last supper .. ของพระเจ้าแห่งบอร์ดหลุดโลก
เสียงเคาะประตูเบา ๆ สองสามครั้ง ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงลั่นของลูกบิดประตู
เป็นประตูของห้องเล็ก ๆ ทาสีขาวสะอาดสะอ้าน ห้องเล็ก ๆ ที่สุดระเบียงทางเดินของหอพักผู้ป่วย
ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว ห้องที่แดดยามสายส่องทอดประกายอุ่น ๆ กระจาย
ไปทั่วห้อง บนเตียงมีชายคนหนึ่งนอนทอดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มสีขาวที่มีโลโก้เล็ก ๆ ของโรงพยาบาล
ขวดน้ำเกลือใส ๆ แขวนอยู่บนเสาแสนเลสเงาวับด้านข้างเตียง หยดน้ำในขวดค่อย ๆ ไหลเอื่อย ๆ
ไปตามสายยาง ก่อนจะบีบตัวผ่านความแหลมคมของปลายเข็มที่แทรกตัวผ่านเลือดเนื้อที่หลังมือ
เข้าไปละลายในกระแสเลือด
" สวัสดีครับพี่ .. "
ชายบนเตียงมองดูผู้มาเยือนยามสาย ที่พาตัวเองผ่านประตูเข้ามาภายในห้อง ผมทรงรองทรงสูง
เสื้อเชิ๊ตแขนยาวสีครีมที่พับแขนเสื้อขึ้นมาถึงข้อศอก กางเกงสแล็คสีดำ รองเท้าหนังเงาวับ ในมือ
ถือกระเช้าใบย่อม ๆ มีกล่องอาหารเสริม นมจืดตราหมี ซูปไก่สกัด ผลแอปเปิ้ลสุกผลั่งอีก 5-6 ลูก
และรอยยิ้มละมัยบนใบหน้า
ในความทรงจำ เขาแน่ใจว่าไม่เคยรู้จักผู้ชายคนที่แต่งต้วคล้ายเจอร์เก้น คลิ้นส์มัน ยืนถือกระเช้า ยิ้มน้อย ๆ อยู่ปลายเตียงผู้ป่วยคนนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าไอ้หมอนี่มันเป็นใคร
" เอ่อ .. คุณ ผมคิดว่าผมไม่รู้จักคุณนะ เข้าห้องผิดรึเปล่า "
" ไม่ผิดหรอกครับ พี่เอ้บอกผมเองว่าพี่พักอยู่ห้องนี้ " ผู้มาเยือนหันไปวางกระเช้าของเยี่ยมผู้ป่วย บนหลังตู้เก็บของที่อยู่ข้างเตียง บนนั้นมีแจกันดอกไม้สีสดที่ยังไม่มีวี่แววอ่อนระโหยโรยแรง ราว กับจะเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วยที่อ่อนล้า และกำลังขมวดคิ้วปักเข้าหากัน
" เอ้ .. เอ้ไหน ? "
" เอ้ บางกะปิ " ชายบนเตียงจับจ้องผู้มาเยือนอย่างตื่นตะลึง ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงยิ้มละมัย
ความเยียบเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในห้อง ดูจะลดต่ำวูบจนเกือบถึงจุดเยือกแข็งในความรู้สึก ของชายบนเตียง แต่สีหน้าของเขากลับคืนสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว ในสมองของเขากำลังทำการ ประเมินสถาณการณ์เฉพาะหน้าถึงจุดประสงค์ของผู้มาเยือนแปลกหน้าที่ยืนประชิดเตียงผู้ป่วย
" คุณมาเยี่ยมใคร ? "
" ผมมาเยี่ยม .. พระเจ้า "
ชายบนเตียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเบือนหน้าจากผู้มาเยือนมองทอดออกไปนอกประตูระเบียง
" มาผิดที่แล้วคุณ จะไปหาพระเจ้าก็ไปที่โบสถ์สิ ไม่ใช่ที่นี่ "
ผู้มาเยือนยังคงยืนอย่างสงบ แววตายังจับจ้องดูการเคลื่อนไหวทุกส่วนบนใบหน้าของผู้ป่วยที่นอน อยู่บนเตียง ในห้วงเวลาที่ดูเหมือนทุกสิ่งจะหยุดนิ่ง ความเคลื่อนไหวเพียงอย่างเดียวที่เกิดขึ้นก็คือ หยดใส ๆ ของน้ำเกลือในขวดที่กำลังทิ้งตัวลงมาทีละหยด
" ไม่ผิดหรอกครับ ผมมาเยี่ยมพระเจ้าแห่งบอร์ดหลุดโลก พระเจ้าแห่งบอร์ดผูกพัน พระเจ้าแห่งบอร์ด บางกะปิ ... ผมมาเยี่ยมพี่นั่นแหละ พี่โอ๊ค "
ถึงแม้สีหน้าจะสงบนิ่ง แต่จังหวะการเต้นของหัวใจของชายบนเตียงผู้ป่วยกลับเต้นในจังหวะที่แรงขึ้น ยามได้ยินประโยคที่ผ่านออกมาจากปากผู้มาเยือน เขาถอนหายใจยาวเพื่อเรียกสติและการควบคุม ตัวเองกลับมา เขาไม่ต้องการให้ผู้มาเยือนล่วงรู้ความวิตกกังวลที่ก่อขึ้นในใจเขาขณะนี้ และตราบใด ที่เขายังไม่แน่ใจถึงเจตนาการมาของชายแปลกหน้า เขาก็จะไม่ยอมให้อีกฝ่ายล่วงรู้ความคิดของเขา เป็นอันขาด
" คุณเป็นใคร ? "
ผู้มาเยือนเปิดยิ้มกว้าง บางครั้งการสนทนาสั้น ๆ ก็เหมือนการวางหมากในเกมส์หมากรุกที่ต้องชิงไหว ชิงพริบกันตลอดเวลา เมื่อฝ่ายตรงข้ามถามว่าเขาเป็นใคร ก็เท่ากับว่าเขายอมรับแล้วว่าเขาคือพระเจ้า เมื่ออีกฝ่ายเปิดช่องให้เยี่ยงนี้ ผู้มาเยือนจึงเดินหมากโคนทิ่มเข้าไประหว่างช่องว่างของเกมส์ด้วยการ พลิกหลังมือขวาเข้าไปให้ชายบนเตียงดู
มันมีรอยสักเล็ก ๆ ขนาดเพียง 2-3 เซนติเมตร ราวกับเป็นเครื่องหมายอะไรบางอย่าง ตรงขอบโดยรอบ มีลักษณะคล้ายช่อของกิ่งไม้หรือใบไม้อะไรสักชนิดหนึ่ง ดวงตาสีแดงปั๊ดแม้จะเล็กแต่ทรงไว้ซึ่งอำนาจ คุกคามต่อสิ่งมีชีวิตทั้งปวงอยู่บนใบหน้าที่ดำสนิท ...
ในระหว่างสองเขี้ยวที่แสยะอ้าออก กัดศาสตราวุธที่มีปลายแหลม !
แววตาของพระเจ้าที่นอนทอดกายบนเตียงสาดประกายจ้า เมื่อระลึกออกว่ารอยสักที่เห็น คือเครื่องหมาย ที่ถูกติดบนหน้าอกเบื้องซ้ายของผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรจู่โจมของศูนย์สงครามพิเศษ สัญลักษณ์ เสือคาบดาบอันเกรียงไกร ราวกับจะพิฆาตศัตรูทุกผู้ทุกนามที่บังอาจขวางทาง
" ไอ้เหี้ยจ่า ... "
" โอ๊ะ .. โอ๊ะ ... พูดไม่เพราะเลยนะพี่โอ๊ค " ผู้มาเยือนรั้งมือกลับก่อนจะเดินไปหยุดที่ประตูระเบียงห้อง
แดดยามสายส่องทอดประกายอุ่น ๆ อยู่เบื้องนอก เขาจ้องมองไปยังท้องฟ้าสีครามที่ไกลลิบ ๆ
" สมแล้วที่เป็นพระเจ้าแห่งบอร์ดหลุดโลก ผมเชื่อว่าพี่ต้องเดาออกว่าผมเป็นใคร "
" ผมคือ จสอ.โจ หรือจ่าโจ หรืออีกนัยหนึ่ง นามที่พี่เพิ่งเรียกผมไปเมื่อตะกี้นี้ ... ไอ้เหี้ยจ่า "
จ่าโจ หันกายกลับมามองพระเจ้าที่นอนอยู่บนเตียง แม้จะเป็นครั้งแรกของการพบกันในโลกของความ เป็นจริง แต่ทั้งสองคนกลับไม่เหมือนคนแปลกหน้า อย่างน้อยที่สุดต่างฝ่ายต่างรู้ว่ามีจุดร่วมที่คล้ายกัน อยู่บ้าง ...
ทั้งสองคน เป็นนักเขียน
............................................................................
เรื่องราวในโลกไซเบอร์สเปช ไม่ได้แตกต่างจากถนนจอมยุทธสักเท่าใดนัก มันเต็มไปด้วยตัวประหลาด ร้อยสีพันอย่าง มีคนขี้เหงา สาวช่างพูด ช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงเมเนเจอร์บริษัท ผู้คนนับแสน นับล้านเดินทางเข้าออกในโลกอินเตอร์เน๊ตอย่างวุ่นวายทุกวัน ราวกับผู้โดยสารที่ใช้บริการสนามบิน สุวรรณภูมิ และถ้าใครบางคนพยายามบอกว่าสนามบินแห่งนี้เป็นฮับของการบินย่านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
บอร์ดหลุดโลก .. ก็เป็นฮับของความเลวทรามต่ำช้าในโลกไซเบอร์สเปช
ทุกอย่างที่กระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศบอกว่าเป็นอันตรายต่อการใช้งานอินเตอร์เน๊ตของเยาวชนไทย คุณจะพบได้ที่นี่ จะเอาอะไรล่ะ รูปโป๊ คลิปวีดีโอ คำหยาบคายที่ด่าทอกันชนิดที่ครูสอนภาษาไทยอ่านแล้ว อยากมุดกลับเข้าไปยังช่องคลอดของแม่ตัวเอง เพื่อขอไปเกิดใหม่ยังประเทศอูกานด้า วัฒนธรรมหลุดโลก คือเสรีภาพในด้านมืดของความเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ในหน้าเวปเพจสีเหลือง ๆ กลับก่อกำเนิดงาน เขียนสวนกระแสที่ถูกบัญญัติศัพท์เสียสวยหรูว่า ..
ทารุณกรรมทางภาษา และขีดฆ่าจินตนาการ
ในยุคสมัยแห่งความเกรียงไกร จนมีคนขนานนามว่า หลุดโลกเรอเนอซองค์ เวปบอร์ดใต้ดินแห่งนี้ก่อให้เกิด
ความตื่นตัวของงานวรรณกรรมใต้ดินราวกับการออกประกาศของคณะปฏิรูปฯ ไม่เคยมีใครคาดคิดว่า งานเขียน
ที่มีแต่ความลามกจกเปรต เรื่องราวด้านมืดของจิตใจมนุษย์ ความคิดอ่านของคนโรคจิคที่ชอบโชว์อวัยวะเพศ
ของตนต่อที่สาธารณะ ไปจนถึงวินาทีปาดคอหอยของฆาตกรต่อเนื่อง จะได้รับการตีพิมพ์ด้วยวิธีการที่หยาบ
ราวกับเอาฝ่าตีนเข้าเล่มเช่นเดียวกับเนื้องาน ไปเสนอหน้าอยู่ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติภายใต้ชื่อ
" จิ้งจกทัก "
ปฏิบัติการเย้ยภาพลักษณ์ของสังคมที่สร้างภาพความเป็นเมืองพุทธ และเปื้อนรอยยิ้มบนใบหน้า เกิดจากน้ำมือ ของคนที่ใช้ยูสเซอร์เนมว่า .. พระเจ้า
ไม่มีใครในช่างเวลานั้นปฏิเสธความยิ่งใหญ่ในงานเขียนของพระเจ้า ไม่มีใครในบอร์ดหลุดโลกกล้าต่อปากต่อ คำกับพระเจ้า พระเจ้าจะสั่งสอนอบรมให้คนผู้นั้นอยากเอามีดหั่นผักแทงสวนทวารตัวเองด้วยความเจ็บแค้นใจ ที่ด่าสู่แม่งไม่ได้จนอยากไปเกิดในภพภูมิใหม่ ที่ไม่ต้องมาเจอกับวลีจังไรเยี่ยงนี้
งานเขียนของพระเจ้า เหมือนสารเสพติดรูปแบบหนึ่งที่มีฤิทธ์กระตุ้นต่อจิตและประสาท ใครได้ลองอ่านสักหน จะติดไปจนตาย ต่อให้ไปอ๊วกจนหมดท้องหมดใส้ที่วัดถ้ำกระบอกก็เลิกอ่านไม่ได้ รูปแบบการเล่าเรื่องที่มีจังหวะ จะโคน ดึงผู้อ่านให้เตลิดไปกับจินตนาการราวกับเห็นภาพปรากฏอยู่เบื้องหน้า กว่าจะรู้ตัวเรื่องราวทั้งหมดก็ซึม ซับผ่านกระบวนการคิดไปฝังแน่นอยู่ในจิตใต้สำนึกของผู้อ่านจนเหมือนกับคราบเมนส์บนผ้าอนามัยแบบมีปีก
สายตรวจจากสถานีตำรวจนครบาลโชคชัย เคยจับกุมชายคนหนึ่งที่ยืนสำเร็จความใคร่อยู่ที่โคนเสาไฟฟ้าในซอย โชคชัย 4 ภายหลังจากการสอบสวนค่อนคืน ชายคนนั้นยอมรับสารภาพว่า .. เขาชักว่าวให้มดแดก เหมือนอย่าง ที่อ่านมาจากในอินเตอร์เน๊ต !
แต่ไม่ว่าจะมองจากแง่มุมไหน พลิกล่างพลิกบนอย่างไร พระเจ้า ก็ยังดูยิ่งใหญ่ราวกับเทพผู้ปกครองดูแล เหล่ามนุษย์ผู้หลงทางในทะเลทรายอันเวิ้งว้างของบอร์หลุดโลก .. จนมาวันหนึ่ง
พระเจ้า หายไป ...
ไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริงของการจากไปแห่งพระเจ้าของบอร์ดหลุดโลก โลกไซเบอร์สเปซมีผู้คนผลุบเข้า ผลุบออกวินาทีละหมื่น นาทีละแสน การไม่มีพระเจ้าก็ไม่ต่างกับการที่ขนหน้าแข้งร่วงไปเส้นหนึ่ง ฝูงมนุษย์ ผู้หิวโหยยังคงก่นด่าอย่างกึกก้อง รุมจิกทึ้งเพศเมียที่มาโพสต์กระทู้ สำเร็จความใคร่กับภาพสองพวงนมของ มิยาบิ
นาฬิกาดิจิตอลในชิพเซ็ต ยังคงเดินต่อไป กลุ่มยูสเซอร์เล็ก ๆ ของบอร์ดหลุดโลกก่อตัวกันโพสต์งานเขียน หลากรูปแบบตามความถนัดของตัวเอง แลกเปลี่ยนทรรศนะในงานเขียน สร้างสรรค์วรรณกรรมใต้ดินจนถูก ขนานนามในเวลาต่อมาว่า " หลุดโลกนิวเอจ " หลังจากการพบปะกินเหล้ากันจนเมาแทบไม่เป็นผู้เป็นคน พัฒนากลายเป็นหนังสือรวมงานเขียนใต้ดินที่ราวกับจะเดินตามทางหนังสือรุ่นพี่อย่างจิ้งจกทัก
" ดักเหี้ย "
หนึ่งในกลุ่มหลุดโลกนิวเอจ ปรากฏนาม จ่าโจ ....... รวมอยู่ในนั้นด้วย
............................................................................
" จ่า .. ต้องการอะไร ? "
พระเจ้าเอ่ยถามขณะที่สายตายังคงมองไปยังแสงขาวนวลใต้ฝ้าเพดาน ประสพการณ์ที่ผ่านมาบอกกับตัวเอง ว่าบรรดานักเขียนต่างมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวร่วมกันอย่างหนึ่ง คือการเป็นคนช่างสังเกตุ ไม่ว่านักเขียนคนนั้น จะเขียนแนวบทความ แนวจินตนาการ หรือแนวเรื่องจริง การระลึกรู้ถึงสัมผัสรอบกายย่อมนำมาซึ่งการบรรยาย บรรยากาศผ่านทางตัวอักษร ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจขาดได้ในงานเขียน ยิ่งทำให้คนอ่านซึมซาบผ่านทางรูปประโยค เท่าใดก็เท่ากับว่าทำให้คนอ่านเห็นภาพเช่นเดียวกับในสมองผู้เขียนเท่านั้น ลักษณะพิเศษเฉพาะของนักเขียนนี่เอง ที่ดันไปพ้องกับงานหลายด้านอย่างเช่น นักจิตวิทยาที่กำลังรับฟังปัญหาของผู้ป่วยโรคจิต สารวัตรสืบสวนสอบสวน ที่กำลังเค้นหาที่ซ่อนของกลางจากผู้ต้องหา หรือแม้แต่ทนายความที่กำลังซักฟอกจำเลยคดีเช็คเด้ง
เขาชอบอ่านใจผู้อื่น สังเกตุผู้อื่น แต่ไม่ต้องการให้ใครหน้าไหนมาอ่านใจเขา สังเกตุเขา แต่ในสภาพที่ต้องนอน หยอดน้ำเกลือบนเตียงเยี่ยงนี้ อย่างน้อยที่สุด การเลี่ยงไม่สบตาฝ่ายตรงข้ามที่ยังคาดเจตนาการมาเยือนไม่ออก คนนี้ ก็น่าจะไม่ทำให้เขาเปิดช่องว่างมากนัก
" ผมมาดี ... หนึ่งก็คือมาเยี่ยมพี่ "
" สอง ผมมีคำถามบางอย่าง ได้คำตอบแล้วผมก็จะกลับ "
พระเจ้าดึงสายตาจากฝ้าเพดานมามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างจริงจัง แววตาที่เด็ดเดี่ยวใต้คิ้วดกหนา ริมฝีปากที่เหยียดขึงราวกับเป็นเส้นตรง บ่งบอกถึงความเป็นคนช่างคิดอยู่ในที เสื้อผ้า หน้าผม ที่ถูกดูแลอย่าง คมกริบราวกับคมดาบปลายปืนที่ถูกสักอยู่ที่หลังมือ จนมองเห็นภาพได้ว่าเขาไม่ควรแทรกตัวอยู่ในเสื้อเชิ๊ตแขน ยาวพับแขน กางเกงสแล๊ต แต่น่าจะอยู่ภายใต้เครื่องแบบลายพรางบนรถฮัมวี่
" หน้าตาพี่ดูไม่เหมือนคนเป็นโรคไตเลยนะ "
จ่าโจพูดพลางหันตัวไปยังกระเช้าของเยี่ยม ก่อนจะหยิบผลแอปเปิ้ลสุกปลั่งสีแดงอมเหลืองขึ้นมาหนึ่งลูก
" พี่ยังจำครั้งแรกที่พี่กินแอปเปิ้ลได้มั้ย ? " จ่าโจพลิกหมุนแอปเปิ้ลลูกนั้นไปมาเบื้องหน้าพระเจ้า ก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องน้ำภายในห้องพักผู้ป่วย ที่ติดประตูทางเข้า เสียงซู่ของหัวก๊อกคอตโต้เหนืออ่างล้างมือในห้องน้ำ จ่าโจจ่อผลกลมมนเข้าไปขวาง ละอองสายน้ำจากหัวก๊อก
" นี่เป็นคำถามข้อแรกรึเปล่า ? " พระเจ้าถาม เสียงหัวเราะหึ ๆ ดังแว่วออกมาจากหลังประตู ก่อนที่จะมีเสียงปิดน้ำ
และเดินกลับออกมาของจ่าโจ
" พี่เนี่ย .. สมกับที่ใครบอกว่าเป็นทนายเลยนะ "
" หมอเขาว่าไงมั่งล่ะ .. เรื่องไตของพี่อ่ะ " จ่าโจดึงมีดออกมาจากกระเช้าที่วางอยู่ข้างเตียง ประกายเงาวับบ่งบอก ถึงความคมกริบ ใบมีดยาว 4 นิ้วที่มีคมเบาบางราวกระดาษ ยามกดลงบนผลแอปเปิ้ล กลับเดินทางผ่านอย่างนุ่มนวล จากฝั่งหนึ่ง ไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง เหมือนการร่อนลงโฉบเหยื่อของนกนางแอ่น
เพียงชั่วเวลาถอนหายใจเข้าออก 3 ครั้ง จ่าโจผ่าแอปเปิ้ลลูกนั้นออกเป็น 8 ซีก แต่ละซีกดูเหมือนจะมีขนาดเท่ากัน ราวกับเอาไม้บรรทัดวัดขนาดแล้วตัด ชิ้นส่วนแอปเปิ้ลทั้ง 8 ซีกถูกวางเรียงเป็นระเบียบอยู่บนจานรองแก้วกาแฟที่ พระเจ้ากินหมดไปเมื่อช่วงเช้า จ่าโจหยิบชิ้นแอปเปิ้ลขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ก่อนจะจรดคมมีดออกปอกเปลือกสีแดงอมเหลือง คมมีดวิ่งผ่านผิวเนื้อเปล่งปลั่งเป็นมัน สไลด์ผิวเปลือกออกมาบางเฉียบราวกับเศษขี้กบไสไม้ของช่างมืออาชีพ
ในสายตาของคนทั่วไป จ่าโจกำลังนั่งปอกแอปเปิ้ล .. แต่ในสายตาของพระเจ้ากลับแตกต่างออกไป
ไม่ว่าใครต่างก็เคยใช้มีด มีดเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าบ้านไหน ๆ ก็มีมีดอยู่ในครัว มีดมีหลากหลาย ขนาด บ้างสั้นเพียง 2 นิ้ว บ้างยาวเป็นฟุต มีดถูกผลิตจากวัสดุนานาชนิด บ้างผลิตจากเหล็กกล้า บ้างทำจากสแตนเลส มีดบางเล่มถึงกับใช้โลหะเยี่ยงเดียวกันกับชิ้นส่วนที่เป็นองค์ประกอบของยานอวกาศ น้ำหนัก ความหนาบาง วัสดุที่นำมา ผลิต ไปจนถึงวิธีการผลิตมีดแต่ละเล่มล้วนแตกต่างกัน จุดประสงค์ของการใช้งานของมีดแต่ละเล่มก็แตกต่างกัน
แต่ไม่ว่ามีดเล่มไหน ก็ไม่สำคัญเท่ากับ .. คนใช้มีด !
มีดปังตอเล่มหนาหนัก ยามอยู่ในมือของพ่อครัวผู้ชำนาญการสามารถหั่นชิ้นเนื้อของหูหมูได้ความหนาเพียง 3 มิลลิเมตร ในขณะที่มีดทำครัวยาว 8 นิ้ว ที่ผลิตจากโรงงานชั้นดีเยี่ยมในประเทศเยอรมัน กลับไม่สามารถสับชิ้นเนื้อสะโพกของหมู ตัวเดียวกันให้ละเอียดนุ่มนวลจนกลายเป็นหมูสับต้มตำลึงในครัวของแม่บ้านที่จบปริญญาตรี
จ่าโจวางชิ้นแอปเปิ้ลที่ปอกเปลือกเสร็จบนฝ่ามือซ้าย ก่อนจะกดคมมีดผ่านเนื้อละเอียดสีขาวอมเหลือง แบ่งมันเป็นชิ้นเล็ก ๆ
อีก 5 ชิ้น จัดวางในจานรองแก้วกาแฟ ก่อนจะหยิบชิ้นแอปเปิ้ลถัดไปขึ้นมาปอกเปลือก ในขณะที่พระเจ้ายังจับจ้องคมมีดที่วิ่ง
สไลด์ผ่านเปลือกมันวาว ช่วงเวลาไม่เกินต้มมาม่า 1 ซอง แอปเปิ้ลผลนั้นก็กลายเป็นชิ้นเล็ก ๆ พูนอยู่บนจานรองแก้วกาแฟ
ไม้จิ้มฟัน 3 อัน ถูกจิ้มลงไปบนชิ้นแอปเปิ้ลที่อยู่ด้านบนสุด จ่าโจถือขอบจานด้านหนึ่งยื่นส่งมาถึงเบื้องหน้าของพระเจ้า
แววตากลับแฝงความวิงวอนเหมือนเด็กขอกินไอติม
... อย่างช้า ๆ พระเจ้าเอื้อมมือไปหยิบก้านไม้จิ้มฟัน
แอปเปิ้ลชิ้นน้อยติดตามขึ้นมาเหมือนปลาสวายที่ถูกเบ็ดดึงให้ขึ้นมานอนกองอยู่บนฝั่ง ก่อนจะส่งชิ้นสีขาวอมเหลืองเข้าปาก
อย่างน้อยที่สุด ในแววตาของจ่าโจก็ไม่มีความปราถนาร้าย ในความหวานอมเปรี้ยวน้อย ๆ ของชิ้นแอปเปิ้ล พระเจ้า กำลังถามตัวเองว่า เขารู้จักจ่าโจสักแค่ไหนกันเชียว ...
............................................................................
ดูเหมือนการปรากฏกายของจ่าโจในโลกไซเบอร์สเปซในช่วงแรก ๆ จะไม่ได้รับความสนใจเท่าใดนัก เขาบอกแต่ เพียงว่าเขามาตามหาซิลี่บั๊ก หนึ่งในนักเขียนเรื่องที่ถูกกล่าวขานในยุคหลุดโลกเรอเนอซองค์ และเป็นหนึ่งในทีม จิ้งจกทัก ใครจะมาสนใจอะไรกันนักกันหนา ถึงการคงอยู่หรือหายไปของใครสักคนในโลกไซเบอร์ คำถามของจ่าโจ จึงเหมือนเสียงหอนของหมาลงทางกลับบ้านไม่ถูก ในช่วงเวลาที่หนังสือจิ้งจกทักกำลังสร้างชื่อ ถึงขนาดวางขาย ในอเมซอนดอทคอม ใคร ๆ ต่างก็ขวยขวายทุกวิถีทางเพื่อจะให้ได้ครอบครองงานเขียนที่แสนสถุลอุบาทว์ ปลื้ม ปิติที่ได้พลิกอ่านข้อความบนกระดาษซีร๊อกซ์ที่แลดูไม่ต่างกับถุงกล้วยแขก แล้วโพสต์ข้อความในบอร์ดหลุดโลก อย่างภาคภูมิใจว่า .. กูไปซื้อจิ้งจกทักมาแล้วโว๊ย
เสียงลือ เสียงเล่าอ้างอันใด พี่เอย ..
เวลาล่วงเลยมาอีกสักพักใหญ่ ๆ จ่าโจกลับมายังบอร์ดหลุดโลกพร้อมกับงานเขียนเรื่องสั้น หนึ่งในวัฒนธรรมของ บอร์ดหลุดโลกในการต้อนรับน้องใหม่ในวงวรรณกรรมคือการก่นด่า ชมรมวิจารณ์บรรลัยของหลุดโลกบอร์ด ร่วมมือร่วมใจกันวิพากษ์วิจารณ์งานเขียนของจ่าโจอย่างสาดเสียเทเสีย บ้างก็ว่าน่าจะปริ๊นท์เอาไปยัดปากบรรพบุรุษ ที่นอนไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ในหลุม บ้างก็ว่าน่าจะเอาหัวมุดรูตูดควายก่อนค่อยมาหัดเขียนเรื่องสั้น บางคนไปค้นหา รูปตัวเงินตัวทองแลบลิ้นยาวเฟื้อยมาโพสต์ประกอบกระทู้พลางยืนยันอย่างมั่นใจว่า ไอ้เนี่ยแหละ .. จ่าโจ
ไม่ว่าสังคมใดก็แล้วแต่ ฝูงคนล้วนชี้นำความเป็นไปของสังคมนั้น ไม่งั้นคงไม่มีเรื่องอย่างคำพิพากษาออกมา ให้เราอ่านถึงความคับแค้นของไอ้ฟัก ที่เอาเมียพ่อมาเป็นเมียตัวเองอย่างจำใจหรอก ในยุคสมัยที่พระเจ้า คือที่สุดของงานเขียนของบอร์ดหลุดโลก คนเยี่ยงจ่าโจก็ไม่ต่างกับจิ๊กโก๋ที่ขับวินมอเตอร์ไซค์ปากซอย ส่งสาย ตามองนักศึกษาสาวของมหาวิทยาลัยเอกชนที่นั่งมากับชายหนุ่มบนรถมิซูบิชิอีโวลูชั่น
แม้กระนั้น ก็ยังมีใครอีกหลายคนที่มองงานเขียนของจ่าโจอย่าพินิจพิเคราะห์ หลาย ๆ เสียงในนั้นบ่งบอก ตรงกันว่า เรื่องสั้นของจ่าโจเหมือนเด็กอนุบาลที่นั่งมองตัวอักษร ก.ไก่ บนกระดานดำที่ครูสาวซึ่งจบการ ศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฎ เขียนให้ดูเป็นตัวอย่าง งานเขียนที่ดูเหมือนเอารูปแบบที่เป็นที่ยอมรับของ รุ่นพี่คนนั้นคนนี้มาผสมผเสปนเปราวกับแกงจับฉ่าย คำติติงอย่างตรงไปตรงมากระเซ็นมาติดชายกระทู้ เรื่องสั้นของจ่าโจกระทู้ละเล็กละน้อย ..
จวบจนการมาถึงของ " เพื่อนตาย " กระทู้เรื่องสั้นที่พลิกรูปแบบงานเขียนเดิม ๆ ของจ่าโจไปจนหมดสิ้น งานเขียนที่ทำให้คนอ่านต้องหันกลับไปมองรอบตัว พลางคิดคำนึงถึงการละเลยถึงชีวิตของผู้คนรอบข้าง ที่ดำรงอยู่บนถนนสายเดียวกัน มองถึงความเป็นไปทางสังคมที่ผู้คนยังคงดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่ อย่างทารุณ ในความรู้สึกที่แม้จะหยิบยื่นเศษเหรียญสักบาทใส่กระป๋องนมข้นหวานที่ขอทานคนนั้นหมอบกราบอยู่บน สะพานลอยแล้วยังคิดว่า .. ไอ้ห่านี่แม่งหลอกกูรึเปล่าวะ
( ใครยังไม่เคยอ่าน ลองใส่คีย์เวิร์ด " เพื่อนตาย " ลงในช่องเสริช์ของกูเกิ้ล แล้วกดเอนเทอร์ )
หลังจากการรวมตัวกันของ หลุดโลกนิวเอจ ชื่อของจ่าโจถูกยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเป็นนักเขียนหน้าใหม่ ของบอร์ดหลุดโลกที่มีผู้ติดตามอ่านงานในจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อเวลานั้นมาถึง หลุดโลกเรอเนอซองค์ และ จิ้งจกทัก ก็ดูเสมือนกับจะเลือนหายไปกับกาลเวลา และการจากไปของ .. พระเจ้า
............................................................................
" พี่จะเขียนเรื่องสั้นอีกมั้ย ? "
จ่าโจถามพระเจ้าที่นอนขยับปากหยับ ๆ อยู่บนเตียง ก่อนจะหยิบก้านไม้จิ้มฟันส่งชิ้นแอปเปิ้ลเข้าปากของต้วเองบ้าง ความหวานอมเปรี๊ยวซาบซ่านไปตามแนวกระพุ้งแก้ม มันดูเหมือนการเดินทางบนถนนนักเขียน ที่มีรสชาติหลากหลาย คละเคล้ากันไป เขาเชื่ออย่างสนิทใจว่างานเขียนเรื่องสั้นต้องตอบโจทย์ให้ได้อย่างหนึ่งว่า ผู้เขียนต้องการส่งสารอันใด กันแน่ไปยังผู้อ่าน และเพื่อการดำรงจุดมุ่งหมายนั้น ๆ มิต้องคำนึงถึงวิธีปฏิบัติใด ๆ ทั้งสิ้นในงานเขียน ไม่ว่าการวาง เค้าโครงเรื่อง บทสนทนาของตัวละคร หรือแม้แต่พรรณนาโวหารที่ดูสวยหรู การศึกษางานเขียนของนักเขียนที่มีชื่อเสียง อย่างอมราวดี อาจารย์หม่อมคึกฤิทธ์ หรือแม้แต่โกวเล้ง ทำให้เขารับรู้ถึงกระบวนการสื่อสารของนักเขียน แต่ละท่าน แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้าคิดแต่จะเขียนตามแนวทางของคนอื่น งานเขียนเป็นเสมือนลายมือที่ต่างคน ต่างมี ถ้าจะบอกว่าหิว จะต้องพูดอะไรให้ยืดยาว แค่บอกเพียงว่า " ข้าวสารกูหมด " ใครอ่านก็รู้แล้วว่า ไอ้หมอนี่ มันหิว
แต่เขากลับไม่เคยเห็นใครที่บอกถึงความหิวได้ดีไปกว่า .. พระเจ้า
" เบื้อกเกื๊อก ๆ คลานมาจนถึงกองข้าว เอียงหัวบวมโตที่กำลังปริแตกยื่นปากเข้าหาเศษข้าว งับเบา ๆ แล้วกลืน โดยไม่เคี้ยว เป็นการกินที่เชื่องช้า เงียบเชียบ ไร้ความรู้สึกใด ๆ เป็นการกินที่ยากเกินบรรยายเพราะไม่มีอะไรให้พูดถึง จริง ๆ และโดยไม่ทันรู้ตัวเปลือกตาของเบื้อกเกื๊อก ๆ ลดปิดลง เบื้อกเกื๊อก ๆ สิ้นใจขณะที่งับเศษข้าวไว้เต็มปาก "
( ตอนหนึ่งจากเรื่องสั้น " ข้าวแกงยายเยี๊ยก " งานรวมเรื่องสั้น จิ้งจกทัก ฉบับที่ 3 พ.ศ.2546 )
ใครจะคาดคิดถึงความหิวได้เยี่ยงนี้ ใครจะใช้ภาษาไทยบ่งบอกถึงความหิวได้เยี่ยงนี้ .. !
บนถนนนักเขียนคือการดิ้นรนแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ เราไม่อาจเขียนเรื่องราวเดิม ๆ เขียนถึงผู้คนเดิม ๆ ได้ร่ำไป การดิ้นรนเช่นนี้คล้ายคลึงกับการแถกกายไปบนพื้นดินของปลาช่อนเพื่อหาแหล่งน้ำใหม่ ไม่ว่าจะพบเจอหรือ ไม่ เหล่าปลาตื่นน้ำฝนล้วนคาดฝันถึงบึงอันกว้างใหญ่ไพศาลกันทั้งนั้น
แต่งานเขียนของพระเจ้า เสมือนเขื่อนเก็บน้ำขนาดใหญ่ เขื่อนเก็บน้ำที่อุดมไปด้วยฝูงปลาหลากชนิด ที่อุดมสมบูรณ์จนแทบจะเอาเข่งลงไปช้อนก็ได้ปลาติดขึ้นมาครึ่งเข่ง ไม่ว่ามองไปเบื้องหน้า หรือย้อนกลับ ไปข้างหลัง ความมหาศาลของจินตนาการในสมองของชายที่นอนให้เข็มน้ำเกลือจิ้มหลังมือเบื้องหน้า ดูเหมือนจะไม่มีจบสิ้น ..
" จ่าไม่น่าจะถามคำถามนี้กับผมนะ จ่าก็เป็นคนเขียนเรื่อง จ่าก็น่าจะผ่านสภาวะเขียนเรื่องไม่ออกมาแล้ว "
พระเจ้าจิ้มไม้จิ้มฟันลงบนชิ้นแอปเปิ้ล ก่อนจะส่งเข้าปาก จ่าโจยื่นจานเข้าใกล้พระเจ้าอีกนิด ปลายแหลม ของไม้จิ้มฟันในมือของพระเจ้าจ่อจรดลงบนชิ้นแอปเปิ้ลแต่ดูเหมือนจะชงักค้างอยู่อย่างนั้น ราวกับจะรอ คำตอบ
" เคยสิพี่ .. มันเหมือนสูญญากาศทางความคิดนะ มันว่างเปล่า ว่างจริง ๆ ไม่มีอะไรเหลือในนั้น หยิบจับอะไรก็ไม่ได้ ถามตัวเองว่าจะเขียนอะไร คิดอะไรอยู่ แต่จะเขียนอะไรได้ในเมื่อมันไม่มี อะไรให้เขียน เดินไปหน้าบ้านหลังบ้าน จุดบุหรี่ดูด กินเบียร์ เดินเข้าไปขี้ .. ก็นึกอะไรไม่ออก "
พระเจ้ากดไม้จิ้มฟันลงบนชิ้นแอปเปิ้ล ก่อนจะส่งเข้าปาก จ่าโจเป็นคนที่ละเอียดอ่นต่อความรู้สึก รอบตัว ตลอดเวลาที่พระเจ้าบดเคี้ยวชิ้นแอปเปิ้ลในซอกกราม เขาสังเกตุอากัปกิริยาของจ่าโจอยู่ ตลอดเวลา สิ่งที่เขาวิเคราะห์ได้ในขณะนี้ คือจ่าโจต้องเป็นคนที่ผ่านการฝึกมาอย่างดีเยี่ยม ทักษะการใช้มีดที่ราวกับพ่อครัวในโรงแรม มือที่ถือจานอย่างนิ่งสนิท และแววตาที่จดจ้องความเคลื่อนไหว ของฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ยอมให้โอกาสใด ๆ ผ่านพ้น
แต่บทสนทนาของเขากลับดูเปิดใจ และผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อ
" งานเขียน เหมือนสายฟ้าฟาดในคืนเดือนมืด มันสว่างวับแล้วจางหาย ไม่มีใครบอกได้ว่ามัน จะมาเมื่อไหร่ จะไปตอนไหน ในสายตาของคนธรรมดา สายฟ้าอาจปรารกฏได้ทุกเมื่อ แต่สำหรับ นักเขียน มันคือภาพที่ติดตรึงความรู้สึกจนแม้หลับตา ลืมตาก็มองเห็น ไม่ว่าผ่านพ้นไปกี่วันก็จำได้ วินาทีที่ลำแสงกรีดผ่านม่านดำมืดของรัตติกาล มีแต่สายตาของคนเขียนเรื่องเท่านั้นที่จับได้ทัน "
พระเจ้าส่งชิ้นแอปเปิ้ลเข้าปาก หลังจากฟังคำพูดของจ่าโจ ในขณะที่จ่าโจเปิดรอยยิ้มที่มุมปากและ มองพระเจ้าจิ้มชิ้นแอปเปิ้ลชิ้นถัดไป
" ดังนั้น งานเขียนของนักเขียนแต่ละคน จะมีต่อไปหรือไม่ มีแต่นักเขียนคนนั้นที่จะบอกได้ จะเขียน หรือไม่เขียน ไม่มีใครมาสั่งบังคับ ถ้าเขียนไม่ออก ต่อให้มีปืนมาจ่อหัวก็เขียนไม่ได้ ถ้าจะเขียน อดข้าวอดน้ำ 3 วันก็เขียนไม่หยุด " พระเจ้าหยุดการจิ้มชิ้นแอปเปิ้ลเมื่อจบคำพูด ก่อนมอง ไปเบื้องนอกห้อง ท้องฟ้าสีครามลิบ ๆ ดูจะเหมือนถนนนักเขียนที่ไม่มีวันจบสิ้น
จ่าโจ มองตามออกไป แสงสว่างจากแดดยามสายยังคลี่คลุมพื้นที่ของฟากฟ้า สองนักเขียน มองไปยังขอบฟ้าราวจะหาคำตอบที่ปลายแผ่นพื้นสีคราม
" คำถามของจ่าล่ะ ? "
จ่าโจ ถอนหายใจยาวก่อนจะเบือนหน้ามามองพระเจ้า มือข้างซ้ายพลิกเข้าดันไปใต้คาง ของพระเจ้าที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนจะดันให้หงายขึ้นไปจมหมอนหนุนหัว
มีดปอกผลไม้ที่ทำจากสแตนเลสยาว 4 นิ้ว ถูกถือกระชับในมือข้างขวา มันเป็นมีดธรรมดาที่ไม่ว่า จะเดินเข้าไปในห้างดิสเคาท์สโตร์แห่งไหนก็มีวางขาย ด้ามพลาสติกสีดำสนิทราวกับรอยสักที่ปรากฏ อยู่บนหลังมือ ภาพเสือดำที่แสยะปากอ้าคาบดาบปลายปืนคมกริบ ราวกับจะพิฆาตศัตรูทุกผู้ทุกนาม ที่บังอาจขวางทาง
..
พระเจ้า ยกสองมือขึ้นหมายจะผลักไสมือที่ดันอยู่ใต้คาง แรงดันมหาศาลกดทับจนลมหายใจแทบ ขาดห้วง เขารับรู้ถึงปลายอันแหลมคมที่จ่อจรดอยู่ชายโครงเบื้องซ้าย
..
จ่าโจ ดันปลายมีดให้แทรกตัวผ่านเข้าไปในร่างของพระเจ้าอย่างเชื่องช้า เป็นการแทงผู้คนที่เชื่องช้า
เงียบเชียบ ไร้ความรู้สึกใด ๆ เป็นการฆ่าที่ยากเกินบรรยายเพราะไม่มีอะไรให้พูดถึงจริง ๆ
..
พระเจ้าเอียงหัวไปมา ราวกับการดิ้นรนของปลาสวายที่ติดเบ็ดเบอร์ 12 ปลายมีดคมกริบผ่านเข้า ในร่างกายจนรู้สึกได้ถึงแต่ละมิลลิเมตรที่มีดแทรกลึก ดวงตาเบิกกว้าง แสงสว่างจากหลอดไฟบนฝ้า เพดานดูจะหมุนคว้าง
..
จ่าโจ มองแววตาที่จ้องมองสวนมายังเขาอย่างสงบนิ่ง สองมือของพระเจ้าทิ้งนิ่งสนิทลงที่ข้างตัว
..
ผ้าเช็ดมือผืนขาวสะอาดเล็ก ๆ ถูกหยิบมาเช็ดคราบเลือดที่ติดง่ามมือ จ่าโจก้มลงมองร่างที่นอนทอด
กายอยู่บนเตียง มีดปอกผลไม้สแตนเลสยาว 4 นิ้ว จมหายเข้าไปบริเวณชายโครงด้านซ้ายอย่างหมดจด
จนไม่เหลือคมวาวของใบมีดแม้แต่น้อย ยังคงมีแต่ด้ามมีดพลาสติกสีดำสนิทราวกับรอยสักที่ปรากฏ
อยู่บนหลังมือ ภาพเสือดำที่แสยะปากอ้าคาบดาบปลายปืนคมกริบ ราวกับจะพิฆาตศัตรูทุกผู้ทุกนาม
ที่บังอาจขวางทาง
" คำถามของผมก็คือ พระเจ้า .. จะมีวันตายมั้ย และผมคิดว่า ผมได้คำตอบนั้นแล้ว "
จ่าโจ เดินไปหยุดหน้าประตูทางออกของห้อง เป็นประตูของห้องเล็ก ๆ ทาสีขาวสะอาดสะอ้าน ห้องเล็ก ๆ
ที่สุดระเบียงทางเดินของหอพักผู้ป่วยในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว ห้องที่แดดยามสายส่อง
ทอดประกายอุ่น ๆ กระจายไปทั่วห้อง บนเตียงมีชายคนหนึ่งนอนสิ้นใจอยู่ใต้ผ้าห่มสีขาวที่มีโลโก้เล็ก ๆ ของ
โรงพยาบาล ขวดน้ำเกลือใส ๆ แขวนอยู่บนเสาแสนเลสเงาวับด้านข้างเตียง หยดน้ำในขวดค่อย ๆ ไหลเอื่อย ๆ
ไปตามสายยาง ดูราวกับไม่มีวันหมดสิ้น
" คำถามข้อที่สอง .. พี่จำแอปเปิ้ลคำสุดท้ายที่พี่กินได้มั้ย ? "
............................................................................
( คนเรา มันต้องมีจินตนาการ )