐเม็กซิโกเพื่อมานำเสนอคำตอบแบบสั้น ๆ หรือ? Naranjas podridas, ni mais palomas ยากส์, ไม่เด็ดขาด, ไม่มีทาง, โนเวย์, ขอปฏิเสธ, ขอบอกปัด, ไม่ได้"
"เอาล่ะ ๆ" ผมพูด ยอมแพ้ "แบบยาวก็ได้"
"ช่ายแล้ว เจ้าคนจรจมูกโต! เอาปากกามาจดสิ"
ผมหยิบปากกาและสมุดบันทึก ดูริโตสั่งให้จดดังนี้:
"ถ้ามองลงมาจากเบื้องบน โลกใบนี้เล็กนิดเดียวและสีเขียวเหมือนเงินดอลลาร์ มีขนาดพอเหมาะที่จะจับใส่ลงในดัชนีราคาสินค้าและมูลค่าของตลาดหุ้น ในกำไรของบรรษัทข้ามชาติ ในคะแนนเลือกตั้งของประเทศที่ถูกปล้นศักดิ์ศรีไปแล้ว ในเครื่องคิดเลขนานาชาติที่บวกด้วยทุนและลบด้วยชีวิต, ภูเขา, แม่น้ำ, มหาสมุทร, น้ำพุ, ประวัติศาสตร์, อารยธรรมทั้งหมด ในสมองเล็กกะจิ๋วหลิวของจอร์จ ดับเบิลยู บุช ในความสายตาสั้นของทุนนิยมป่าเถื่อนที่แต่งตัวไร้รสนิยมด้วยชุดของเสรีนิยมใหม่ เมื่อมองจากเบื้องบน โลกใบนี้เล็กมาก เพราะมันไม่แยแสคน มันมองเห็นแต่ตัวเลขในบัญชีธนาคารที่ไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นใดนอกจากเงินฝากเข้า
"แต่ถ้ามองขึ้นมาจากเบื้องล่าง โลกใบนี้กว้างใหญ่จนกวาดมองครั้งเดียวไม่ทั่ว หากจะมองให้ถ้วนทั่วก็ต้องมองมากมายหลายครั้ง เมื่อมองจากเบื้องล่าง โลกใบนี้มีอยู่มากมายหลายใบ ในโลกเกือบทุกใบระบายด้วยสีสันของการพลัดถิ่น ความยากจน ความสิ้นหวัง ความตาย โลกจากเบื้องล่างขยายออกไปด้านข้าง โดยเฉพาะไปทางซ้าย และมีหลายสีสัน หลากหลายเท่า ๆ กับผู้คนและประวัติศาสตร์ โลกยังขยายไปข้างหลัง ไปสู่ประวัติศาสตร์ที่โลกเบื้องล่างสร้างขึ้น และโลกยังขยายเข้าหาตัวเองด้วยการต่อสู้ที่จุดให้มันสว่างเรืองรอง แม้เมื่อแสงไฟจากเบื้องบนดับไปแล้วก็ตาม โลกยังส่งสำเนียง แม้เมื่อความเงียบจากเบื้องบนกดทับบดขยี้ และโลกยังขยายไปข้างหน้า กระจ่างขึ้นกลางใจทุกดวงของผู้อยู่เบื้องล่างที่จะสร้างสรรค์วันรุ่งขึ้น เมื่อมองจากเบื้องล่าง โลกใบนี้ใหญ่จนบรรจุโลกได้หลายใบ และแม้กระนั้นก็ยังมีที่ว่างเหลืออยู่ เช่น ยังมีที่ว่างสำหรับคุก เป็นต้น
"หรือพูดสั้น ๆ เมื่อมองจากเบื้องบน โลกใบนี้หดเล็กลงจนบรรจุอะไรไว้ไม่ได้นอกจากความอยุติธรรม แต่เมื่อมองจากเบื้องล่าง โลกใบนี้กว้างใหญ่ไพศาลจนมีที่เหลือเฟือให้ความสุข ดนตรี บทเพลง ระบำ งานที่มีศักดิ์ศรี ความยุติธรรม ความคิดและทัศนคติของทุกคน ไม่ว่าจะแตกต่างกันแค่ไหน หากว่าเบื้องล่างนั้นเป็นอย่างที่เป็นอยู่"
ผมจดแทบไม่ทัน เมื่ออ่านทวนคำตอบของดูริโตแล้ว จึงถามต่อว่า:
"แล้วคำตอบแบบสั้นล่ะ?"
"คำตอบแบบสั้นก็คือ: โลกใบนี้ใหญ่เท่ากับหัวใจที่ถูกทำร้ายจนเจ็บปวด แล้วลุกขึ้นต่อสู้เคียงข้างทุกคนจากเบื้องล่างและเอียงซ้าย"
ดูริโตไปแล้ว ผมยังเขียนต่อไป ขณะที่ดวงจันทร์ค่อย ๆ เลือนหายไปในห้วงนภาด้วยสัมผัสลูบไล้ของความชื้นยามราตรี....
ผมอยากลองตอบคำถามดูบ้าง ละเมอเพ้อฝันว่ามือผมสยายมวยผมและความปรารถนาของเธอ ห่อหุ้มโสตประสาทเธอด้วยเสียงถอนใจ และเมื่อริมฝีปากผมเลื่อนขึ้นลงตามเนินเขา ผมหยั่งซึ้งแล้วว่า โลกใบนี้ใหญ่เท่ากับความปรารถนาที่ผมกระหายหาครรภ์ของเธอ
หรือถ้าจะให้ดูเป็นสุภาพชนกว่านี้สักหน่อย ผมพยายามจะบอกว่า โลกใบนี้ใหญ่เท่ากับความเพ้อฝันที่จะทำให้มันเป็น "โลกใบอื่น" ใหญ่เท่ากับหูที่ต้องรับฟังทุกสรรพสำเนียงจากเบื้องล่าง ใหญ่เท่ากับความปรารถนาของคนหมู่มากที่ต้องการทวนกระแส เพื่อผนึกกำลังกบฏจากเบื้องล่าง ขณะที่เบื้องบนนั้น พวกเขาแยกกันอยู่อย่างโดดเดี่ยว โลกใบนี้ใหญ่เท่ากับพุ่มหนามแห่งความคับแค้นที่เราบ่มเพาะ ด้วยรู้ดีว่าดอกไม้แห่งวันพรุ่งจะผลิบานออกมา และในวันพรุ่งนั้น มหาวิทยาลัยไอเบโรอเมริกันจะเป็นมหาวิทยาลัยของมหาชน เสรีและไม่ถูกครอบงำด้วยศาสนา ตามทางเดินและในห้องเรียนจะมีคนงาน ชาวนา ชาวพื้นเมืองและคนอื่น ๆ ที่วันนี้ถูกกันอยู่ข้างนอก
นั่นแหละ คำตอบจะนำเสนอในวันที่ 30 กุมภาพันธ์ โดยทำเป็นสำเนาสามฉบับ: ฉบับหนึ่งสำหรับมโนสำนึกของคุณ ฉบับหนึ่งสำหรับการรณรงค์บนเส้นทางอื่น และฉบับสุดท้ายจะมีพาดหัวตัวโตว่า: คำเตือน สำหรับใครก็ตามเบื้องบนที่เชื่องมงายว่า ตนเองจะอยู่ยงคงกะพัน
จากปวยบลาที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก เอล ซุป มาร์กอส คณะกรรมการที่หกของ EZLN เม็กซิโก, กุมภาพันธ์ 2006
(1) เพนกวินคือไก่ เป็นสัญลักษณ์ของการรณรงค์ครั้งใหม่ของซาปาติสตา เรื่องราวของเพนกวินเป็นนิทานอีกเรื่องหนึ่ง (2) สหายชายและหญิง (3) ที่ดินที่เป็นสมบัติส่วนรวมขอ