เทพพยากรณ์
ผมรู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง อายุอานามก็เยอะพอสมควรอยู่ มีคนบอกว่าแกคือ " เทพพยากรณ์ "
ครั้งแรกของการพบหน้า เธอยืนอยู่ที่หน้าเตาอบในครัว มีผ้ากันเปื้อนผูกติดอยู่ที่เอว คาบบุหรี่อยู่ที่มุมปาก
ในช่องว่างของเตาอบ ขนมบิสกิตชิ้นกลม ๆ นอนพองตัว อวดผิวเกรียมกำลังสวย เสียงติ๊ง .. ดังขึ้นเมื่อเตาอบหยุดทำงาน
เธอเปิดเตาอบออกมา สวมถุงมือผ้ากันความร้อนก่อนจะเอื้อม มือไปหยิบถาดขนมบิสกิตออกมาจากเตาอบ วางบนหลังตู้อบ ก่อนจะหันมามองหน้าผม
" หน้าตาไม่เหมือนนักเขียนเลยนะจ่า ดู ๆ คล้ายช่างปูนซะมากกว่า "
ผมเดือดปุด ๆ ขึ้นมาทันที หน้าตาผมจะดูเหมือนช่างปูน หรือคนเติม น้ำยาแอร์มันก็เรื่องของผมนะครับ อีแก่นี่ปากดีน่าเอาหลังตีนตบให้ หน้าหงาย
เทพพยากรณ์ ขยับเท้าถอยหลังไป 1 ก้าว ก่อนจะยกสองมือขึ้น ตั้งการ์ด เท้าหน้าขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ สองไหล่ยักเยื้องไปมา ดูคล้าย ๆ โอเล่ ต.ศิลาชัย แชมป์รายการศึกวันทรงชัย มวยไทยลุมพินี
" อย่าคิดจะลองของกับชั้นนะจ่า เดี๋ยวแม่สับศอกให้หน้าตาแหก .. "
ผมยืนอึ้งไปพักนึง ไม่ใช่เพราะท่าทางคุกคามของเทพพยากรณ์ที่ขยับ แย็ก ๆ อยู่ตรงหน้าหรอก แต่เพราะการที่หล่อนอ่านใจมองความคิด ของผมออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ผมค่อย ๆ ยกสองมือขึ้นประนมกรอย่าง นอบน้อม
" กลัวแล้วจ๊ะป้า อย่าทำอะไรผมเลยฮะ "
เทพพยากรณ์ลดการ์ดลงยืนหอบ เหงื่อไหลย้อยลงมาถึงลูกคาง ไม่รู้ ว่าเป็นเพราะความร้อนจากการอบขนมบิสกิตของแก หรือเพราะท่าตั้ง การ์ดมวยไทยของแกเมื่อตะกี้
" หัดรู้จักนอบน้อมกับผู้หลักผู้ใหญ่ซะมั่ง จะได้ไม่มีใครเขาด่าเอาว่า ไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน .. แล้วถ้าเรียกชั้นว่าป้าอีกหนล่ะก็ ชั้นจะอัด เข่าใส่ชายโครงจ่าให้ตับแลบออกมาทางปาก .. "
เทพพยากรณ์เดินไปนั่งบนเก้าอี้ในห้องครัว ก่อนจะหยิบซองบุหรี่ขึ้นมา ตอกเบา ๆ เอาปากคาบก้นกรองของบุหรี่ออกมาตัวหนึ่ง เสียงป๊อง .. ของไฟแช็คซิปโป้ ตามมาด้วยเปลวไฟสีส้ม
" จ่าไม่ต้องบอกว่าจ่ามาหาชั้นทำไม ชั้นรู้ตั้งแต่จ่าเดินผ่านประตูเข้ามา "
เทพพยากรณ์หยุดพูดก่อนจะจ่อไฟสีส้มเข้าหาปลายบุหรี่ที่คาบอยู่มุมปาก ละอองควันบางเบาลอยกรุ่นราวกับม่านหมอก
" จ่าเห็นป้ายที่ติดอยู่เหนือประตูนั่นมั้ย "
ผมหันกลับไปมองตามมือของเทพพยากรณ์ มันมีแผ่นไม้สีกระดำกระด่าง ขนาดกว้างสัก 2 ฟุตติดอยู่ที่เหนือประตู มีอักขระบางอย่างขีดเขียนด้วย เขียวสีแดงหงิกงอพันกันไปมาเหมือนตัวอักษรขอม
" มันอ่านว่าอะไรครับ ? "
" หน้าตาไม่ดีอย่างเดียวยังไม่พอ ยังไม่ค่อยมีการศึกษาอีก หยั่งงี้จะ หาความเจริญในชีวิตได้เหรอวะ .. " เทพพยากรณ์หยุดทำการอบรมสั่งสอน เพื่อดูดบุหรี่เข้าปอดอีกเฮือก ก่อนจะห่อปากแล้วกระทุ้งควันออกมาเป็น วงกลมเหมือนโดนัท
" มันอ่านว่า .. เซื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เซื่อ "
ผมหันกลับมามองหน้าเทพพยากรณ์ ผู้หญิงวัยกลางคนในชุดผ้ากันเปื้อน หน้าตาละม้ายไปทางคนสเปน แต่กลับเว่าลาวได้ชัดเจนอย่างไม่น่าเชื่อ
" หน้าฝรั่งแล้วเว่าลาวไม่ได้รึไงฟะ ชั้นมีซีดี ศิริพร อำไพพงษ์ นะเฟ้ย เคยได้ยินป่ะ .. โลโซโบว์รัก อ่ะ "
ผมพยักหน้าหงึก ๆ เทพพยากรณ์อ่านใจผมออกอีกแล้ว แกยังคงห่อปาก กระทุ้งควันเล่นอย่างสนุกสนาน คราวนี้เป็นรูปช้างก้านกล้วย
" การเป็นนักเขียน เหมือนกับการตกหลุมรัก มันเป็นความระลึกรู้ได้เฉพาะตัว จ่าอยากเขียน จ่าก็เขียนไปซิ จะไปสนใจอะไรนักหนา ถ้าไอ้สิ่งที่จ่าคิด จ่าเขียน มันมีคุณค่าในงานชิ้นนั้น คนอ่านเขาก็รับรู้ได้เองแหละ และถึงแม้ ว่าเขาจะอ่านตั้งแต่ต้นจนจบแล้วไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง ก็ไม่ใช่ความผิดของจ่า และก็ไม่ใช่ความผิดของคนอ่านด้วย ผัวเมียอยู่ด้วยกันมาเป็น 10 ปี รู้ใจกัน ไปซะทุกเรื่องรึก็เปล่า ขนาดกินอยู่หลับนอนด้วยกันแท้ ๆ คำถามของจ่า ชั้นไม่สามารถหาคำตอบให้ได้หรอก คำตอบมันไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ได้อยู่ที่ซอก มุมไหนของโลก มันอยู่ในหัวของจ่า ถ้าเรื่องแค่นี้จ่าคิดไม่ได้ ก็เลิกเป็นนักเขียน แล้วกลับไปรับจ้างลับมีด ลับกรรไกรตามเดิมของจ่าไปเหอะ .. "
เทพพยากรณ์กดก้นบุหรี่ลงดับกับที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะ ก่อนจะหันไปหยิบถาด ขนมบิสกิต เดินถือมายื่นตรงหน้าของผม
" จ่ากินบิสกิตชิ้นนี้ซะ แล้วก็ไสหัวกลับไปได้เลย ไปยิ่งไกลยิ่งดี ไม่ต้อง แบกหน้าไพร่ชั้นต่ำของจ่ามาให้ชั้นเห็นอีก ทันทีที่จ่าเดินออกประตูไป จ่าจะลืมไปทันทีว่าจ่ามาหาชั้นเพราะอะไร แต่ชั้นอยากให้จ่าจำอะไรไว้อย่างนะ
.. ความมุ่งมั่น ความพยายาม และความอดทด เปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นตำนาน "
ผมหยิบชิ้นบิสกิตยกขึ้นกัดเบา ๆ มันหอมเนยอ่อน ๆ กรอบกรุบกำลังพอดี
แม้ยามที่บางส่วนของมันละลายในปาก ยังแทรกความหวานน้อย ๆ
ป้ายแผ่นไม้สีกระดำกระด่างขนาดกว้างสัก 2 ฟุตติดอยู่ที่เหนือประตู มีอักขระ บางอย่างขีดเขียนด้วยเขียวสีแดงหงิกงอพันกันไปมาเหมือนตัวอักษรขอม ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งก่อนจะก้าวเดินผ่านประตู
" จ่า .. ค่าขนม 5 บาท วางไว้บนโต๊ะรับแขกนั่นด้วย ทีหน้าทีหลังกินของ เขาแล้วก็ไม่ต้องให้ทวงนะ ทำเป็นคนไม่มีมารยาท สันดานอย่างเง้มันถึง ดักดานอยู่อย่างงั้นไง ไอ้คนอย่างจ่าอ่ะนะ ...... "
ผมลนลานล้วงเหรียญ 5 บาทออกมาวางไว้หลังตู้ข้างประตู ก่อนจะรีบพาตัวเอง ออกมาจากห้อง เสียงอบรมสั่งสอนของเทพพยากรณ์ยังคงแว่วไล่หลังตามมา อีกเล็กน้อย
คำตอบมันอยู่ที่ผม ไม่ได้อยู่ที่ใคร ไม่ว่าในโลกความเป็นจริง หรือในแมททริกซ์
บนทางเดินแคบ ๆ ในอพาร์ทเมนต์ เสียงร้องเพลงอย่างอารมณ์ดีของเทพพยากรณ์ ยังดังแว่วออกมาให้ผมได้ยิน ...
" ผู้สาวโลโซโสสุด สะดุดช้ำ จึงบ่ต้องถาม โบว์รักสีดำ ลูกเดียว ....... "
...
..
.