...เราคงต้องเขียนอะไรต่อมิอะไร แบบไทยไทย อีกหลายอย่าง ไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เป็น ของประจำชาติ...
เวลานี้ ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 50 ร่างแรก 299 มาตรา ก็ปรากฏโฉมหน้าออกมาให้เห็นแล้วนะครับ
มีการส่งมอบ ให้กับ 12 องค์กรที่เกี่ยวข้อง ในวันที่ 26 เมษายน 2550 เพื่อให้ทุกองค์กร นำไปพิจารณา และให้ความเห็น
วิพากษ์วิจารณ์กันมากมายเลยครับ
ประเทศไทย ได้ชื่อว่า ใช้รัฐธรรมนูญเปลืองมาก เวลานี้ ก็ปาเข้าไปแล้ว 17 ฉบับ ในช่วงเวลา 60 กว่าปีที่เราใช้ระบอบประชาธิปไตย
นี่ก็อาจเป็นเพราะ เรามีความเป็นตัวของตัวเองสูง ดังนั้น เราจึงเป็น ประชาธิปไตยแบบไทยไทย
ช่วงเวลาหนึ่ง เราพอใจอย่างหนึ่ง เราก็เขียนอย่างหนึ่ง
ช่วงเวลาหนึ่ง เราไม่พอใจอย่างหนึ่ง เราก็เขียนมันเสียอีกอย่างหนึ่ง
เราเอาความพอใจกับไม่พอใจเป็นที่ตั้ง แล้วค่อยไปหา หลักการ มารองรับเหตุผลของความพอใจ และไม่พอใจนั้น ๆ
เช่นว่า เราไม่พอใจ นายกฯจากการแต่งตั้ง เราก็เรียกร้องให้จำกัดเหลือแค่ นายกฯจากการเลือกตั้ง เวลาต่อมา เราไม่พอใจ นายกฯจากการเลือกตั้ง เราก็เรียกร้องให้เปิดช่องให้มี นายกฯจากการแต่งตั้ง
และนี่ก็เป็น ประชาธิปไตย ส่วนใครจะต่อท้ายว่า แบบไทยไทย หรือไม่ ก็ตามแต่ใจของใครของมันครับ
รัฐธรรมนูญ เขาจัดว่า เป็น กฎหมายมหาชน ครับ
ความหมายของมันคือ การกำหนด กฎ-กติกา-มารยาท อย่างกว้าง เพื่อบังคับใช้ร่วมกันในสังคมหนึ่ง ๆ โดยความยอมรับร่วมกันของสังคมนั้น ๆ
ความหมายของมันคือ การกำหนด โครงสร้างทางสังคม และความสัมพันธ์ระหว่างแต่ละส่วน ในโครงสร้างที่กำหนดขึ้น
แต่สำหรับสังคมไทย ก็คงต้องเป็น แบบไทยไทย กระมังครับ ?
ประมาณว่า ยิ่งมากยิ่งดี ประมาณว่า นึกอะไรออก อยากได้อะไรและแบบไหน ก็เอาไปใส่มันไว้ในรัฐธรรมนูญเสีย ประมาณว่า รัฐธรรมนูญศักดิ์สิทธิ์เสียเหลือเกิน กระทั่งถ้าใส่ไว้นั้นนั้นแล้ว มันจะเป็นหลักประกันอันมั่นคงเสียเหลือเกิน
แล้วเราก็แกล้งลืม ๆ ความจริง ที่ว่า ความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญ มันถูกฉีกทิ้งมานับครั้งไม่ถ้วน และความศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า ก็ต้องเริ่มกันใหม่อยู่เรื่อย ๆ ทุกครั้งไป
ผมไม่ได้ว่าอะไรครับ
ผมก็แค่ติดตามดูความเป็นไป พร้อม ๆ กับย้อนความเป็นมา ที่เคยมีมา
เราเรียกร้องให้ประชาชนทุก ๆ คน มีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญ มีส่วนร่วมในการเสนอความคิด แต่เรากลับละเลยที่จะให้การศึกษา เพื่อทำความเข้าใจร่วมกัน ของคนในสังคมว่า รัฐธรรมนูญคืออะไร อย่างไร และแค่ไหน
ประชาชนส่วนใหญ่ อาจไม่ได้สนใจ เพราะอาจไม่รู้สึกว่า รัฐธรรมนูญจะเข้ามาเกี่ยวอะไรกับชีวิตของพวกเขา ที่ประชาชนส่วนใหญ่คิด อาจจะต้องการแค่ว่า ถ้าให้เสนอ ก็อยากให้รัฐธรรมนูญ รับประกันการดำรงชีวิตของพวกเขา ให้ดำเนินไปได้ด้วยดี
ไม่แปลกอะไร ถ้าประชาชนผู้มีอาชีพค้าขาย อยากให้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ให้รัฐจัดที่ทำมาค้าขายให้ ไม่แปลกอะไร ถ้าประชาชนผู้ขับแท็กซี่ อยากให้เขียนในรัฐธรรมนูญว่า ให้รัฐจัดสวัสดิการจัดรถแท็กซี่ให้ ไม่แปลกอะไร ถ้าประชาชนผู้มีอาชีพเกษตรกร อยากให้เขียนในรัฐธรรมนูญว่า ให้รัฐจัดที่ดิน พร้อมโค-กระบือ และอุปกรณ์ทำกินให้ และ ฯลฯ เพราะสิ่งเหล่านี้ คือ รัฐธรรมนูญกินได้ ที่เป็นอยู่จริง สำหรับประชาชนส่วนใหญ่
แต่ความจริงก็คือ ความหมายของรัฐธรรมนูญ อาจมิได้เป็นเช่นนั้น และความจริงก็คือ ข้อเสนอเช่นว่านี้ ก็ยากที่จะกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ แบบจำแนกรายละเอียดเฉพาะกลุ่มได้
ถ้าถามว่า คณะบุคคล ซึ่งทำการยกร่าง ไม่รับฟังความคิดเห็นของประชาชน และไม่ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของประชาชนส่วนใหญ่หรือไม่ คำตอบก็คงชัดเจนอยู่ หรือมิใช่ ?
ผมไม่ได้ว่าอะไรครับ
ผมก็แค่ติดตามดูความเป็นไป พร้อม ๆ กับย้อนความเป็นมา ที่เคยมีมา
หลาย ๆ คน เชื่อว่า รัฐธรรมนูญ เป็น ยาวิเศษ แก้สารพัดโรคได้ โดยไม่ต้องเสีย 30 บาท เพื่อรักษาทุกโรค
หลาย ๆ คนเชื่อว่า รัฐธรรมนูญ เป็นคำตอบ สำหรับอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายเหลือเกิน
และเพราะเชื่อเช่นนั้น หลาย ๆ คน ก็เลยเห็นว่า จำเป็นต้องใส่ และใส่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อะไรที่นึกขึ้นมาได้ลงไปในนั้นทั้งหมด
โดยไม่ต้องดูว่า แต่ละส่วนที่ใส่ๆๆๆๆๆๆ ลงไป จะสัมพันธ์หรือขัดแย้งกันในองค์รวมของโครงสร้างอย่างใด
ผมไม่ได้ว่าอะไรครับ
ผมก็แค่ติดตามดูความเป็นไป พร้อม ๆ กับย้อนความเป็นมา ที่เคยมีมา
เหมือน ๆ กับห้วงเวลานี้ ที่มีกลุ่มบุคคล และคณะบุคคล ซึ่งอยู่ในเครื่องแบบ สีเหลือง และมี ชั้นยศ ตามลำดับ รวมไปถึงกลุ่มบุคคล และคณะบุคคล ซึ่งอ้างตัวเป็นกลุ่มผู้มีความศรัทธา และมีความเชื่ออย่างแรงกล้า
เป็นศาสนิกชนอันบริสุทธิ์ และมีสำนึกอันบริสุทธิ์
กำลังกระทำการ ที่ถูกเรียกว่า เพื่อปกป้อง ศรัทธา และ ความเชื่อ นั้น
กลุ่มบุคคล และคณะบุคคลที่ว่า เรียกร้องให้กำหนดข้อความ ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 2 ว่า....
ประเทศไทยมีศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติ
และอ้างว่า "ข้อเรียกร้องดังกล่าว ได้รวบรวมมาจากวงสัมมนาต่าง ๆ ที่เป็นความเห็นของประชาชนอย่างแท้จริง" และอ้างว่า "การเคลื่อนไหวเรียกร้องครั้งนี้ ไม่มีอะไรแอบแฝง เพราะพุทธศาสนิกชน ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าที่จะเห็นพุทธศาสนาเกิดความมั่นคง ยั่งยืนในประเทศไทย"
ผมไม่ได้ว่าอะไรครับ
ผมก็แค่ติดตามดูความเป็นไป พร้อม ๆ กับย้อนความเป็นมา ที่เคยมีมา
พุทธศาสนา ถูกนำเข้าจากอินเดีย ผ่านทางศรีลังกา และลงหลักปักฐานในดินแดนที่เรียกว่า สุวรรณภูมิ พุทธศาสนา เดินในแนวทาง มัชฌิมาปฏิปทา พุทธศาสนา มี ไตรลักษณ์ อันประกอบด้วย อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา พุทธศาสนา มี อริยะสัจสี่ อันประกอบด้วย ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค พุทธศาสนา อธิบาย แก่นแท้ของธรรม เพื่อหลุดพ้นสู่ นิพพาน และ "วัฏสงสาร" โดยการ ปล่อยวาง ไม่ยึดติดใน ตัวกู-ของกู และ พุทธศาสนา ก็มี แก่นแท้-แก่นธรรม ที่เป็นวิทยาศาสตร์ และอธิบายโดยสัมพันธ์กับธรรมชาติอีกมากมาย
ผมไม่ได้ว่าอะไรครับ
ผมก็แค่ติดตามดูความเป็นไป พร้อม ๆ กับย้อนความเป็นมา ที่เคยมีมา
ผมคิด เรื่อยเปื่อย-เลื่อนเปื้อน ไปว่า ประเทศไทย ยังมี สิ่งของ แบบไทยไทย อีกมากมายหลายประการ ที่อาจจำเป็นต้องนำมาบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิด ความมั่นคง และ ความยั่งยืน ต่อไป
เช่นว่า สาโท-อุ-กระแช่-น้ำตาลเมา ภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทย ก็น่าจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า เป็น เหล้าประจำชาติ เช่นว่า เบียร์ช้าง-เบียร์สิงห์ เบียร์ของไทย ก็น่าจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า เป็น เบียร์ประจำชาติ เช่นว่า นวดแผนไทย ก็น่าจะเขียนไว่ในรัฐธรรมนูญว่า นวดแผนไทยประจำชาติ เช่นว่า ควายไทย-ช้างไทย ก็น่าจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ควายประจำชาติ" และ "ช้างประจำชาติ
เช่นว่า ข้าวไทย ก็น่าจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ข้าวไทยประจำชาติ เช่นว่า สมุนไพรไทย ก็น่าจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า สมุนไพรไทยประจำชาติ เช่นว่า ผัดไทย ถึงจะใช่หรือไม่ใช่ของไทย แต่เมื่อเราไปยึดเอามาใช้เป็นชื่อไทยแล้ว ก็น่าจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญด้วยเช่นกันว่า ผัดไทยประจำชาติ
เช่นว่า ต้มยำกุ้งไทย ก็น่าจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ต้มยำกุ้งประจำชาติ เช่นว่า ชุดไทย ก็น่าจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ชุดไทยประจำชาติ เช่นว่า รำไทย ก็น่าจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า รำไทยประจำชาติ
เช่นว่า ลิเก-ลำตัด-เพลงฉ่อย-อีแซว-เพลงเกี่ยวข้าว และ ฯลฯ ที่บางส่วนของเป็นของเรา บางส่วนก็ไปหยิบยืมวัฒนธรรมของเพื่อนบ้านมา แต่ก็น่าจะเอามาเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญด้วยว่า เป็น ศิลปะพื้นบ้านประจำชาติ
เช่นว่า "หญิงไทย-ชายไทย-เด็กไทย" ก็น่าจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า "หญิงไทย-ชายไทย-เด็กไทยประจำชาติ"
และ ฯลฯ อีกมากมายหลายประการ ที่น่าจะเขียนไว้เสียเลยว่า เป็น ของประจำชาติ เพื่อความมั่นคงและยั่งยืนของชาติ ไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติหน้า และชาติต่อ ๆ ไป
และหากจะให้กินความได้ครอบคลุมครบถ้วน ก็ควรจะกำหนด พฤติกรรม ที่เป็น แบบไทยไทย ไว้เสียเลยในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เป็น ของประจำชาติ เช่นกัน
เช่นว่า ทุจริต-คอรัปชั่นแบบไทย ก็น่าจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ทุจริต-คอรัปชั่นประจำชาติ เช่นว่า ปฏิวัติ-รัฐประหารแบบไทย ก็น่าจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ปฏิวัติ-รัฐประหารประจำชาติ เช่นว่า ระบบราชการแบบไทย ที่เรากำลังจะย้อนไปในอย่างเต็มรูปแบบ ตามกลไกที่ออกแบบโครงสร้างไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็น่าจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ระบบราชการประจำชาติ
และ ฯลฯ อีกมากมายหลายประการ ที่น่าจะเขียนไว้เสียเลยว่า เป็น ของประจำชาติ เพื่อความมั่นคงและยั่งยืนของชาติ ไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติหน้า และชาติต่อ ๆ ไป
ผมไม่ได้ว่าอะไรครับ
ผมก็แค่ติดตามดูความเป็นไป พร้อม ๆ กับย้อนความเป็นมา ที่เคยมีมา
และก็บ่นเพ้อรำพึง แบบ เรื่อยเปื่อย-เลื่อนเปื้อน ไปเสียอีกแล้วครับ
ว่าแต่ว่า จะมีใครมาร่วมลงชื่อ เพื่อเสนอต่อ คณะบุคคล ที่ดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญ ให้บรรจุ สารพัดประจำชาติ ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไหมครับ ?
ถ้ามีความคิดเห็น ก็โปรดได้ร่วมกันลงชื่อ เพื่อเสนอความเห็นไปพร้อม ๆ กันเสียเลย
ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อ ความมั่นคง และ ความยั่งยืน ในระบอบประชาธิปไตย แบบไทยไทย ครับ
แหะ แหะ ขอรับ สวัสดีครับ
//......................................................๛
.................. หมายเหตุ : งานชิ้นนี้ เขียนลงไว้ ที่นี่ http://www.oknation.net/blog/naitiwa/2007/04/26/entry-1 ..................