ตี 4
ผมเป็นคนที่นอนหลังตีสี่ ไม่ได้เป็นผลสืบเนื่องจากฟุตบอลโลก แต่เป็นมานานแล้ว ช่วงเวลาตั้งแต่ตี 1 เป็นต้นไปจนถึงรุ่งเช้า เชียงใหม่ตีนดอยสุเทพเงียบกริบ เหมาะแก่งานที่ใช้สมาธิและกาแฟ มีเสียงตุ๊กแกเท่านั้นที่ยิ่งดึกยิ่งร้องดัง แต่ไม่ใช่ปัญหา มันร้องนานๆ ครั้ง
จนช่วงฟุตบอลโลกที่มีถ่ายทอดสดถึงตีสี่นี่แหละ เสียงตุ๊กแกจึงยอมแพ้พ่ายให้กับเสียงเฮของชาวหอพัก ผมเองก็ไม่มีสมาธิ แต่อย่าโทษห้องข้างๆ เลย สมาธิของผมพุ่งไปเยอรมันโน่น
หอพักของผมอยู่ติดกับวัดขนาดเล็ก มีพระสงฆ์ชราจำพรรษาอยู่เพียง 2 รูป แต่พวกท่านเคร่งครัดมาก ไม่ว่าจะร้อนหนาวหรือมีพายุพัดกระหน่ำ ทุกตี 4 พวกท่านจะต้องลุกขึ้นมาเคาะระฆัง เป็นจังหวะต่อเนื่องกันไม่ต่ำกว่า 20 ครั้ง
ตอนผมย้ายมาอยู่หอนี้ใหม่ๆ ยังไม่คุ้นกับเสียงเคาะระฆังตอนตี 4 สารภาพเลยว่าโกรธพระมากๆ คิดในใจว่าก็จำพรรษาอยู่เพียง 2 รูป เคาะประตูกุฏิเรียกกันก็น่าจะตื่นแล้ว ทำไมต้องเคาะระฆัง
ครั้นเมื่อเริ่มปรับตัวเองได้ และเปลี่ยนเวลามานอนหลังตี 4 เวลาได้ยินเสียงระฆัง ผมจะหยุดทำงาน ถือเป็นระฆังหมดยก ลงจากเวที หลับสนิท
ที่หอพักปีนี้มีชาวเวียดนามมาเช่าพักจำนวน 9 คน พวกเขาพักอยู่ซีกหอราคาถูก ด้านที่ติดกับวัด ติดกับป่าช้า และที่ร้ายที่สุด ติดกับหอระฆัง
คนเวียดนามพูดไทยไม่ค่อยได้ ส่วนคนไทยนั้นพูดเวียดนามไม่ได้เลย แต่ความที่ผมเคยไปเวียดนาม ผมก็จำมาพูดกับพวกเขาได้ 2 คำ
ซินจ่าว-สวัสดี และ กำเอิน-ขอบคุณ
พูดกับพวกเขาเสร็จก็เดินหนีไปทุกครั้ง กลัวเขาจะพูดต่อ
ทางเข้าหอพักของผมเป็นซอยเล็กๆ เพิ่งมีป้ายมาปักชื่อให้ไม่นานนี้ว่าซอย 7 เวลาขับรถเข้าซอยนี้สนุกมาก เพราะเป็นเนินโค้งลาดลงไป ด้านขวามือเป็นกำแพงวัด ด้านซ้ายไม่นานนี้เคยเป็นที่โล่ง ทางน้ำลง แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นหอพักสร้างใหม่ ขนาดใหญ่โตมาก
ผมยังสนุกกับการขับรถเข้าซอยจนย่างเข้าสู่ช่วงฝนหลงฤดู มันตกติดต่อกัน 3 วัน และผลจากการที่สร้างหอพักใหม่ขึ้นขวางทางน้ำ มันทำให้ถนนซอย 7 เส้นริมกำแพงวัดมีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ กลายเป็นสระน้ำขนาดย่อมๆ ลึกเกือบถึงเข่า รถยนต์และมอเตอร์ไซคล์ที่จะใช้เส้นทางผ่านเข้าหอ ต้องแก้ปัญหาด้วยการขับรถอ้อมเข้าไปในวัด และออกตรงประตูหลัง
สถานการณ์เป็นอย่างนั้นอยู่ 3 วัน เจ้าของหอที่กำลังสร้างใหม่ก็เอาเครื่องสูบน้ำมาสูบออก รถจึงวิ่งในเส้นทางปรกติได้อีกครั้ง
หลายวันต่อมา ฝนตกลงมาอีก น้ำกลับมาท่วมขังเป็นสระย่อมๆ อีกครั้ง แต่คราวนี้ต่างจากคราวแรก คือแม้เมื่อผ่านไปแล้วเกิน 1 เดือน ก็ยังไม่มีใครสูบน้ำออก
1 เดือนที่ผ่านไป วัดคือเส้นทางหลักระหว่างหอกับโลกภายนอกซอย 7
หอพักขนาดใหญ่มีการก่อสร้างที่คืบหน้าไปมาก แต่แม้ฝนทิ้งช่วงไปนาน สระน้ำในซอย 7 ก็ยังไม่เปลี่ยนกลับเป็นถนน ทุกคนในหอพักรู้ดีว่าพระต้องตื่นตี 4 และต้องออกบิณฑบาตในเวลาเช้า ดังนั้นการนอนหัวค่ำจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง หากรถราที่ต้องใช้เส้นทางในวัดตลอด 24 ชั่วโมง อาจส่งเสียงรบกวนจนพระหลับๆ ตื่นๆ
กระนั้น ระฆังยังกังวานทุกตี 4 ไม่เคยขาด
เป็นเวลาเดือนกว่าที่สระน้ำดำรงอยู่กลางถนน แต่เพิ่งเมื่อวานนี้เองที่รถทุกคนซึ่งกลับหอพักหลัง 2 ทุ่มจำเป็นต้องลุยน้ำเข้าไป เหตุผลก็เพราะวัดได้ปิดประตูเข้าออกทั้ง 2 ด้าน และกระทั่งวันนี้หลัง 2 ทุ่มไปแล้ว รถก็ต้องลุยน้ำเข้าไปเช่นเมื่อวาน คล้ายเป็นสัญญาณว่าวัดต้องการความสงบหลัง 2 ทุ่มเป็นต้นไป คนที่กลับหอดึกจึงไม่มีสิทธิ์ใช้เส้นทางของวัดได้อีก
ผมเห็นว่าเรื่องนี้คนที่เดือดร้อนที่สุดเป็นพวกคนเวียดนาม พวกเขาทำงานพิเศษจนต้องกลับหอดึกเสมอ และซ้ำร้ายยังเป็นคนกลุ่มเดียวในหอที่ใช้จักรยานเป็นพาหนะ การปั่นจักรยานลุยน้ำระดับเกือบถึงเข่าไม่ใช่เรื่องง่าย นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องจูงจักรยานเดินลุยน้ำสกปรกเข้าไป
การที่ได้ยินเสียงโวยวายเป็นภาษาเวียดนามในกลางดึกคืนนี้จึงเป็นเรื่องที่ผมเข้าใจได้
นอกจากการลุยน้ำยามดึกเข้าซอย 7 แล้ว เหตุการณ์อื่นๆ รอบหอพักยังปรกติ ในห้อง ผมยังทำงานต่อไปโดยมีแก้วกาแฟอยู่ข้างๆ พอตีสามกว่าๆ ก็ได้ยินเสียงตุ๊กแกร้องเป็นปรกติ และกำลังคิดว่าถ้างานไม่เสร็จผมก็จะนอนแล้ว ทันทีที่ระฆังหมดยกดังขึ้น
สมองไหลลื่น งานลุล่วงไปมากจนลืมเวลา เมื่อเงยหน้าขึ้นมองไปทางหน้าต่างจึงได้รู้ว่าเกือบเช้าแล้ว หันไปมองนาฬิกา 05.30 น.
นี่ผมเพลินกับงานไปจนไม่ได้ยินเสียงระฆังเชียวหรือ ?
ตื่นมาตอนสายๆ ลงไปกินข้าวที่ร้านข้างหอพัก ได้ยินกลุ่มเด็กสาวๆ ชาวหอพูดคุยกันสนุกสนาน จับความได้ว่าเมื่อเช้านี้มีพระจากวัดข้างๆ เข้ามาแจ้งความกับแม่บ้านที่หอ บอกว่าระฆังวัดหาย ให้แม่บ้านช่วยสืบหาด้วย ผมได้ฟังก็นึกขัน ถึงว่าเมื่อหัวรุ่งจึงไม่ได้ยินเสียงระฆัง
แต่ใครเล่าจะขโมยระฆังวัด อะไรไม่รู้ทำให้ผมนึกสงสัยคนกลุ่มหนึ่งขึ้นมา
ผ่านไปอีก 3 วัน สระน้ำยังอยู่กลางซอย วัดยังปิดประตูเข้า-ออกตอน 2 ทุ่ม และสี่วันมาแล้วที่ตี 4 เงียบกริบ ทว่าในความเงียบนั้นผมรู้ดีว่าสถานการณ์รอบด้านกำลังตึงเครียด
ข้อสันนิษฐานของผมดูจะเป็นจริงมากขึ้น เมื่อวันต่อมาประตูวัดได้ปิดสนิทในเวลา 6 โมงเย็น บ่ายนี้รถมอเตอร์ไซคล์ของผมเพิ่งถูกนำไปซ่อม เพราะคันสตาร์ทค้าง ช่างซ่อมบอกว่าเหตุเกิดจากน้ำเข้าคันสตาร์ท
นั่นเอง ผมจึงคิดว่าตัวเองจะอยู่เฉยกับเรื่องนี้ไม่ได้อีกแล้ว
มันยากกว่างานประจำที่ทำอยู่เสียอีก เมื่อเราต้องมานั่งคิดว่าจะจัดการอย่างไรกับสระน้ำกลางซอย ประตูวัด และระฆังที่หายในเวลาเดียวกัน ผมไม่ใช่คนท้องถิ่น ให้ติดต่อประสานงานกับใครก็คงยาก ตอนเย็นๆ ระหว่างที่พักผ่อนดูละคร ผมเปิดช่อง 7 พระเอกที่เล่นคือ ไชยา มิตรชัย
ไชยากำลังโด่งดัง รำก็สวย ร้องเพลงก็เพราะ แม้จะดูติดขัดในบทพระเอกละครอยู่บ้าง ผมกำลังจะกดเปลี่ยนช่องตอนที่โฆษณาพอดี พลันความคิดบรรเจิดเป็นมรรคผล
ไชยา มิตรชัย ทำให้ผมนึกถึงเพลง กระทงหลงทาง
ไม่ต้องบอกก็คงเดาได้ ว่าในวันต่อมาซึ่งไม่ใช่วันเพ็ญเดือน 12 ผมทำกระทงของผมไปลอยไว้ที่ไหน เพียงวันเดียวเท่านั้นมันก็ส่งผลเกินคาด พวกเราได้เห็นเครื่องสูบน้ำปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง และได้เห็นผิวถนนซึ่งจมหายไปเป็นเดือนๆ อีกครา กระทงของผมถูกกำจัดไปก่อนที่เครื่องสูบน้ำจะมาถึงเสียอีก แต่ถึงอย่างนั้น มันเป็นครั้งแรกของการลอยกระทงที่คำอธิษฐานสัมฤทธิ์ผลเร็วชะมัด
รถกลับมาวิ่งในเส้นทางปรกติได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว และค่ำนั้นวัดก็ไม่ได้ปิดประตูเข้า-ออก ผมกลับเข้าห้อง นั่งทำงานอย่างกรุ้มกริ่มในอารมณ์ เบื้องนอกมีฝนตกลงมาปรอยๆ ผมตั้งใจจะเขียนอวดผลงานของตัวเองเรื่องนี้ลงที่ไหนสักที่ ซึ่งคงไม่ใช่ตะกร้า
เอ้อระเหยกับการเปิดหาที่ตามอยู่นิตยสารอยู่จนเกือบตี 4 รู้สึกปวดปัสสาวะ จึงลุกขึ้นไปปลดทุกข์ในห้องน้ำ
เสร็จธุระ และกำลังจะกดชักโครก พลันกลับต้องสะอึกกับบางอย่างของโมงยามนี้
04.00 น. ผมได้ยินมันชัดเจน
เป๊งๆๆๆ...เป๊งๆ..เป๊ง...
คุณครับ ระฆังกลับมาแล้ว!