ทำไมสิงคโปร์จึงยอมรับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ?

by ภู @1 ก.พ.50 18.17 ( IP : 203...34 ) | Tags : กระดานข่าว

สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีลักษณะเรียกว่านครรัฐ( city state) ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ ปลายคาบสมุทรมาเลย์ ทางตอนใต้ของรัฐยะโฮร์ประเทศมาเลเซีย และอยู่เหนือเกาะรีเยา ของประเทศอินโดนีเซีย นับเป็นเมืองท่าสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคม

ภายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 มีประเทศใหม่เกิดขึ้นมากมาย รวมถึงบรรดาประเทศอาณานิคมที่ได้รับการปลดปล่อย สิงคโปร์ในตอนนั้นได้อาศัยแอบอิงเป็นส่วนหนึ่งของประเทศมาเลเซีย เพื่อให้พ้นจากการปกครองของอังกฤษ แล้วแยกตัวออกมาประกาศเอกราชในปี 2508 ด้วยความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ เพราะคนสิงคโปร์ส่วนใหญ่เป็นคนจีน แต่ในมาเลเซียมีคนจีนเป็นชนกลุ่มน้อย

นับตั้งแต่ประกาศเอกราชเป็นต้นมา สิงคโปร์มีผู้บริหารประเทศเปลี่ยนหน้าค่าตาไป 3 รุ่นเท่านั้น คือนายลี กวน ยิว นายโก๊ะ จ๊ก ตง และนายลี เซียน หลุง(ซึ่งเป็นบุตรชายผู้นำคนแรก) หรือจะเรียกว่านับตั้งแต่ตั้งประเทศมา สิงคโปร์ผูกขาดการบริหารประเทศโดยครอบครัวตระกูลลีมาตลอด ก็ย่อมได้

การที่สิงคโปร์ไม่เคยก้าวพ้นเงาของตระกูลลี ก็เพราะนโยบายคุณพ่ออุปถัมภ์ที่ทำให้คนสิงคโปร์ได้รับสวัสดิการและโครงสร้างพื้นฐานอย่างพอเพียง คนในประเทศนี้โดยส่วนใหญ่จึงให้ความสนใจกับการเมืองน้อย และให้ความสำคัญกับการดำเนินกิจการค้าขายเป็นหลัก

สิงคโปร์มีกฎหมายที่เด็ดขาด ขนาดพื้นถนนก็ยังสะอาดเอี่ยมอ่อง ผู้คนอยู่ภายใต้ระเบียบวินัยเคร่งครัด ไม่มีเวลาแม้แต่จะหาคู่ครอง จนรัฐบาลต้องมีนโยบายจัดให้คนหนุ่มสาวได้พบเจอกัน เพื่อจะได้มีทายาท เป็นพลเมืองสิงคโปร์โดยแท้ แต่ถึงขนาดนั้นก็ไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก จึงมีการจัดจ้างแรงงานจากต่างด้าวอยู่มาก รวมถึงแรงงานไทย

กฎหมายที่เข้มงวดของสิงคโปร์ ด้านหนึ่งเพื่อรักษาความสันติสุขของประเทศ แต่อีกด้าน เป็นการรักษาความมั่นคงทางการเมืองให้กับตระกูลลี เพราะไม่มีใครกล้ากระด้างกระเดื่อง และแท้จริงนอกจากสวัสดิการที่ประชาชนได้รับอย่างพอเพียงแล้ว ผลประโยชน์ของรัฐส่วนใหญ่ ล่มอยู่ในหนองของตระกูลลีแทบทั้งสิ้น บรรษัทข้ามชาติของสิงคโปร์บางบริษัท จึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับรัฐสิงคโปร์อย่างแยกไม่ออก

ห้วงปีที่แล้ว นับแต่ต้นปีใหม่ คนไทยได้ข่าวว่านายกรัฐมนตรี(ในเวลานั้น)ของไทย ได้ไปฉลองปีใหม่กับครอบครัวที่ประเทศสิงคโปร์ แต่ในความรับรู้ต่อมา ปรากฏว่าอดีตนายกฯของเราไม่ได้ไปฉลองปีใหม่อย่างเดียว แต่ไปสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับการค้าระหว่างบริษัทของเขากับกองทุนเทมาเสกโฮลดิ้ง ของสิงคโปร์ ด้วยการขายกิจการในเครือชินคอร์ปอเรชั่นเกือบทั้งหมด ในมูลค่าไม่น้อยกว่า 73,300 ล้านบาท และเป็นการค้าที่หลบเลี่ยงภาษี(ซิกแซก) มูลค่ากว่าสองหมื่นล้านบาท

ที่สำคัญ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขายกิจการคลื่นความถี่ให้กับต่างชาติ เท่ากับเป็นการบั่นทอนความมั่นคง มีความเสี่ยงต่อการถูกดักฟังในเชิงยุทธศาสตร์ ดังนั้น อดีตนายกฯของไทยจึงถูกกล่าวหาว่าขาดจริยธรรมอย่างยิ่งยวด โดยการขายสมบัติชาติและหลบเลี่ยงภาษีมานับแต่นั้น และนั่นเองที่เป็นส่วนสำคัญให้กองทัพนำมากล่าวอ้างในการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549

เมื่อการรัฐประหารเกิดขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับเข้าประเทศไทยอีก เพราะคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.)มีความหวั่นเกรงจะเป็นชนวนแห่งการปะทะกันของประชาชน และกลัวอำนาจป่วนจากขุมข่ายซึ่งเป็นคนของอดีตนายกฯ ในภาคส่วนราชการต่างๆ โดยก่อนหน้านี้บรรดาข้าราชการสายไทยรักไทยได้พร้อมใจกันปลดเกียร์ว่างในการทำงานมาพักหนึ่งแล้ว

เมื่อไม่ได้รับการเปิดทางให้เข้าประเทศ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มิได้ยอมล่าถอยในเกมแห่งอำนาจ เขาใช้วิธีการ ทางจิตวิทยาขย่มขวัญ คมช. ด้วยการบินไปประเทศต่างๆ ในภูมิภาคใกล้เคียงประเทศไทย รวมถึงจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ จนคมช.ร้อนรนถึงขนาดต้องระงับหนังสือเดินทางทางการทูต(พาสปอร์ตแดง)ของอดีตนายกฯ ผู้นั้น เป็นการส่งสัญญาณต่อประเทศต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยว่า ในระดับรัฐบาลของประเทศนั้นๆ แล้ว ไม่ควรมีการเจรจาใดๆ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ อีก เนื่องจากเขาไม่ได้รับการยอมรับโดยสิ้นเชิงจากรัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน และการต้อนรับเขาในระดับผู้นำ อาจทำให้มีข้อบาดหมางทางการทูต

หากว่านั่นกลับเป็นการเพิ่มเขี้ยวเล็บให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยแท้ เมื่อเขาอาศัยสถานการณ์เช่นนั้นเดินทางเข้าไปพบปะกับบุคคลระดับรองนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ถึง 2 คน คือ นายหว่อง กันเส็ง และ นายเอส จายากุมาร พร้อมกับได้รับโอกาสให้อดีตนายกฯไทยสัมภาษณ์สดกับสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น และหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล แบบเจาะลึก ในวันที่ 15 มกราคม 2550

สถานการณ์ดังกล่าวกดดันให้รัฐบาลไทยตึงเครียดกับรัฐบาลสิงคโปร์โดยทันที โดยไทยได้มีมาตรการตอบโต้ตามมาในวันรุ่งขึ้น คือ กระทรวงต่างประเทศของไทยประกาศระงับความร่วมมือภายใต้กรอบโครงการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานข้าราชการ พลเรือนไทย-สิงคโปร์ (Civil Service Exchange Program หรือ CSEP), ยกเลิกการประชุม CSEP ครั้งที่ 8 ซึ่งเดิมที่จะจัดขึ้นในวันที่ 29-31 มกราคม 2550 รวมถึงการถอนคำเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์ ที่จะมาเยือนไทย ในวันที่ 29-30 มกราคม 2550 เพื่อร่วมกิจกรรมในการประชุม CSEP ด้วย

ด้วยมาตรการดังกล่าวนี้เอง ทำให้ต่อมาเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางต่อไปยังประเทศญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นก็รีบส่งสัญญาณออกมาว่า เขาพร้อมจะมีความสัมพันธ์กับรัฐบาลไทยชุดปัจจุบันเท่านั้น และอดีตนายกฯไทยจะไม่ได้รับการรับรองให้เข้าพบกับคนในรัฐบาลเป็นกรณีพิเศษ

กรณีสิงคโปร์เป็นเรื่อง คมช. หวั่นเกรงมานานแล้ว โดยเคยแจ้งเตือนเรื่องสถานะของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้กับรัฐมนตรีต่างประเทศของสิงคโปร์ นายจอร์จ เอี๋ยว และเอกอัครราชทูตสิงคโปร์ประจำประเทศไทย นายปีเตอร์ ชาน ถึง 3 ครั้ง แต่ก็ไม่อาจทัดทานสิงคโปร์ จนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น

มีคำถามอยู่สองข้อก็คือ ทำไมสิงคโปร์จึงต้องต้อนรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ? และ อะไรจะทำให้สิงคโปร์หวั่นเกรงในความสัมพันธ์กับประเทศไทย ?

อธิบายข้อแรก รัฐบาลสิงคโปร์เป็นรัฐบาลแบบผูกขาด สืบทอดอำนาจกันมาตั้งแต่ปี 2508 ในกิจการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ขายให้กับ กองทุนเทมาเส็กโฮลดิ้ง นั้น เจ้าของก็คือตระกูลลี โดยชื่อเทมาเส็ก คือชื่อเดิมของเกาะสิงคโปร์ ซึ่งคงพอทำให้เราเข้าใจได้ว่า เทมาเส็ก กับ สิงคโปร์ คืออันเดียวกัน และในที่นี้ เดิมทีเอกชนเป็นรัฐด้วยกันทั้งคู่ และปัจจุบันแม้กองทุนเทมาเส็กจะคงความเป็นรัฐอยู่ฝ่ายเดียว แต่คู่เจรจาการค้ายังเป็นคนเดิม บทบาททางการค้ายังเหมือนเดิม ดังนั้น สิงคโปร์จึงจำเป็นต้องต้อนรับเพื่อนของเขา ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ทราบดีอยู่ก่อนแล้ว และนี่คือยุทธศาสตร์เพื่อการตอบโต้มาตรการของ คมช. โดยเฉพาะ

อธิบายข้อที่สอง สิงคโปร์แม้จะเป็นประเทศร่ำรวย แต่ก็มีข้อจำกัดประการสำคัญที่สุดคือที่ดิน กับประเทศมาเลเซียนั้นสิงคโปร์มิได้มีความสัมพันธ์ที่ดีนัก ทหารและฝูงบินของสิงคโปร์จึงต้องอาศัยน่านฟ้าไทยในการฝึกร่วม การตอบโต้ของรัฐบาลไทยจึงทำให้สิงคโปร์หวั่นไหวอย่างยิ่งยวด เพราะเกี่ยวพันถึงเรื่องการรักษาอธิปไตยของประเทศ เรื่องนี้คมช. ซึ่งเป็นทหารเข้าใจดี จึงกล้าใช้มาตรการเข้มข้นกับสิงคโปร์ เพื่อเตือนสติ ที่สำคัญกว่านั้น ไทยยังมีประเด็นเรื่องคอคอดกระ ที่ถ้าขุดเมื่อไร ประเทศสิงคโปร์จะสูญเสียรายได้มหาศาล เมืองท่าในภูมิภาคอาจจะเปลี่ยน โดยเรือไม่ต้องแล่นอ้อมและไม่ต้องเสี่ยงกับโจรสลัดที่ชุกชุมในช่องแคบมะละกา นี่คือเรื่องที่สิงคโปร์กังวลกับไทยมากที่สุด

นอกไปจากนี้แล้ว โดยเฉพาะเรื่องที่คมช.อ้างถึงว่ามีการดักฟังโทรศัพท์ จนต้องเลิกใช้ระบบจีเอสเอ็ม เพราะหวั่นเกรงต่อความมั่นคง น่าจะเป็นการกล่าวหาสิงคโปร์ที่หวังผลในเชิงจิตวิทยาในประเทศมากกว่า คือให้คนไทยยิ่งไม่ชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ และเห็นสิงคโปร์เป็นเหมือนพม่าในแบบเรียน เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับมาตรการทางการทูตที่เด็ดขาด ให้คนไทยชื่นชมความเด็ดเดี่ยว โดยมีฉากหลังของความหาญกล้าดังได้อธิบายไว้ในข้อที่สอง

ทั้งหมดนี้คือการต่อสู้กันในเกมการเมืองของ 2 ฝ่าย ที่ส่งผลสะเทือนไปทั่วภูมิภาค ทำให้เราได้เห็นกระบวนการสร้างองค์ความรู้เรื่องชาตินิยมขึ้นมา(โดยมีประเทศอื่นเป็นศัตรู) ว่าแท้จริงสิ่งที่เราเรียนรู้มาแต่เล็กแต่น้อย ก็คือเรื่องของวิธีการรักษาอำนาจของชนชั้นปกครองในประเทศเรา มากหรือน้อยกว่านี้ไม่ไกลนัก ส่วนในเรื่องที่ลึกซึ้งกว่านั้น มักไม่มีคำอธิบาย

Comment #1
ภู (Not Member)
Posted @1 ก.พ.50 18.20 ip : 203...34

ต้อนรับการมาของนักบอลสิงคโปร์ด้วยบทความอันนี้

เจอกันที่สนามศุภฯ ครับ

Comment #2
Posted @1 ก.พ.50 21.30 ip : 203...250

บอลคู่สิงคโปร์เป็นคู่อัปยศ บอลไทยเป็นบอลสุภาพมาโดยตลอด เล่นดีและเล่นในเกมทุกนัด มีความอดทนอดกลั้นสูง แต่เมื่อคู่สิงคโปร์ที่ผ่าน เกมแรงตั้งแต่นกหวีดยังไม่ได้เป่า

ไม่อยากพูดว่ากองเชียร์สิงคโปร์เป็นกองเชียร์ที่ไม่มีวัฒนธรรม แต่ก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดให้ดีกว่านี้

เกมแรงตั้งแต่เขี่ยบอล และแรงยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เหมือนบอลวัดแข่งพนันเงินของพวกขี้ยามากกว่า

สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีกองทัพที่มีศักยภาพสูง เพราะได้อเมริกาหนุนหลัง แน่นอน-ที่อเมริกาย่อมได้ประโยชนร์สูงสุดจากสิงคโปร์ อย่างน้อยก็ท่าทีในการเห็นด้วยสำหรับฐานทัพของอเมริกาในย่านนี้

ปัจจุบันสิงคโปร์คงฐานะ "ยิวแห่งอาคเนย์" ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันเป็นเอกลักษณ์ พลเมืองมีหน้าที่ทำมาหากินอย่างเดียว และเลือกรัฐบาลได้เพียงพรรครัฐบาล

เป็นประเทศทุนนิยมสูงสุด เพราะปัจจัยสำคัญสุดของกระบวนการผลิตคือที่ดินมีจำกัดยิ่ง การค้าจึงเป็นหัวใจหลัก และนี่คือำนาจของสิงคโปร์

ประเทศคู่กัดของสิงคโปร์คือมาเลเซีย เนื่องด้วยความที่เคยเป็น "ติ่ง" มาเลเซียมาก่อนนี่เอง

๑๐ กว่าปีก่อนได้พูดคุยกับโปรดิวเซอร์ค่ายเพลงแห่งหนึ่งของสิงคโปร์ เราคุยกันด้วยภาษาใบ้เป็นหลัก แต่พอเข้าใจได้ คำถามหนึ่งผมถามไปยัง ลี กวน ยิว เขาเบ้ปาก และด้วยความที่ต่างไม่รู้จะพูดให้เข้าใจกันอย่างไร เขาจึงนั่งหมอบและยก ๒ มือเหลือหัวแล้วก้มกราบสุดแขน ผมถามเขาว่า He is the god! เขาปฏิเสธแล้วตอบว่า He is  the godfather!

เป็นประเทศเล็กๆในภูมิภาค ทีไม่เคยมีบทบาทสำคัญอันใดมาก่อน จนกระทั่งอเมริกาเข้ามาหนุนหลัง สร้างให้เป็นยิวแห่งอาคเนย์ขึ้นมา


นิสัยคนสิงคโปร์นั้น พื้นฐานอารมณ์เป็นคนไม่คงที่ โกรธง่าย หายไวก็จริง แต่มีนิสัยอาฆาตเหมือนงู ขี้โอ่ขี้โม้ในความร่ำรวยของตน เป็นคนถือตัวเจ้ายศเจ้าอย่าง และเหยียดหยามเชื้อชาติอื่นอย่างยิ่งยวด แม้ตัวเขาจะทำมาหากินอยู่ในประเทศอื่นก็ตามที

วันอาทิตย์นี้ที่สนามศุภฯ  ผมซื้อตั๋วชั้นริงไซด์ไว้แล้วครับ

Comment #3
Posted @5 ก.พ.50 6.30 ip : 203...234

ง่ะ.....พี่หมี่มา กทม. เหรอคะ

Comment #4
Posted @5 ก.พ.50 20.16 ip : 58...30

ป่าวจ้ะจาวตาล

แค่พูดไปงั้นแหละจ้ะ แหะๆ


ว่าจะไปตีสิงคโปร์น่ะ อิอิ 

แสดงความคิดเห็น

« 1430
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง

งานเขียนของข้าพเจ้า

personมุมสมาชิก

Last 10 Member Post

Web Statistics : online 0 member(s) of 13 user(s)

User count is 2420277 person(s) and 10099240 hit(s) since 7 พ.ย. 2567 , Total 550 member(s).