เกลียวคลื่นใต้ก้อนขี้
แสงแดดแรง น้ำทะเลใส ลมพัดเย็น เวลาบ่ายจัด
ริมทะเลคลาคล่ำไปด้วผู้คน บ้างมาเป็นครอบครัว บ้างมาสองคนเป็นคู่ บ้างก็มากับกลุ่มเพื่อน ผมมาคนเดียว ทำตัวอารมณ์ติสต์ไง ทำเป็นอยากมาทะเลคนเดียว เป็นไง เหงาซะ ผมน่ะพวกความรู้สึกช้า ช้ามาก ไม่ค่อยคิดอะไรล่วงหน้า ไม่กลัวเหงา แต่ถึงเวลาจริงๆเสือกเหงา ไม่คิดว่าจะไปรักแล้วสุดท้ายก็เสือกรัก ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องเจ็บเรื่องปวดพอถึงเวลาก็ร้องไห้คร่ำครวญจะเป็นจะตาย เหมือนอย่างที่เพื่อนบางคนของผมมันเคยบอกนั่นแหละ ว่า อย่างมึงน่ะ เค้าเรียกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ซึ่งผมมานึกๆดู ไอ้ที่มันพูดมาก็จริงทีเดียว
ตอนนี้ผมออกจะเหงา ออกจะปวดร้าวเล็กๆ อันที่จริงมันก็ไม่เล็กหรอกนะ แต่มันคงเป็นความเคยชินมากกว่ามั้ง เคยชินที่จะใช้คำว่าเล็กๆ หน่อยๆ บางๆ อะไรประมาณนี้ มันดูกวีดี แต่ปัญหาคือทำให้คนทั่วๆไปหรือแม้แต่เพื่อนสนิทมักจะประเมินปัญหาที่ผมเจอต่ำกว่าความเป็นจริงเสมอ บางทีผมควรใช้คำอะไรแบบนี้ให้น้อยลง
ไอ้ทะเลที่ผมมาเที่ยวนี่ใสดี แต่ไม่สะอาด เหตุที่เลือกมาเพราะมันไม่ไกลจากกรุงเทพมาก ไปกลับในวันเดียวได้ ไอ้คนอื่นๆมันก็คงแห่กันมาเพราะสาเหตุเดียวกันกับผม และก็คงคิดเหมือนๆกันกับผม ว่าเออ..ไอ้ห่านี่มันคงมาด้วยสาเหตุเดียวกันกับกูนั่นแหละ
แต่อย่างว่า ก็ได้แต่เดากันไป มีใครบ้างล่ะจะไปรู้ไปเข้าใจความคิดของคนอื่นจริงๆจังๆน่ะ ผมเคยคิดนะว่าผมเข้าใจคนบางคนได้ดี ว่าเค้าคิดยังไง ว่าเค้ารู้สึกยังไง สุดท้ายไอ้ที่ผมว่าผมเข้าใจน่ะ ผมเข้าใจผิดทั้งเพ ฝ่ายทางนั้นก็เหมือนกัน ก็ได้แต่โทษกันไปโทษกันมา ทั้งที่ไอ้การที่ผมเข้าใจเค้าผิดมันก็ไม่ใช่ความผิดของเค้า และมันก็ไม่ใช่ความผิดของผมอีกเช่นกันที่ไม่สามารถทำให้เค้าเข้าใจผมจริงๆจังๆได้ แต่ก็อย่างว่า ที่เราโทษกันไปโทษกันมา อาจเป็นเพียงแค่เราต้องการหาใครสักคนที่ไม่ใช่ตัวเองมาเป็นแพะรับบาปกับความผิดหวัง กับความเจ็บช้ำของเราทั้งคู่มั้ง ซึ่งว่าไปมันก็ยุติธรรมดีที่เราเป็นแพะรับบาปให้กับกันและกัน เพียงแต่มันไม่ค่อยสนุกเท่านั้นแหละ
เพื่อคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ผมเลยค่อยๆกระทุ่มน้ำพาตัวหนีผู้คนออกมารอบนอก ในตัวใส่ชูชีพสีแดงสดไว้อันนึง อันที่จริงผมว่ายน้ำเป็น แต่ใส่ชูชีพเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เหนื่อยแค่นั้นแหละ ไอ้ชูชีพนี่มันช่วยให้ผมสามารถลอยตัวอยู่นิ่งๆโดยไม่ต้องขยับแขนขยับขาพยุงตัว ให้ผมมีโอกาสได้คิดอะไรต่อมิอะไรไปตามเรื่อง บางคนเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการคิดโดยการออกกำลัง แต่ผมกลับชอบที่จะหลีกเลี่ยงการออกกำลังเพื่อเอาสมองมาคิด ก็ไม่ได้ว่าอะไรมันดีกว่าอะไรหรอก มันก็แค่ความชอบที่ต่างกันแค่นั้นแหละ ผมชอบคิด บางคนไม่ชอบคิด ก็เท่านั้น
คิดไป คิดไป พอมองไปที่น้ำทะเลข้างหน้าอีกที อ้าว ไอ้ห่า..ขี้ใครวะเนี่ย ก้อนยาวเท่ากล้วยหอมงามๆ เส้นผ่าศูนย์กลางสักนิ้วกว่าๆได้ ลอยพะเยิบๆเข้ามาหาผม ผมเหลียวซ้ายแลขวา ข้างหน้าเป็นทะเล ข้างหลังก็เป็นทะเล แต่ทะเลข้างหลังอยู่ห่างจากฝั่งสักสิบเมตรได้ ไอ้ฝั่งที่ว่าก็เสือกก่อเป็นกำแพงอีก ไม่ใช่ส่วนที่เป็นหาด รอบตัวไม่มีใครสักคน ไม่มีสักคนที่จะมารับรู้ถึงมหันตภัยที่ผมกำลังเผชิญอยู่ตรงหน้า
เวลาเจอขี้ลอยมาตรงหน้าอะไรคือสิ่งแรกที่คุณจะคิด ผมไม่รู้ว่าคุณจะตอบว่าอะไรหรอก บางทีถ้าใครถามผมด้วยคำถามแบบนี้ผมอาจตอบเหมือนคุณก็ได้ แต่ไอ้สิ่งที่ผุดขึ้นในหัวผมตอนนั้นมันเป็นคำถาม คำถามที่ผมไม่คิดว่าจะผมถามตัวเองในห้วงเหตุการณ์นั้น..
..ขี้ใคร..
ให้ตายเหอะ ผมสงสัยจริงๆนะว่ามันขี้ใคร ไม่น่าใช่ขี้เด็ก เพราะขี้เด็กก้อนไม่น่ายาวเท่ากล้วยหอม แต่เอ..ไม่รู้สิ บางทีเด็กสมัยนี้อาจจะขี้ยาวกว่าเด็กรุ่นผมก็ได้ แต่ก็เอาเหอะ ผมตัดประเด็นว่าขี้เป็นของเด็กไปก่อน คนเรามักเชื่อประสบการณ์ที่คุ้นเคยของตัวเองก่อนเสมอนี่นา ถ้าเป็นขี้ผู้ใหญ่ ผู้ชายหรือผู้หญิงล่ะ? ขี้ของอากงอ้วนๆที่พาหลานมาเล่นน้ำทะเลรึ อืมม..ก็เป็นไปได้ คนแก่ๆมักจะอั้นขี้ไม่ค่อยเก่ง อาจจะอาศัยลูกมั่วตอนที่คนไม่ทันเห็นหย่อนขี้แล้วเอาตีนพุ้ยๆถีบน้ำออกมา กางเกงขาสั้นของแกก็ปล่อยขี้ออกมาทางขากางเกงง่ายจะตาย เอ..บางทีอาจจะเป็นสาวที่ใส่ชุดว่ายน้ำสีแดงคนนั้นก็ได้ สาวสวยหน้าตาน่ารัก แต่ไม่ว่าคนน่ารักแค่ไหนก็ต้องเคยปวดขี้กันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ แล้วมีใครจะมารับรองได้บ้างล่ะ ว่าคนหน้าตาน่ารักจะไม่แอบขี้ลงทะเล แค่ดึงๆชุดว่ายน้ำให้เบี่ยงออกด้านข้างนิดหน่อย อยู่นิ่งๆสักพัก แล้วก็ว่ายเข้าไปดี๊ด๊ากับแฟนเธอต่อได้แล้ว โดยที่ไอ้หนุ่มนั่นก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าแฟนตัวเองแอบไปขี้มา แต่ว่าไปแล้วมันก็เป็นไปได้ทุกคนนั่นแหละ ผมพยายามจะขีดวงการเดาให้แคบลง แต่ผมไม่รู้จริงๆว่ารูตูดของผู้ชายนั้นขนาดต่างกับผู้หญิงยังไง ความอ้วนความผอม อายุคน หรืออายุการใช้งานจะมีผลต่อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางก้อนขี้ขนาดไหน วินาทีนั้นผมอยากให้มีใครสักคนทำวิจัยเรื่องนี้จริงๆนะ เรื่องความสัมพันธ์ของเส้นผ่าศูนย์กลางลำขี้และปัจจัยที่มีผลต่อสภาพรูตูดของคน จะมีอาจารย์ที่ไหนรับเป็นที่ปรึกษาหัวข้อวิจัยแบบนี้บ้างไหมนะ ผมว่าคงมีแหละ หัวข้อมันน่าสนใจออก แต่อาจารย์ที่ปรึกษาคนนั้นคงต้องหน้าหนาพอดูทีเดียว
ขณะที่ผมมัวแต่คิดอยู่ก้อนขี้มันก็ลอยกระเพื่อมเข้ามาหาผมเรื่อยๆ ด้วยท่าทีประสงค์ร้ายจนอยู่ห่างหน้าไม่ถึงศอก ผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่าขี้นี่จะสามารถประสงค์ร้ายต่อมนุษย์ได้จริงๆไหม แต่อย่างน้อยตอนนั้นผมก็รู้สึกอย่างนั้น บางทีมันอาจเป็นความหวาดกลัวของผมเองก็ได้ที่สะท้อนออกมาในรูปของความประสงค์ร้ายแห่งก้อนขี้ จมูกผมได้กลิ่นเหม็นเหมือนขี้ที่แช่น้ำทะเลควรจะเหม็น ผมถีบน้ำพาตัวถอยหลัง ทีนี้ไอ้การพาตัวเองถอยหลังเนี่ย มันก็ทำให้น้ำข้างหน้าที่ผมเคยอยู่เกิดเป็นช่องว่างขึ้น แล้วตามกฏของฟิสิกส์ที่ว่าด้วยกลศาสตร์ของของไหลเนี่ย ไอ้น้ำที่อยู่รอบๆมันก็ต้องเข้ามาเติมเต็มไอ้ช่องว่างที่ว่านั้น ซึ่งไอ้น้ำที่ก้อนขี้มันอยู่ข้างบนมันก็บังเอิญอยู่รอบๆช่องว่างที่ว่าพอดี ขี้มันก็ลอยตามผมโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งผมก็ไม่ได้โทษมัน ได้แต่พยายามพาตัวหนีโดยอาการตะแคงๆตัวแล้วเคลื่อนไปช้าๆเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างขึ้นให้ขี้มันมาเล่นเอาล่อเอาเถิดกับผมอีก ซึ่งก็เป็นไปได้ด้วยดีพอสมควร แต่พอคลื่นลูกใหญ่สาดโครมเข้าหาฝั่ง หรืออีกนัยหนึ่ง สาดจากทางก้อนขี้มาหาผม ไอ้ก้อนขี้นั้นก็ลอยละลิ่วตามคลื่นมาทันที ซึ่งอันนี้ผมเข้าใจได้ว่าไอ้เจ้าก้อนขี้มันเริ่มเล่นไม่ซื่อ เพราะมันเกิดไม่ยอมทำตามกฏทางฟิสิกส์ขึ้นมาซะงั้น ด้วยว่าเท่าที่ผมเรียนมา เมื่อเกิดคลื่นขึ้น สิ่งที่ส่งผ่านมากับคลื่นและเคลื่อนที่จะมีเพียงพลังงานส่วนตัวกลางของคลื่นจะอยู่นิ่ง นั่นคือน้ำที่มันอยู่ใต้คลื่นมันสมควรจะอยู่กับที่มีหน้าที่กระเพื่อมขึ้นลงตามแรงคลื่นอย่างเดียว และไอ้ก้อนขี้นั้นก็สมควรอย่างยิ่งที่จะอยู่กับที่ กระเพื่อมขึ้นลงตามกฏของฟิสิกส์อย่างเดียวโดยไม่เคลื่อนมาหาผม ดังนั้นการที่มันลอยพรวดมาหาผมนี้จึงถือได้ว่าเป็นการแหกกฏอย่างฟิสิกส์อย่างไม่น่าอภัยยิ่ง แต่บางขณะบางเวลา ก็ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาถกเถียงกันเรื่องความถูกต้องหรือการที่อะไรสมควรจะเป็นอะไรยังไง แต่ปัญหาเฉพาะหน้าต่างหากที่ต้องแก้ ดังนั้นผมจึงได้แต่ตัดสินใจหันหลังให้ไอ้เจ้าก้อนขี้เกเรก้อนนั้นแล้วว่ายน้ำเข้าหาฝั่งเป็นเส้นตรงในท่าฟรีสไตล์ทันที เพราะท่าฟรีสไตล์เป็นท่าที่ทำให้คนเราว่ายน้ำได้เร็วที่สุด และการเดินทางเป็นเส้นตรงคือการเดินทางที่ถึงจุดหมายได้เร็วที่สุด
ในที่สุดผมก็ถึงจุดหมาย
แต่ข้างหน้าผมเป็นกำแพง และเมื่อหันหลังกลับ เจ้าก้อนขี้อิ่มน้ำก็ไม่ได้อยู่ห่างจากผมไปมากกว่าคราวสุดท้ายที่ผมเห็น
วินาทีที่ผมจนตรอกนั้ ผมไม่สนใจแล้วว่าเจ้าก้อนขี้มันประพฤติตัวสมกับที่วัตถุลอยน้ำก้อนหนึ่งสมควรประพฤติตามกฏทางฟิสิกส์หรือไม่ ไม่สนแล้วว่ามันหลุดมาจากรูตูดของใคร รูที่แก่ รูที่อ่อนเยาว์ รูตูดผู้ชาย หรือรูตูดผู้หญิง วินาทีนั้นมันไม่มีอะไรสำคัญอีกแล้ว สมองผมคิด คิด คิด และ คิด ผมไม่แน่ใจว่าเจ้าก้อนขี้มันจะคิดด้วยหรือเปล่า ในไม่กี่วินาทีผมก็คิดออกว่าผมสมควรดำน้ำลอดใต้ก้อนขี้นั้นออกไป แต่เหมือนว่าเจ้าก้อนขี้มันจะคิดอะไรได้เร็วกว่าผม ก่อนที่ผมจะถอดชูชีพ เจ้าก้อนขี้อิ่มน้ำก็ค่อยๆพองตัวขึ้นอีกเล็กน้อย ก่อนแตกโพล๊ะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเข้ารายรอบตัวผมเมื่อคลื่นขนาดย่อมซัดเข้ามา..
ผมพ่ายแพ้แล้ว
ใครบอกกันนะ ว่ามนุษย์ถูกทำให้ตายได้ แต่พ่ายแพ้ไม่ได้ ?
เขาคนนั้นคงไม่เคยเจอศัตรูที่ยิ่งใหญ่และเจ้าเล่ห์อย่างวายร้ายอย่างเจ้าก้อนขี้ก้อนนี้น่ะสิ
วินาทีที่ผมพ่ายแพ้ ผมคิด คิด คิด คิดว่าเจ้าก้อนขี้ก้อนเล็กๆที่ออกมาจากรูตูดมนุษย์นี้มีอะไรน่ากลัว? ทำไมผมจึงต้องหนีมันอย่างเอาเป็นเอาตาย?
คำตอบคือ ผมถูกสอนมาให้กลัวมัน คำตอบคือผมถูกใส่โปรแกรมมาว่ามันคือสิ่งที่น่าขยะแขยงไม่สมควรจะไปจับต้อง คำตอบคือ ผมยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเอาตัวเอาเข้าไปปะทะซึ่งๆหน้ากับเจ้าก้อนขี้ก้อนน้อยๆนี้ เหมือนที่โบราณพร่ำสอนนักสอนหนาว่าอย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ
ผมหวาดกลัวสิ่งเล็กๆที่ไร้ชีวิต ที่การมีอยู่ของมันเป็นเรื่องปกติธรรมชาติ ผมตะเกียกตะกายหนีมันราวสัตว์อสูรกายจากใต้น้ำ ทั้งๆที่ผมกดมันลงชักโครกในทุกๆเช้า ผมเอาแต่หนีอย่างผู้ขลาดเขลาและปล่อยให้เจ้าก้อนขี้ได้รับบทเป็นผู้ล่า
มนุษย์เราช่างอ่อนแอเหลือเกิน
อย่าบอกผมเลยว่ามนุษย์นั้นพ่ายแพ้ไม่ได้ อย่าบอกผมเลยว่าผมคือพิมเสนที่ไม่อาจเอาไปแลกกับเกลือ อย่าบอกผมเลยว่ามนุษย์คือสัตว์ประเสริฐที่การรังเกียจสิ่งปฏิกูลคือการเป็นผู้ดี อย่าบอกผมเลยว่าความขยะแขยงนั้นไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับความหวาดกลัว ผมจะไม่เชื่อมันอีกต่อไปแล้ว
เหล่านั้นนั่นแหละที่ทำให้ผมพ่ายแพ้ในวันนี้
คืนนั้นผมขับรถกลับบ้าน ปิดห้องร้องไห้จนสาแก่ใจ ดื่มกินจนเมามายให้กับความพ่ายแพ้ในนามของมนุษย์คนหนึ่งต่อก้อนขี้ที่ริมทะเล
...................................................................