เขียนให้พี่นิต ...
สายควันสีขาวหม่นลอยอ้อยอิ่งจากปลายธูป ละอองไอที่เบาบางเหมือนความเป็นจริง เหมือนความฝัน เหมือนจะคงอยู่ และเหมือนจะจางหาย
... เหมือนชีวิตคน
คราบความหม่นหมองจาง ๆ ในอากาศ แทบจะไม่แตกต่างจากความหมองหม่นที่ทาทับ บนใบหน้าของใครหลายคน ถึงแม้ในคราบจาง ๆ ที่ปรากฎบนใบหน้าของใครแถว ๆ นั้น จะส่องทะลุผ่านจนเห็นถึงเนื้อในว่าเสแสร้ง หน้ากากสังคมที่เราใส่เข้าหากันมันไม่ได้หนา หนักราวกับหน้ากากทองเหลืองอย่างที่เราคิดกันหรอก แต่บางครั้งการใส่หน้ากากเข้าหากัน มันก็เหมือนการใส่เฮดการ์ดของนักมวยนั่นแหละ อย่างน้อยถ้าจะมีใครคิดจะชกหน้าเราจัง ๆ มันก็คงช่วยลดทอนน้ำหนักหมัดลงได้บ้าง
... แต่เราไม่ใส่เฮดการ์ด นั่งคุยกับคนที่เรารัก ใช่มั้ยครับ ?
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ตอนที่ผมสองคนผัวเมีย ย้ายเข้ามาอยู่ในทาวน์เฮ้าส์หลังเล็ก ๆ ย่านดอนเมือง ในหมู่บ้านนี้ ยังมีคนเข้ามาอยู่กันไม่มากนัก เพราะบางส่วนยังทำการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ สองแถวของ ทาวน์เฮ้าส์หันประจันหน้ากันโดยมีถนนผ่ากลาง และร้านค้าของชำเพียงร้านเดียวที่มีอยู่ใน ตอนนั้นก็คือ ร้านของพี่นิต
ร้านของพี่นิต อยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องไปเล็กน้อยกับบ้านของผม วันแรกที่ผมย้ายข้าวของเข้ามา เต็มไปด้วยความวุ่นวาย และเหน็ดเหนื่อย ทำให้ผมต้องเดินเข้าไปที่ร้านของพี่นิต และจาก น้ำแข็งยูนิตถุงนั้น ก็กลายมาเป็นความเคารพนับถือกันจนทุกวันนี้
" ขาดอะไรก็มาเอาที่ร้านพี่ไปก่อนนะ จะให้พี่ช่วยอะไรก็บอก .. ไม่ต้องเกรงใจ "
พี่นิตพูดเสียงทองแดงหน่อย ๆ ภายหลังผมถึงรู้ว่าแกเป็นคนจังหวัดตรัง ความมีน้ำใจ ตรงไปตรงมา ดูเหมือนจะเป็นเอกลักษณ์ของคนจากดินแดนด้ามขวาน ทำให้ผมไม่อาจปฏิเสธความปราถณาดีของ แกได้ ผมเลยตอบรับน้ำใจของพี่นิต ด้วยเบียร์ช้างอีก 3 ขวด ความที่เป็นคนไม่ยอมคน พี่นิตเปิดเหล้า อีกแบน ...
จะเหลืออะไรล่ะครับ เมากันทั้งลูกค้า ทั้งเจ้าของร้านนั่นแหละ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
โครงสร้างของสังคมเล็ก ๆ ในหมู่บ้านของเรา ก็ไม่ต่างอะไรกับโครงสร้างของสังคมกรุงเทพฯ มีผู้คน มากหน้าหลายตา มาจากหลายทิศหลายทาง เมื่อคนเข้ามาอยู่กันมากขึ้น มันก็ต้องมีการบริหารจัดการ ทรัพยากรส่วนกลาง คณะกรรมการหมู่บ้านที่ผ่านการเลือกตั้งโดยไม่ผ่านการรับรองจาก กกต. ของหมู่บ้านเราก็เกิดขึ้น ผู้ได้รับการคัดเลือกส่วนใหญ่ก็จะมีวัยวุฒิพอสมควร ไอ้หน้าอ่อน ๆ อย่างผม ก็ไปนั่งฟังเขาวางนโยบายบริหารหมู่บ้านเท่านั้นก็พอ และหนึ่งในคณะกรรมการหมู่บ้านก็คือ ... พี่นิต
ผมมารู้ทีหลังว่า พี่นิตทำงานการเมืองให้กับพรรคการเมืองหนึ่งที่มีฐานเสียงแน่นปึ๊กในเขตดอนเมือง ปัญหาพื้นฐานบางประการของหมู่บ้าน พี่นิตก็ประสานไปยังนักการเมืองให้เข้ามาช่วยเหลือ ดูแลทุกข์สุขของคะแนนเสียง เดี๋ยวเข้ามาพ่นยาฆ่ายุง เดี๋ยวเข้ามาลอกท่อ ปีใหม่ วันเด็ก ...
ผมก็ไม่แน่ใจว่า เรื่องการเมืองนี่หรือเปล่า ที่ทำให้พี่แกต้องขัดแย้งกับใครบางคนในหมู่บ้าน
คณะกรรมการหมู่บ้าน ต้องมีอันมาล้มไม่เป็นท่าภายในเวลาอันรวดเร็ว ความสัมพันธ์ระหว่างคนในหมู่บ้าน บางคน บางกลุ่ม ดูเหมือนจะมีควันจาง ๆ มาทาทับตั้งแต่บัดนั้น แต่ถึงจะไม่มีคณะกรรมการหมู่บ้าน พี่นิตก็ยังเป็นผู้ประสานงานคนสำคัญ ที่ดึงนักการเมืองท้องถิ่นที่กำลังจะก้าวขึ้นไปเป็นนักการเมืองระดับ ชาติคนนั้นให้แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเยียนชุมชนของเราอยู่อย่างสม่ำเสมอ
โดยไม่สนใจความหมั่นใส้ในแววตาของใครบางคนในละแวกหมู่บ้านของเรา ผมมารู้ทีหลังอีกแล้วว่า นอกจากความมีน้ำใจ และตรงไปตรงมาของแกแล้ว ยังมีคุณลักษณะอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้กันดี ว่าชายไทยที่มาจากดินแดนด้ามขวานมักจะเป็นเช่นนั้น
พี่นิต .. แกเป็นนักเลงพอตัว
ตีสองของคืนวันลอยกระทงของปีนั้น พี่นิตเดินออกมาตะโกนด่าพ่อล่อแม่ดังกึกก้องไปทั้งหมู่บ้าน เนื่องจากใครก็ไม่รู้ดันมาจุดกระจับ 2 ดอกติด ๆ กัน ไอ้กระจับเนี่ยเป็นโคตรประทัดประเภทหนึ่ง ที่จุดแล้วเสียงดังหนัก ดังแน่น ดังห้วน ๆ ไม่ต่างอะไรกับเสียงปืน
แฟนพี่นิตต้องมาดึงแขนแกกลับเข้าบ้าน วงเหล้า 2-3 วงในหมู่บ้านเงียบกริบ ผมไม่รู้ว่าในค่ำคืนนั้น จะมีคนเหม็นขี้หน้าพี่นิตเพิ่มขึ้นมาอีกกี่คน แต่สำหรับผมแล้ว ผมขอบคุณพี่นิตอยู่เงียบ ๆ ในใจ ที่ทำให้ผมได้นอนหลับไปยันเช้า
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
พี่นิตเลิกทำร้านขายของ หลังจากที่เกิดคู่แข่งทางธุรกิจขึ้นในหมู่บ้านอีก 3 ราย แต่ผมก็ไม่แน่ใจนัก หรอกว่าอะไรเป็นเหตุผลที่แท้จริงของการเลิกกิจการร้านขายของชำของแก แต่ที่แน่ ๆ ก็คือพี่นิต ยังทำงานการเมืองท้องถิ่นต่อไป
และถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ไปอุดหนุนของในร้านพี่นิตอีกแล้ว แต่เราก็ยังช่วยเหลือเกื้อกูลกันตลอดมา
มีอยู่วันหนึ่ง ที่ผมออกไปทำงาน เมียผมอยู่บ้าน มีงูเขียวสติไม่ดีตัวโตกว่านิ้วก้อยเด็กหน่อยนึง เกิดเลื้อยเข้ามาหาอาหารประทังชีวิตในบ้านของผม พี่นิตมาเล่าให้ผมฟังตอนเย็นเมื่อผมกลับมาบ้านแล้วว่า เมียผมวิ่งสติแตกไประล่ำระลัก ให้แกช่วยเอาไม้ไปเขี่ยอนาคอนด้าในความคิดของเธอออกไปทิ้งหลังบ้าน ให้ที ...
" แค่เอาไม้กวาดฟาดทีนึงก็ตายแล้ว .. แต่ไม่อยากทำ สงสารมัน "
พี่นิตพูดไปหัวเราะไป แกบอกว่าเมียผมไหว้แกประหลก ๆ ตอนที่แกโยนอนาคอนด้าน้อย ลอยละลิ่ว ออกไปทางหลังบ้าน
ผมเกรงใจพี่นิตจริง ๆ ผมเลยตอบแทนน้ำใจแกด้วยเบียร์ช้างอีก 3 ขวด และแน่นอน ความที่เป็นคนไม่ยอมคน พี่นิตเปิดเหล้าอีกแบน ...
แต่คราวนี้ มันไม่ใช่ของในร้านของแก
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
เสียงสวดอันเคร่งครัดสำรวมของคณะสงฆ์ ดึงผมกลับเข้าหาภาพละอองไอธูปที่อยู่ตรงหน้า
บางทีผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมผมต้องมารู้อะไรทีหลังเสมอ แม้แต่ตอนที่พี่นิตแขวนตัวเอง ห้อยโตงเตงอยู่บนแปเหล็ก ภายในอดีตร้านขายของหน้าทาวน์เฮ้าส์ของแก ผมยังรู้เรื่องเอาก็ตอน ที่ทั้งตำรวจ ทั้งร่วมกตัญญูแห่กันเข้ามาเต็มหน้าบ้านไปหมดแล้ว
ผมลองนึกดูเล่น ๆ ... ว่าตอนนั้น พี่นิตคิดอะไร
... ผมนึกไม่ออก
เหมือนที่ผมลองพยายามนึกว่า คนที่มานั่งหน้าบ้านพี่นิต ฟังพระสวดในคราบหน้าหมองหม่นบางคนตอนนี้
คิดอะไรอยู่ มันเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาความคิดของคนอื่น แต่ผมมักจะบอกกับตัวเองเสมอว่า
คนเรา มีเหตุผลที่ดีสำหรับการตัดสินใจของเราเสมอ ถึงแม้ว่ามันจะดูไม่เข้าท่าในสายตาคนอื่นก็เหอะ
การที่พี่นิต เปิดประตูต้อนรับแขกผู้มีเกียรติจากยมโลก แล้วตอบรับแพ็คเก็จทัวร์ด้วยการเอาคอเข้าไป แขวนในเชือกไนล่อน แล้วปล่อยให้แรงดึงดูดของโลกที่กาลิเลโอพิสูจน์แล้วว่ามีอยู่จริงทำหน้าที่ของมัน มันต้องมีเหตุผลที่ดี อย่างน้อยที่สุดก็คงจะในความคิดของแกเอง
ครอบครัว .. การเงิน .. การเมือง หรืออะไรก็ตามทีเถอะ
ในฐานะของปัจเจกชน ผมถือว่า ผมยอมรับการตัดสินใจของพี่นิต ว่าพี่นิตได้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแล้ว ที่จะกระทำเช่นนั้น แม้ในความคิดบางส่วนของผมจะมองว่าความเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่งยวด เป็นเงาสะท้อนของ ความดื้อรั้นก็ตามที
ขณะที่ละอองไอของควันธูปล่องลอยอย่างบางเบา และเสียงพระสวดยังก้องกังวาน ผมกลับได้ยินเสียงเพลงของ Robbie Williams
"I sit and talk to God
And he just laughs at my plans
My head speaks a language
I don't understand
I just wanna feel
Real love feel the home that I live in
Cos I got too much life
Running through my veins
Going to waste "
...คำตอบบางประการของคำถามบางข้อ .. อาจจะพึงระลึกรู้ได้ด้วยตนเอง ในบางเวลา
และผมมั่นใจว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมไม่ได้ใส่เฮดการ์ดตอนนั่งกินเหล้ากับพี่นิต
...
ด้วยจิตคาราวะ
. . .