มือที่สาม-คลื่นใต้น้ำ

by ภู @9 พ.ย.49 3.54 ( IP : 203...164 ) | Tags : กระดานข่าว

ในบรรยากาศที่กฎอัยการศึกยังไม่ถูกยกเลิกไปขณะนี้ โดยที่รัฐบาลคณะปฏิรูปได้อ้างถึงการเคลื่อนไหวของพวก “คลื่นใต้น้ำ” หรือตัวแทนกลุ่มอำนาจเดิมที่จ้องจะสร้างสถานการณ์แห่งความไม่ชอบธรรมในอำนาจของคณะปฏิรูปให้เกิดขึ้น ขณะเดียวกัน ตัวของรัฐบาลคณะปฏิรูปเองก็ได้พยายามสร้างชุดความเชื่อแบบคู่ตรงข้ามขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง โดยเฉพาะการมุ่งชำระสะสางผลผลิตที่เกิดมาจากรัฐบาลชุดที่แล้ว เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อว่าการรัฐประหารที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 กันยายน นั้น มีปัจจัยสำคัญมาจากกลไกแห่งคุณธรรมได้ถูกชอนไชไปแล้วทั้งระบบ หากปล่อยไว้นานกว่านั้น สังคมคงจะต้องวิบัติในไม่ช้า

ภายใต้ชุดความคิดความเชื่อแบบคู่ตรงข้ามนี้ รัฐบาลคณะปฏิรูปจึงเป็นสิ่งดีที่เข้ามาเพื่อชำระสะสางสิ่งเลว

มองในกรอบนี้ เราจะเห็นได้ว่าการทำงานของรัฐบาลคณะปฏิรูป พยายามจะก้าวไปให้พ้นจากกรอบที่เคยถูกตั้งคำถามจากนักวิชาการ ในเรื่องที่ว่าการโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น เป็นเรื่องการโค่นล้มตัวบุคคลเท่านั้น แต่ไม่อาจสลายระบอบทักษิณไปได้ ยิ่งเมื่อตอนที่รัฐบาลนี้ก้าวเข้ามาทำงานแรกๆ ได้ยึดเอาแนวทางประชานิยมไว้เดิมด้วยแล้ว กลับยิ่งตอกย้ำความไม่ชอบธรรมในการยึดอำนาจของตัวเอง ที่สุด แนวคิดเรื่องเปลี่ยนของเดิมให้หมดจึงเกิดขึ้นภายหลัง

วันนี้ เราได้เห็นแนวทางของโครงการ 30 บาท ที่ว่าจะเปลี่ยนมารักษาฟรีในตอนแรก เป็นช่วยเหลือเฉพาะคนยากจน ซึ่งก็จะเหมือนกับยุครัฐบาลประชาธิปัตย์ ,ในเรื่องนโยบายกรุงเทพฯเมืองแฟชั่นก็มีทีท่าว่าล้มเลิก(อันนี้เป็นมาตรฐานศีลธรรมใต้ตมโดยแท้) ,รายการโทรทัศน์หลายรายการโดยเฉพาะทางช่องโมเดิร์น 9 จะถูกถอดถอนเปลี่ยนแปลง ทั้ง “ถึงลูกถึงคน” “คุยคุ้ยข่าว” และที่ฮือฮามากคือข่าวที่ว่าจะถอดรายการสารคดี “กบนอกกะลา” ออกไปด้วย ผลปัจจุบันทันด่วนคือทำให้หุ้นของ อ.ส.ม.ท. ร่วงกราวรูด แม้ว่าคณะที่มาใหม่จะเป็นดรีมทีมของ สุทธิชัย หยุ่น สมเกียรติ อ่อนวิมล และสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ตาม

ในทางสังคม ปัญหาเรื่องเหล้า เรื่องหวย เหมือนจะถูกจัดการขั้นเด็ดขาดในห้วงแรก แต่สุดท้ายก็นำสู่นโยบายแบบผ่อนปรน อันแสดงให้เห็นว่า ความเด็ดขาดของการดำเนินโยบายต่างๆ เมื่อแรกเริ่มนั้น เป็นการสร้างภาพแบบคู่ตรงข้ามขึ้นมาเพื่อหาความชอบธรรมให้กับการอยู่ในอำนาจของรัฐบาลคณะปฏิรูปทั้งสิ้น หาได้มีอำนาจเด็ดขาดโดยแท้จริง เพราะสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้กลัวมากที่สุด คือการต่อต้านของมวลชน

สิ่งเดียวที่เป็นความชอบธรรมตามสูตรการรัฐประหารที่เหลืออยู่ ก็คือการสะสางเรื่องทุจริต คอรัปชัน ของรัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งก็มิได้คืบหน้ามากนัก ซ้ำคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นยังมีการงัดข้อกันเสียเองต่างหาก ดังนั้น หากไม่สร้างวาทกรรม “คลื่นใต้น้ำ” ขึ้น และคงกฎอัยการศึกเอาไว้ โอกาสที่รัฐบาลคณะปฏิรูปจะหมดความชอบธรรมโดยเร็วก็มีอยู่สูง

คำว่า “คลื่นใต้น้ำ” ในสำนวนไทยนั้น หมายถึง เหตุการณ์ที่กรุ่นอยู่ภายใน แต่ภายนอกดูเหมือนสงบเรียบร้อย ด้วยความหมายเช่นนี้ คลื่นใต้น้ำจึงเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น ชี้ลงไปชัดๆ ก็ไม่ได้ ใครที่ถูกกำจัดหรือทอนอำนาจไปในห้วงเวลานี้ เราก็ได้แต่สันนิษฐานกันว่า พวกนั้นอาจเป็นพวกคลื่นใต้น้ำ ซึ่งเป็นคนละพวกกับรัฐบาลคณะปฏิรูป หรือเป็นพวกของรัฐบาลคนไม่ดีชุดที่แล้วนั่นเอง

เรื่องของการสร้างวาทกรรมเพื่อความชอบธรรมในการยึดครอง เป็นสิ่งที่มีมานมนานนับแต่ยุคล่าอาณานิคม หรือยุคเริ่มต้นทุนนิยมเสรี ดังตัวอย่างที่ ไมเคิล ทอส์สิก สะท้อนภาพไว้ใน “Culture of Terror-Space of Death: Roger Casement’s Putumayo Report and the Explanation of Torture” ว่า ข่าวลือ มายาคติ(myth) ไปจนถึงจินตนาการต่างๆ ที่ชาวอาณานิคมมีเกี่ยวกับความลึกลับน่ากลัวของชาวพื้นเมือง มีบทบาทสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมแห่งความน่าสะพรึงกลัวโดยชาวอาณานิคม ไมเคิลยกตัวอย่างถึงมูลเหตุแห่งการใช้ความรุนแรงในเขตพูตูมาโย ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของโคลัมเบียที่คนขาวสามารถเฆี่ยนตีชนอินเดียนพื้นเมืองจนเห็นกระดูก ทิ้งศพพวกเขาไว้ให้สุนัขกัดกิน และใช้คนอินเดียนเป็นเป้ายิงเล่นในเทศกาลอีสเตอร์ ก่อนจะราดน้ำมันจุดไฟเผาศพพวกเขาอย่างสนุกสนาน ว่ามีเหตุผลมาจากความหวาดกลัวในเรื่องเล่าเกี่ยวกับพิธีกรรมของชาวฮุยโตโตในการประหารชีวิตคน ซึ่งบรรดาผู้ชายในเผ่าจะมานั่งล้อมวงดื่มน้ำใบยาสูบอย่างสบายอารมณ์ โดยมีเชลยถูกมัดไว้ ณ มุมหนึ่งของลานประชุม แล้วพวกเขาจะพากันมาร่ายรำอยู่รอบตัวของเชลย ก่อนที่แต่ละคนจะผลัดกันเข้าไปเฉือนเนื้อเชลยออกมาทีละชิ้น แล้วนำไปย่างกินครึ่งดิบครึ่งสุกท่ามกลางเสียงร้องคร่ำครวญของเชลย และเมื่อเชลยสิ้นใจ พวกเขาก็จะยุติการเฉือนเนื้อเหยื่อ แต่จะนำร่างส่วนที่เหลือไปย่างหรือต้มเพื่อกินจนถึงชิ้นสุดท้าย..

การวาดภาพความรุนแรงเช่นนี้ขึ้น ทำให้นักล่าอาณานิคมสามารถใช้ความรุนแรงเข้าจัดการกับชนเผ่าดั้งเดิมเสียเองอย่าไม่ผิดศีลธรรม เพื่ออ้างว่าพวกเขาจะต้องจัดการเสียก่อนถูกจัดการ เมื่อลัทธิคอมมิวนิสต์แพร่ขยายเข้าเป็นปฏิปักษ์ต่อลัทธิทุนนิยม การวาดภาพคอมมิวนิสต์ให้น่ากลัวในแบบเดียวกับชาวฮุยโตโตก็เกิดขึ้น ยิ่งกับประเทศที่ถูกใช้เป็นฐานบินไปถล่มเวียดนามอย่างประเทศไทย ภาพคอมมิวนิสต์ยิ่งน่ากลัวกระทั่งว่าจะมาล้มล้างศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นศูนย์รวมความเป็นชาติที่เข้มข้นอย่างยิ่ง(ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516) นั่นจึงนำไปสู่เหตุการณ์สังหารหมู่ในธรรมศาสตร์ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 และหลังจากนั้น คำว่า “การกระทำของมือที่สาม” ก็ทรงอำนาจยิ่ง ในการรักษาฐานอำนาจของนักการเมืองไทย และการกำจัดศัตรูทางการเมือง จนถึงปี 2534 ที่ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยกลุ่มสุดท้ายกลับคืนเมืองที่จังหวัดพัทลุง ตามนโยบาย66/23

ในปี 2534 นั้นเองการรัฐประหารเกิดขึ้นอีกครั้ง และนำไปสู่ความรุนแรงในเดือนพฤษภาคม 2535 ถึงตอนนั้นเราได้เห็นภาพชัดเจนว่า “มือที่สาม” แท้จริงคือกลุ่มบุคคลใด แต่หลังจากนั้น เมื่อมีการชุมนุมใหญ่เกิดขึ้น ไม่ว่าครั้งใด ก็มักจะมีการปล่อยข่าวมือที่สาม เพื่อสร้างความชอบธรรมหากมีการสลายการชุมนุมขึ้นเสมอ ไม่เว้นแม้แต่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ภายใต้บรรยากาศของความสมานฉันท์ ทหารเป็นมิตรกับประชาชน และด้วยแนวคิดแบบคู่ตรงข้าม ทำให้ภาพศัตรูของรัฐบาลคณะปฏิรูป มีแต่กลุ่มอำนาจเดิมเท่านั้น จึงจะอ้างมือที่สามไม่ได้อีก นี่เองจึงทำให้เกิดวาทกรรม “คลื่นใต้น้ำ” ขึ้น เพื่อความชอบธรรมในการคงรักษากฎอัยการศึก หรืออำนาจเหนือกฎหมายปรกติในการจัดการกับคนที่ไม่ยอมรับอำนาจแบบที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม การคงมีกฎอัยการศึกไว้จะเป็นความกดดันหนักอึ้งต่อประชาชน และอาจส่งผลสะท้อนถึงเสถียรภาพของรัฐบาลนี้ได้ง่ายๆ ยิ่งภายหลังการฆ่าตัวตายของ นวมทอง ไพรวัลย์ แท็กซี่ที่เคยขับพุ่งชนรถถัง ซึ่งยิ่งทำให้ประชาชนตั้งคำถามต่อการยึดอำนาจมากขึ้น เพราะเกิดการตายเพื่อประชาธิปไตย(?)ที่เป็นรูปธรรมขึ้นมา
ถ้ารัฐบาลชุดนี้คงกฎอัยการศึกไว้ เพราะกลัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศไทย เห็นทีเขาอาจต้องรับมือกับกองทัพประชาชนที่มีผู้อาศัยสถานการณ์คอยเสี้ยมอยู่เป็นแน่ ไม่ช้าก็เร็ว โดยเฉพาะถ้ามีศพที่สองหรือเหตุการณ์อื่นเกิดขึ้นอีก

ถ้าจะต้านระบอบทักษิณไม่ให้กลับมา ต้องยกเลิกกฎอัยการศึกครับ คลื่นใหญ่ก่อตัวขึ้นแล้ว
Comment #1
Posted @10 พ.ย.49 20.37 ip : 125...96

ผมไม่เคยเห็นด้วยกับการยึดอำนาจไม่ว่าครั้งใด  แต่รัฐประหารปี 2534 กับ 19 กันยา 49  ผมต้องตั้งคำถามเอากับตัวเองว่าเหตุใด?และเพื่ออะไร?

คำตอบรวบยอดของผมพุ่งไปที่ทักษิณและการวางเครือข่ายอย่างจัง

ไม่ว่าการยึดอำนาจครั้งใด  เราๆได้แต่ "คาดคะเน" "เดา" และ "คิดว่า" อย่างนั้นอย่างนี้  โดยอาศัยสถานการณ์อดีตจนปัจจุบันมาวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ  เพื่อรองรับกลุ่มความคิดที่เรามีอยู่แล้ว  มันจึงเกิดการถกเถียงกันอย่างยาวนาน  และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

กฏอัยการศึกเป็นกฏการปกครองที่ทั้งชื่อและตัวของมันเองน่ากลัว  แต่เรายอมรับมิใช่หรือว่า  ที่สุดความน่ากลัวนั้นอยู่ที่ใครใช้ ใช้อย่างไร

หลายคนตกอยู่กับคำของคำว่าประชาธิปไตย  โดยไม่เคยเข้าใจเลยว่าตัวของ ปชต. แท้ๆนั้นคืออะไร

นี่ไม่ได้หมายความว่าเห้นด้วยกับกฏอัยการศึกที่ประกาศใช้นะครับ

แต่การปกครองที่ดี  เรารู้กันอยู่ว่าคือผู้ถูกปกครองไม่รู้สึกว่าตนกำลังถูกปกครอง  กฏอัยการศึกตอนนี้เราอึดอัดอะไรจริงๆบ้างไหม?  หรือคนที่อึดอัดจริงๆนั้นคือกลุ่มคนอาชีพใดกันแน่?

สรุปอีกครั้งย้ำกันอีกมีนะครับ-  ผมไม่เห็นด้วยกับการยึดอำนาจ  ไม่เห็นด้วยกับกฏอัยการศึก    แต่แค่อธิบายบางอย่างเท่านั้นเอง


การคงกฏอัยการศึกนั้นจะด้วยเหตุผลคลื่นใต้น้ำ  หรือกลัวทักษิณ หรืออะไรก็แล้วแต่  ที่สุดมันก็คงไว้เพื่อรักษาอำนาจของผู้รัฐประหารเท่านั้น  แน่นอนมันมีข้อเสีย  เพราะผู้ปกครองลักษณะนี้จะไม่รับรู้ความต้องการของประชาชน  แต่ที่ผ่านมาเรามีนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งที่รับรู้ความต้องการของประชาชนจริงๆหรือ?

แต่เหตุผลที่ว่าคงไว้เพราะคลื่นใต้น้ำหรือทักษิณนั้น  มันดูทหารหาญของเราทำไมขี้ขลาดได้ขนาดนี้?  ว่าไหม?

Comment #2
พี่เสือ (Not Member)
Posted @11 พ.ย.49 2.27 ip : 58...120

แล้วตกลงจะเอาไงแน่อะฮะ สรุปน่ะ อยากให้ทางออกเป็นแบบไหน ถ้ามีเลือกตั้งใหม่คนชั่วก็มา แปลว่าไม่ต้องเลือก อ้าว งั้นชั่วก็ไม่ต้องไปเหมือนกันน่ะสิ

Comment #3
Posted @11 พ.ย.49 17.35 ip : 125...229

คิดอย่างนั้นก็คงดูน่ากลัวเกินไปครับ  เพราะเราไม่ควรมีทางเลือกเพียงแค่สองทางเท่านั้น  มันควรจะมีทางเลือกอื่นๆอีกสิ  มันจะต้องมีละน่า

ยังไงๆการเลือกตั้งก็จะต้องมีมา  ไม่ด้วยการถอยออกจากอำนาจรัฐของ คมช. และรัฐบาลชุดนี้  หรือเพราะมีการขับไล่จนอยู่ไม่ได้ก็ตามที

ปัญหานับแต่เราเปลี่ยนแปลงการปกครองก็คือ  เราไม่เคยได้รับการปูพื้นในคำว่า ประชาธิปไตย  มาเลย  นอกจากการบอกให้เราไปเลือกตั้ง

สิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ควรทำประการแรกและอย่างเร่งด่วน  สำหรับผมผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องการศึกษา  นอกจากระบบการศึกษาของเราจะล้าหลังและรับใช้ความคิดตะวันตกอย่างยัดเยียดแล้ว  เรายังไม่เคยให้เด็กของเราคิดเองได้  ไม่เคยให้เขาคิดถึงคนอื่น  เราป้อนแต่ความเป็นส่วนตัวและฉลาดรอบรู้เพียงวิชาชีพเท่านั้น  หากอยากเห็นประเทศไทยมีประชาธิปไตยเต็มรูปที่สุดเท่าที่จะมีได้  การศึกษาจึงต้องปรับเปลี่ยนใหม่หมดครับ  หล่อหลอมวิธีคิดของเด็กๆให้มีจิตใจประชาธิปไตย  มันต้องใช้เวลา  และสำคัญที่สุดคือความพยายามอย่างจริงใจ

หากรัฐบาลชุดนี้ถ่ายโอนไปสู่การเลือกตั้ง  มันก็จะยังเหมือนๆเดิมอย่างที่เคยเป็น  แลววันหนึ่งก็จะเสียงเรียกทหารให้ออกมา  จากนั้นก็จะขับไล่ทหารออกไป  เพื่อมีการเลือกตั้ง้เดิมๆ  การเป็นอยู่เดิมๆ

แต่ระยะเวลาของรัฐบาลชุดนี้มันน่าจะมีน้อย  เฉพาะที่ทำได้ก็อย่างที่เห็น  นั่นคือร่างรัฐธรรมนูญให้ดีที่สุด  ซึ่งก็ต้องรอดูหน้าตาของมันกันอีกที

ทางออกในช่วงเวลานี้มันดูเหมือนโดนฆ้อนทุบหัว  มึนงงและได้แต่ยิ้มแห้งๆ  ผมคาดเดาท่าทีของ คมช.และรัฐบาลชุดนี้ไม่ออกเลย

แสดงความคิดเห็น

« 3575
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง

งานเขียนของข้าพเจ้า

personมุมสมาชิก

Last 10 Member Post

Web Statistics : online 0 member(s) of 5 user(s)

User count is 2278079 person(s) and 9089374 hit(s) since 25 เม.ย. 2567 , Total 550 member(s).