นักการเมืองเนื้อหอม
ภายใต้กติกาที่(ว่าที่)สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องสังกัดพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 90 วันก่อนการเลือกตั้งยังไม่เปลี่ยนแปลง และคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ได้ระบุวันเลือกตั้ง 22 ตุลาคม 2549 เอาไว้โดยไม่สนใจคำครหากระทั่งเสียงกระหึ่มของฝ่ายตุลาการที่ให้ลาออกจากตำแหน่ง แม้ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ 1 ใน 4 พลังกกต. จะลาออกไปโดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2549 แต่กกต.ที่เหลืออีก 3 คนก็ยังดึงดันที่จะทำหน้าที่ต่อไป โดยอ้างว่าชอบด้วยกฎหมาย
บางที การหวังจะรื้อโครงสร้างหรือปฏิรูปการเมืองอาจยังเป็นเรื่องที่ไกลเกินฝัน เพราะแท้จริงแล้วไม่ว่าการเมืองจะปฏิรูปให้เปลี่ยนแปลงไปเช่นไร เราก็มักจะหนีไม่พ้นนักการเมืองกลุ่มเดิม นิสัยเดิมๆ เสมอ เหตุผลอยู่ที่ว่าแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ในการเลือกตั้งไปเช่นไร ประชาชนผู้ใช้สิทธิ์โดยส่วนใหญ่ก็ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับรูปแบบการตัดสินใจ เลือกใคร ในแบบเดิมๆ มานับตั้งแต่หลังสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประกาศเลิกเป็นนายกรัฐมนตรี
นั่นก็คือ การเลือกคนที่ตนพึงพอใจ ไม่ว่าจะโดยศรัทธา โดยเสน่หา หรือโดยสินจ้าง!
ต้องยอมรับกันว่าเพิ่งมีสมัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีนี้เอง ที่ชาวบ้านมีโอกาสได้สัมพันธ์กับการเมืองภายหลังการใช้สิทธิ์เลือกตั้ง คือมีการใช้นโยบายแบบกระจายลงสู่รากหญ้า ด้วยเป็นกลยุทธของการสร้างฐานคะแนนแบบประชานิยม แม้ว่าต่อมาไม่ว่าทางดีหรือร้าย ชาวบ้านจะไม่อาจสลัดหลุดจากการเกี่ยวพันกับการเมืองในแบบทักษิณได้
ผลสืบเนื่องจากการเมืองที่เข้าไปใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น ทำให้มีชาวบ้านจำนวนมากขึ้นนับเป็นหลักล้าน ที่หันมาใส่ใจกับข่าวสารความเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการเมืองในพื้นที่สื่อมวลชน เรียกได้ว่านักการเมืองที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วนั้น การสร้างความจดจำผ่านสื่อมีผลอย่างมาก
ดังนั้น ในการเลือกตั้งสภาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)ครั้งที่ผ่านมา เราจึงได้เห็น นิติภูมิ นวรัตน์ แห่งรายการเปิดเลนส์ส่องโลกมีคะแนนนำมาเป็นอันดับหนึ่งในกรุงเทพมหานคร พร้อมๆ กับการเข้ามาของผู้ประกาศข่าว บุญยอด สุขถิ่นไทย และพระเอกตลอดกาล สมบัติ เมทะนี
พอมาถึงการเลือกตั้งสอสอที่ถ้านับตามประกาศของ กกต. ก็ยังเหลือเวลาอีกเกิน 90 วัน ก่อนจะถึงวันเลือกตั้ง ทั้งยังมีแนวโน้มว่าอาจขยายเวลาออกไปอีกถ้ากกต. ทนแรงกดดันไม่ไหว ประกาศลาออกไปทั้งชุด และให้ฝ่ายตุลาการศาลเป็นผู้จัดการการเลือกตั้งแทน ถึงตอนนี้ก็เท่ากับว่าได้เปิดโอกาสให้บรรดาสอสอเนื้อหอม สามารถเลือกย้ายพรรคได้ ราวกับเป็นช่วงเปิดซื้อขายนักเตะของฟุตบอลลีกยามปิดฤดูกาล เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะมีสิทธิ์ลุ้นแชมป์ในฤดูกาลหน้า หากได้ตัวดีๆ มาเสริมทีม
สมมติถ้าเป็นทีมสโมสรลิเวอร์พูล ซึ่งเพิ่งได้แชมป์เอฟเอคัพบนเกาะอังกฤษ โดยการเอาชนะสโมสรเวสแฮมไปแบบหืดจับด้วยลูกจุดโทษ หลังพลิกสถานการณ์ตีเสมอในนาทีสุดท้าย โดยกัปตันทีม สตีเฟ่น เจอร์ราด และหวังจะได้แชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลหน้าอีกสักรายการ พวกเขาอาจต้องเลือกซื้อนักเตะฝีเท้าดีๆ อย่าง ซามูเอล เอโต้ ของบาเซโลนา ทีมในลาลีกาลีกของสเปนมาเสริมทัพ เพื่อจะลุ้นตำแหน่งแชมป์
แต่ถ้าสมมติเป็นทีมที่ไต่ทะยานเพื่อหวังเป็นทีมที่รวยที่สุดในโลกอย่างสโมสรรีลแมดริด ในลีกลาลีกาของสเปน การได้ตัว เดวิด เบ็คแฮม (ที่มีปัญหากับผู้จัดการทีมในห้องแต่งตัว)มาจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก็นับว่าคุ้มค่า แม้จะทำให้พวกเขาชวดทุกแชมป์ในสนามแข่งขัน หากว่าได้แรงเชียร์และกำลังทรัพย์จากคนดูชาวเอเชียที่ตามชมเดวิด เบ็คแฮม เพิ่มอีกอักโข
เราไม่มีทางฟันธงลงไปอย่างเด็ดขาดได้หรอกว่าพรรคการเมืองในเมืองไทยตั้งขึ้นเพื่อหวังรวย หรือหวังพัฒนาประเทศชาติ(ห้ามอาเจียนในบรรทัดนี้) แต่เช่นเดียวกับเกมฟุตบอล มีดาราทางการเมืองที่ถูกสร้างขึ้นผ่านสื่อจำนวนหนึ่ง กลายเป็น นักการเมืองเนื้อหอม ในทันทีที่ช่องว่าง 90 วันถูกถ่างออกไป หนึ่งในนั้นคืออดีตเจ้าพ่ออ่างทองคำจอมแฉ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กับอีกหนึ่งอดีตรัฐมนตรีมือปราบสายเดี่ยว ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ !
วัดกันด้วยภาพลักษณ์ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เคยประกาศชัดถึงความเป็นบุคคลสีเทาของเขา ทั้งยังมีความเชี่ยวชาญในการสร้างข่าวสีสันทุกรูปแบบ สามารถยึดหน้าหนังสือพิมพ์เพื่อแฉเรื่องส่วยอ่างและอื่นๆ ได้นานนับเดือน จนกระทั่งสามารถสร้างความจดจำอย่างก้าวกระโดดในฐานะบุคคลปากกล้า จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน รวมถึงมีท่าทีโอเวอร์แอ็คติ้งแบบเอาใจคนทางบ้าน
ดังนั้น ทันทีที่ชูวิทย์กระโดดลงเล่นการเมือง ทุกบาทก้าวของเขาล้วนเต็มไปด้วยสีสัน มีแฟนคลับทุกเพศวัยตามเชียร์อย่างเหนียวแน่น นับตั้งแต่คราวสมัครผู้ว่ากทม. เป็นสอสอบัญชีรายชื่อพรรคชาติไทย กระทั่งสมัครลงเลือกตั้ง ส.ว.
ว่ากันว่าคะแนนปาตี้ลิสต์พรรคชาติไทยในการเลือกตั้งครั้งหลังสุด(ในแบบปรกติ) เกินกว่าครึ่งเป็นคะแนนที่ประชาชนเทมาให้กับนายชูวิทย์
ทุกวันนี้ ในความเนื้อหอมของชูวิทย์ พรรคการเมืองขนาดกลางอย่างน้อย 2 พรรคได้ทาบทามเขาด้วยเงื่อนไขที่ไม่อาจเปิดเผย ขณะที่พรรคชาติซึ่งเป็นพรรคต้นสังกัดเดิม คล้ายๆ กับว่าทัศนคติระหว่างเขากับหัวหน้าพรรคจะไม่ค่อยตรงกันในหลายเรื่อง เฉกเช่นปัญหาในห้องแต่งตัวของเบ็คแฮม กับ เซอร์ เอล็ก เฟอร์กูสัน
แต่ในท่ามกลางข้อต่อรองด้านผลประโยชน์ที่ยังตกลงกันไม่ได้ ชูวิทย์ก็ได้ให้เครดิตเอาไว้ว่า เขาย่อมต้องพิจารณาพรรคที่ตนเคยสังกัดเป็นลำดับแรก
ในส่วนของ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ความเนื้อหอมของเขาเกิดจากผลงานและความซื่อสัตย์ที่ตรงข้ามกับนายชูวิทย์โดยสิ้นเชิง นโยบายจัดระเบียบสังคมในสมัยที่เขาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ถูกใจชาวบ้านเป็นอย่างมาก แต่ความเป็นคนตรงทำให้มีปัญหากับนักการเมืองอื่นในพรรค จนแม้เมื่อย้ายไปอยู่กระทรวงยุติธรรม ก็ยังไม่ทำให้ปัญหาการทำงานราบรื่น จนได้ฉายา คนเกลียดทั้งพรรค คนรักทั้งเมือง
ไม่ว่าร.ต.อ.ปุระชัย หรือ ชูวิทย์ จะตัดสินใจอย่างไรกับอนาคตทางการเมืองของตนเอง แต่ทุกวันนี้พวกเขาคือบุคลากรสำเร็จรูป ที่มีดีคนละแบบ เพื่อให้พรรคการเมืองหยิบไปใช้ต่อยอดในทางที่ปรารถนา
มันก็สะท้อนชัดอยู่ว่า นักการเมืองรู้ธรรมชาติของคนไทย ที่ชอบของเด่น ของดัง จึงทำการตลาดในแบบนั้นออกมาให้เราเลือก และที่สุด ถ้าเราไม่รู้จักเลือกด้วยตัวเราเอง แม้จะมีการปฏิรูปการเมืองต่อไปในแบบไหน เราก็จะตกเป็นเพียงผู้ถูกใช้ให้เลือกอยู่นั่นเอง