ระเบิดหาดใหญ๋อีกแล้ว!!!!(ไอ้สาดดดด)
คืนวันที่ 27 พฤษภาคม 2550 เกิดเหตุระเบิดกลางเมืองหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาถึง 7 จุด บริเวณ ด้านหน้าโรงแรมหาดใหญ่การ์เด้น ,โรงแรมเจบี ,ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ,ห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส(สองครั้ง ในเวลาห่างกันประมาณ 1 ชั่วโมง) ,ด้านหน้าร้านนายหนัง ,หน้าร้านหมอยาเภสัช ,และหน้าร้านราดหน้าโกฉ่อน เบื้องต้นพบผู้บาดเจ็บ 13 ราย เป็นเหตุการณ์ระเบิดซึ่งห่างจากครั้งหลังสุดในเดือนกันยายนปีที่แล้ว 8 เดือน พอดี
ผมไม่นับเหตุการณ์ระเบิดคราวที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2548 ซึ่งในคราวนั้นมีผู้เสียชีวิต 2 ราย รวมถึงพ่อของน้องฮ่องเต้หรือน้องแทนรวมอยู่ด้วย แต่จะนับเอาเหตุการณ์ระเบิดในวันที่ 16 กันยายน ปีที่แล้ว กับเหตุการณ์ระเบิดในคราวนี้ ว่ามันมีนัยยะและความไม่ชอบมาพากลอะไรซุกซ่อนอยู่ มันมีอะไรที่ส่งกลิ่นไม่ดีซึ่งหากจะเข้าไปให้ถึง มัน ได้ เราก็ต้องปล่อยวางอารมณ์โกรธ เกลียด ชิงชัง โดยเฉพาะกับพวกก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ไปพอสมควร
ผมจะบอกว่า ถ้าเหตุการณ์ระเบิดหาดใหญ่มันเป็นฝีมือพวกก่อความไม่สงบอย่างที่หลายคนเข้าใจ มันก็ไม่เรื่องกังขาอันใดว่าพวกนี้เราไม่อาจใช้ไม้อ่อนต่อกัน(หรือต่อมัน)ได้อีก เพราะโรคความรุนแรงของมันกำลังกัดกินจนเกินขอบเขตที่คนดีๆ จะรับไหว แต่ถ้าผมให้สังเกตอีกอย่างหนึ่ง ว่าเหตุระเบิดคราวก่อนนี้ เกิดขึ้นในวันที่ 16 กันยายน 2549 หลังจากนั้น 2 วัน ก็เกิดการรัฐประหาร โดยมีเหตุระเบิดที่หาดใหญ่นี่เป็นเหตุผลหนึ่งของการรัฐประหาร ในอันที่ว่ารัฐบาลไม่สามารถควบคุมเหตุการณ์ความรุนแรงให้อยู่ในวงจำกัดได้
และสำหรับเหตุระเบิดในคืนวันที่ 27 นี้ เมื่อมองย้อนกลับไปในทางการเมือง หลังจากที่ 2 วันก่อนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ออกมาแสดงความกังวลพระทัยในการตัดสินคดียุบพรรค ซึ่งเป็นสัญญาณให้ศาลรัฐธรรมนูญต้องใคร่ครวญอย่างหนักกับผลการตัดสินคดี เพราะไม่ว่าจะเป็นพรรคไทยรักไทย หรือพรรคประชาธิปัตย์ ล้วนแต่เป็นขั้วอำนาจใหญ่ทางการเมืองด้วยกันทั้งสิ้น การตัดสินยุบพรรคใดพรรคหนึ่งหรือทั้งสองพรรค จะทำให้เกิดความระส่ำระสายทางการเมืองตามมาแน่นอน
ผมขอให้จับตาดูภายในสัปดาห์นี้ ทั้งเรื่องของการยุบพรรค การชุมนุม และการปฏิวัติซ้อน สิ่งเหล่านี้มีความเป็นไปได้ที่จะเกี่ยวโยงกับเหตุระเบิดกลางเมืองหาดใหญ่ ไม่น้อยหรืออาจจะเป็นไปได้มากกว่าจะเป็นฝีมือ โจรกระจอก เสียอีก ถ้าได้อ่านบทความในฉบับที่แล้ว เราก็ได้เตือนกันแล้วในเรื่องระเบิด ว่าท้ายสุดคนที่เดือดร้อนในการเมืองแบบนี้คือประชาชน แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะมาถี่ขนาดนี้ และถ้ามันจะทำกันอย่างนี้ ก็เห็นทีว่าดอกกุหลาบในเช้าวันที่ 20 กันยายน 2549 จะกลายเป็นดอกไม้ในมือมารเสียแล้วกระมัง
ให้ผมคิดเป็นอะไรอื่นไปไม่ได้หรอก บอกแล้วว่านี่คือเรื่องของการเชื่อมโยง หาดใหญ่เป็นเมืองเศรษฐกิจ เป็นหัวใจของภาคใต้ ผู้คนพลุกพล่าน พวกโจรในสามจังหวัดมันขี้ขลาดจะตาย มันถนัดซุ่มโจมตีในป่า และฝึกกันในป่า การปฏิบัติงานในเขตเมืองโดยเฉพาะการวางระเบิดนั้นต้องใช้หน่วยรบอีกแบบ นี่ขนาดว่าวิถีชีวิตของคนหาดใหญ่ได้เปลี่ยนไปพอสมควรแล้ว ผมเคยไปรับประทานอาหารกับบรรณาธิการท่านหนึ่ง ที่ห้างเทสโก้โลตัสหาดใหญ่ ก็เห็นว่าเขาตรวจรักษาความปลอดภัยกันเข้มแข็งในระดับหนึ่งทีเดียว ไหนจะเรื่องกล้องวงจรปิดที่ว่าจะนำมาติดตั้ง ตอนนี้ไม่รู้สำเร็จหรือคาราคาซังประการใด แต่ด้วยประการทั้งปวง มันน่าฉงนสนเท่ห์ และชวนให้สังเกตไปว่าไอ้พวกนี้ เป็นมืออาชีพ และมันต้องไอ้พวกเดียวกับที่ระเบิดในกรุงเทพฯนี่แหละ ที่ว่าโทษโจรใต้แล้วสุดท้ายกลายเป็นจับผิดตัว แล้วมันขอร้องให้คนที่ไปแสดงตนว่าเป็นคนในกล้องบอกว่าเข้าใจผิดว่าเป็นตัวเอง เพราะมันกลัวจะเสียหน้า และกลัวถูกสังคมจับผิด ผมทนไม่ไหวแล้ว เห็นคนไทยฆ่ากันเอง แล้วไปโทษว่าเป็นฝีมือโจรแขก ถ้าประเมินผิดก็ขอรับบาปแต่เพียงผู้เดียว แต่ถ้าใช่ไอ้พวกที่ว่ามา ขอสาปแช่งให้พวกมันลงนรก อย่าได้ผุดได้เกิด คนเขาเสียภาษีให้ฝึกรบป้องกันประเทศ นี่เอาความรู้เอายุทธวิธีมาเสวยสุขกัน มันใช้ได้ที่ไหน
ไม่ได้ว่าอย่างเฉพาะเจาะจงนะครับ มันเป็นไปได้ทั้งอำนาจเก่า อำนาจใหม่ อำนาจกะเลวกะราดทั้งหลายนี่แหละ ทำที่หาดใหญ่ อย่างน้อยมันคลุมเคลือ มันเบี่ยงเบนได้ง่าย เหมือนที่มันอาจทำอีกก็คงที่เชียงใหม่ เชื่อผมสิ มารูปแบบนี้เมืองหลัก เมืองรอง โดนตามๆ กันแน่ๆ
ประเทศไทยไม่รู้ทำกรรมอะไรไว้ คนไทยจึงซวยเช่นนี้ จำไว้นะครับ สิ่งใดที่เราทำให้คนในสังคมฉลาดขึ้นได้ จงทำ สิ่งใดที่ทำแล้วสามารถช่วยเหลือสังคมให้ดีขึ้นมาได้ จงทำ
อย่ายอมให้พี่น้องของเราต้องไปตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ของพวกแสวงหาบ้าอำนาจบนหลุมฝังศพ อย่าไปยอมพวกมันเด็ดขาด
สัปดาห์ที่แล้ว--"ความเชื่อมโยงเพื่อหามือวางวัตถุระเบิด"
มีข้อมูล(data) หลั่งไหลเข้ามาสู่การรับรู้ของเรามากมายในแต่ละวัน บางข้อมูลกระตุ้นให้เราตื่นตัว บางข้อมูลเรารู้ไว้เพื่อประดับสมอง บางข้อมูลเป็นขยะ และบางข้อมูลเป็นสิ่งลวง
แต่ข้อมูลทั้งหมดนี้เราทุกคนสามารถนำมา เชื่อมโยง กันได้ ตามประเด็นที่เราสนทนา และตามวุฒิภาวะของบุคคลนั้นๆ โดยนักเชื่อมโยงข้อมูลในสังคมไทยมีด้วยกันหลายระดับ ตั้งแต่ระดับฐานรากคือชาวบ้านที่พูดกันปากต่อปาก นักพยากรณ์ศาสตร์ ตำรวจ แพทย์ สื่อสารมวลชน และนักวิชาการ เป็นต้น
พื้นฐานของการเชื่อมโยงข้อมูลที่ดีจะต้องเริ่มจากการเป็นนักสืบที่ดีก่อน โดยการตั้งสมมติฐาน การกำหนดตัวแปร แล้วนำสิ่งต่างๆ ที่ได้รับมาบวกเข้ากับอุปนิสัยส่วนตัวของบุคคลที่เราต้องการคาดคะเนพฤติกรรม หรือจุดประสงค์ของการกระทำ
แต่พอจะสรุปง่ายๆ ได้ว่า การเชื่อมโยงข้อมูลจะเกิดขึ้นโดยใครก็ตาม สิ่งที่แตกต่างกันมีแค่ 2 เรื่องคือ เป็นการเชื่อมโยงโดยมีหลักฐาน หรือปราศจากหลักฐาน เท่านั้น
นักเชื่อมโยงข้อมูลที่ปราศจากหลักฐานจะเร็วและมีพลัง เนื่องจากสามารถกำหนดน้ำเสียง(tone) ของเรื่องที่เชื่อมโยงอย่างสำเร็จรูปออกมาได้ บ่อยครั้ง แม้ได้หลักฐานมาภายหลังว่าเป็นเรื่องที่เกิดจากการเชื่อมโยงข้อมูล มั่วซั่ว สังคมไทยก็มิได้สนใจ ทั้งนี้ เพราะเราเป็นสังคมที่ให้ความสำคัญกับ ปรากฏการณ์ มากกว่าสิ่งอื่นๆ
ตัวอย่างของปรากฏการณ์ที่เราเคยให้ความสำคัญ อาทิ การขับเคลื่อนของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ,การรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 ,เหตุการณ์ระเบิด 8 จุดในวันสิ้นปี 2549 ทั่วกรุงเทพมหานคร และรวมถึงเหตุการณ์ระเบิดหน้าโรงภาพยนตร์เมเจอร์รัชโยธิน-เหตุการณ์ระเบิดริมถนนราชวิถี..
ที่สำคัญ ใครจำเหตุการณ์ระเบิดหน้าบ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และเหตุการณ์คาร์บอม(ที่บางคนเรียกคาร์บ๊อง) ได้บ้าง ?
ระเบิดกันแหลกราญขนาดนี้ แต่ที่ผ่านมายังไม่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้จะๆ แม้แต่รายเดียว ขนาดเรื่องคาร์บอมยังเงียบสนิท เผลอๆ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(รอง ผอ.รมน.)หนึ่งในผู้ต้องสงสัยคดีบงการคาร์บอมคราวนั้น ก็กลับมาได้รับการแต่งตั้งจาก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(ผอ.รมน.)คนปัจจุบัน ให้ดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษา ผอ.รมน.เรียบร้อยแล้ว และจะทำงานกำกับดูแลในส่วนของปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้
ทีนี้ ต้องถามต่อไปว่า แล้วใครจำเหตุการณ์ในวันที่ 28 เมษายน เมื่อสามปีก่อนที่มัสยิดกรือเซะ กับความตาย 30 กว่าชีวิตบริเวณโดยรอบและในมัสยิดนั้นได้บ้าง
พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี คือผู้ได้รับฉายา แม็คอาเธอร์กรือเซะ จากคำสั่งยิงถล่มในวันนั้นนั่นเอง
ย้อนรอยเหตุการณ์หลายๆ เหตุการณ์ โดยเฉพาะเหตุการณ์ระเบิด ต่างกรรม ต่างวาระ กับเรื่องราวที่ค่อยๆ จางหายไปในความหลงลืมของคนไทย ก็เพราะว่าเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้เอง มีผู้แจ้งพบวัตถุระเบิดบนระเบียงห้องพักหมายเลข 1014 ชั้น 10 อาคารเดเวลลอปเมนทอล พาธ จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 53 ซึ่งวัตถุที่พบนั้นประกอบไปด้วย ระเบิดสังหารชนิดขว้าง 1 ลูก วัตถุระเบิดชนิดพาวเวอร์เจล 1 แท่ง เชื้อปะทุวัตถุระเบิดหรือฝักแค 4 แท่ง กระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 3 นัด ขนาด .9 ม.ม. จำนวน 3 นัด
ที่สำคัญ พบผ้าคาดศีรษะสีเขียว 2 ผืน สีเหลือง 2 ผืน มีข้อความว่า กู้ชาติ และผู้ที่เป็นคนเปิดเช่าห้องพักแห่งนี้คือ นายสมพงษ์ อินทร์งาม อายุ 25 ปี ซึ่งเป็นหลานชายของนายเพียร ยงหนู ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง ซึ่งเคยมีบทบาทอยู่ในกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และในช่วงของการชุมนุมนั้น นายสมพงษ์ หลานชาย เคยทำหน้าที่บอดี้การ์ดให้กับตัวของนายเพียรอีกด้วย
ถ้านายสมพงษ์ไม่หายตัวไปในเวลานี้ ถ้าเขาไม่ใช่คนที่ไปมีส่วนเป็นแนวร่วมในกลุ่มพันธมิตรฯ และถ้าเขาไม่ใช่คนใกล้ชิดของนายเพียร ยงหนู ข้อสันนิษฐานของตำรวจนครบาลอาจมุ่งประเด็นไปที่ว่านายสมพงษ์เป็นวัยรุ่นที่เกเรทั่วๆ ไป ที่มีระเบิดและอาวุธปืนไว้ในครอบครอง เพื่อป้องกันหรือห้ำหั่นกับกลุ่มคู่อริ
แต่เพราะนอกจากสถานภาพและบทบาทดังกล่าวมาข้างต้นของนายสมพงษ์แล้ว ต้องไม่ลืมว่าเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา นายเพียร ยงหนู เพิ่งไปยื่นหนังสือต่อ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) เพื่อเรียกร้องให้ปลด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
และเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม คณะของนายไชยวัฒน์ สินธุวงศ์ ประธานเครือข่ายสมัชชาประชาชนภาคอีสาน 19 จังหวัด ก็ได้ไปยื่นหนังสือขอปลดนายกรัฐมนตรีต่อประธาน คมช. เช่นกัน
หนึ่งในข้อเรียกร้องให้ปลด พล.อ.สุรยุทธ์ ออกจากตำแหน่งนายกฯ นั้น ก็คือ การปล่อยให้มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นที่ปากซอยราชวิถี 24 ใกล้กับพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ในวันที่ 5 พฤษภาคม
และ พล.อ.สนธิ ออกมารับหนังสือด้วยตัวเอง
เริ่มเห็นความหมายของการเชื่อมโยงแล้วหรือไม่ ?
แม้ว่า พล.อ.สนธิ จะออกมาแก้ต่างถึงเรื่องออกไปรับหนังสือในเวลาต่อมาว่าเนื่องจาก ผิดคิว และถูกหลอก แต่ร่ำลือกันว่า พล.อ.สนธิ กลับเชื่อสนิทใจว่าตัวเองเป็นอดีตทหารเอกมุสลิมสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช ที่กลับมากอบกู้บ้านเมืองในยามวิกฤติ ตามคำทำนายของโหรประจำ คมช. ซึ่งนอกจากโหรผู้นั้นจะทำนายเช่นนี้แล้ว เขายังมีคำทำนายต่อไปด้วยว่า นายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของไทยคือ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน!
ข้อนี้มันชวนให้ย้อนถึงภาพความสัมพันธ์ระหว่าง คมช. กับกลุ่มพันธมิตรฯ ในวันที่ สนธิ ลิ้มทองกุล เข้าไปเจรจากับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ในวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอยู่ ยิ่งนัก
ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบวัตถุระเบิดในห้องพักของหลายชายอดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ การที่พล.อ.สนธิ ออกมารับหนังสือขอถอดถอนนายกรัฐมนตรีด้วยตนเอง หรือการที่โหรทำนายว่าประธานคมช.จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 มันสามารถนำมาเชื่อมโยงกันได้ หรือจะไม่เชื่อมโยงกันก็ได้ ภายใต้ข้อมูลซึ่งเกิดขึ้นต่างสถานที่ ต่างเวลากัน
รู้ก็แต่เพียงไม่ว่าระเบิดแต่ละลูกจะเกิดจากเงื้อมมือกลุ่มอำนาจกลุ่มไหนก็ตาม แต่พวกเขาเป็นบุคคลที่อยู่เหนือกฎหมาย และวันดีคืนดี คนไทยที่เดินสัญจรตามท้องถนนก็อาจจะเจอพิษภัยทางการเมืองจนถึงแก่ชีวิตของตนเข้าให้แล้ว การเมืองยุคเผด็จการอันตรายด้วยประการฉะนี้
สุดท้าย ขอแถมด้วยประวัติของ อีดี้ อามิน อดีตประธานาธิบดีอูกานดา ที่มันมีบางอย่างละม้าย กับอะไรอีกหลายๆ อย่างในบ้านเรา(มั้ง)
--อีดี้ อามิน ดาดา โอมี--
แสงใช้เวลาเดินทางจากดาวดวงหนึ่งมาถึงดวงตาเรา บางที่นานยาวนับล้านปี ดังนั้นเราจึงอาจได้เห็นดวงดาวที่ระเบิดไปแล้วยังเด่นสกาวอยู่บนฟ้า ทั้งที่ภาพนั้นแค่ร่องรอยที่ส่องมาปรากฏบนตาเรา อีกหลายร้อยปีหลังจากนั้นหรอก ภาพหายนะจึงจะเดินทางมาถึง แต่เมื่อพ้นชั่วอายุคน มีแต่ดวงตาของลูกหลานที่จะได้เห็นหายนะนั้น
ในความเป็นมนุษย์ จะด้วยโชคดีหรือร้ายก็แล้วแต่ หากมีพลังอันหนึ่งซึ่งดำรงอยู่โดยตัวมันเองเหมือนโรคร้าย เกิดขึ้นบางครั้งในสถานที่เดียวกันแต่ต่างเวลา บางครั้งต่างทั้งเวลาและสถานที่ หากก็ต้องถือว่าเป็นโรคชนิดเดียวกัน นั่นคือ โครงสร้างแห่งสังคมรุนแรง ทั้งที่ประวัติศาสตร์เคยชี้ให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นและก่อผลลัพธ์เช่นไร แต่ถึงที่สุด มันก็ยังเกิดขึ้นใหม่ในสังคมทุกยุค-ทุกสถานที่เป็นวัฏจักร ตราบเท่าที่ประชาชนยังอ่อนแอ และมีคนใช้อาวุธรุนแรงเพื่อยึดอำนาจ
คราวนี้จะแนะนำให้รู้จักกับ อีดี้ อามิน อดีตประธานาธิบดีแห่งอูกานดา กาฬทวีปแอฟริกา
อีดี้ อามิน ดาดา โอมี เกิดในระหว่าง ค.ศ.1923 เขาเป็นลูกคนที่ 3 จากพี่น้องทั้งหมด 8 คน ภายหลังที่ครอบครัวมีปัญหา ผู้พ่อได้พออามินไปอยู่กับเขาในทางตอนใต้ของประเทศ และทั้งคู่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม
อีดี้ เรียนไม่เก่ง และรักความรุนแรง ดังนั้นเขาจึงเลือกจะเข้าโรงเรียนนายทหาร ซึ่งขณะนั้นประเทศอูกานดายังอยู่ภายใต้อาณานิคมของอังกฤษ เขาจึงอยู่ในสังกัดของทหารอังกฤษ และจากการที่เขามีความสามารถด้านการชกมวยเป็นพิเศษ จึงได้รับการสนับสนุนจากกองทัพจนกระทั่งได้เป็นแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวท
ต่อมาในปี 1962 อังกฤษได้ถอนกำลังออกจากอูกานดา และได้ประกาศให้เป็นประเทศเอกราช โดยมีนายกรัฐมนตรีคนแรกในประวัติศาสตร์คือ นาย มิลตัน โอโบต ซึ่งเป็นนักกฏหมายฝีมือดี และยังมีความรอบรู้ด้านรัฐศาสตร์อีกด้วย แต่มีจุดอ่อนอย่างสำคัญคือ เขาเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากชนเผ่าแลนจี ซึ่งถือว่าเป็นชนเผ่าที่เล็กมากในอูกานดา
ภูมิหลังจากชนเผ่าเล็กๆ ทำให้ประชากรจำนวน 24 ล้านคนของอูกานดาไม่ยอมรับนโยบายของนายกฯ ผู้นี้ จึงเกิดปัญหาในการดำเนินงานอยู่บ่อย ซึ่งต่อมาเขาพยายามหาวิธีแก้ไขปัญหานี้โดยการเชิญ กษัตริย์ เฟรดดี้ (Freddy King) แห่งบูกานดา ชนเผ่าที่ใหญ่ที่สุดขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก เพื่อเป็นกันชนระหว่างชนกลุ่มน้อย-ใหญ่ที่มีต่อเขา และคอยเชิดกษัตริย์ เฟรดดี้ไว้ในเบื้องหลัง ในขณะเดียวกันกับที่เขาต้องการลดบารมีของกษัตริย์ เฟรดดี้โดยการให้เขาเล่นการเมือง
จนปี 1966 มิลตัน โอโบต จึงได้เลือกเฟ้นขุนทหารที่เข้มแข็งพอจะมาเสริมเขี้ยวเล็บเขาให้ได้ อีดี้ อามิน จึงได้ใบเบิกทางเพื่อเข้าสู่เส้นทางในการเมืองจาก มิลตัน โอโบต ยกระดับจากนายสิบทหาร เลื่อนขึ้นมาเป็นทหารอารักขา
เริ่มงานแรก อีดี้ อามิน ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง โดยเขาได้ทำลายขวัญและกำลังใจของชาวบูกานดาด้วยการยิงถล่มพระราชวังของกษัตริย์ เฟรดดี้ จนข้าราชบริพารชาวบูกานดา ขวัญหนีดีฝ่อ ด้วยปืนกลหนัก ขนาด 122 มม. ซึ่งใช้ติดตั้งรถถัง แต่ขนส่งมาด้วยรถจี๊บ แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ชาวบูกานดาล้วนต่างขวัญหนีดีฝ่อ โดยเฉพาะกษัตริย์เฟรดดี้ ที่ลี้ภัยไปยังสหราชอาณาจักร และไม่ได้กลับประเทศอูกานดาอีกเลยจนสิ้นพระชนม์
การลี้ภัยไปของกษัตริย์ เฟรดดี้ นอกจากจะถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของอีดี้ อามิน แล้ว ยังส่งผลให้นายกรัฐมนตรี มิลตัน โอเบต อยู่ในตำแหน่งต่อมาได้ถึง 4 ปี
แต่แล้ว เดือนมกราคม 1971 หลังที่มิลตัน โอโบต ต้องเดินทางไปต่างประเทศเพื่อร่วมงานชุมนุมประเทศในเครือจักรภพอันเป็นเมืองขึ้นเก่าของอังกฤษ ในประเทศสิงห์โปร์ อีดี้ อามิน ก็ได้วางแผนสั่งปลดนายกรัฐมนตรีคนแรก ซึ่งเป็นนายเหนือหัวของเขาอย่างหน้าตาเฉย ทั้งยังไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวาง เนื่องจาก อี้ดี้ อามินระดมกำลังบุกยึดส่วนสำคัญต่างๆ เช่น การสื่อสารมวลชน กระทรวงกลาโหมและต่างประเทศ พร้อมกับสถาปนาตนเองให้นานาชาติรู้ว่า อูกานดา เปลี่ยนผู้นำคนใหม่แล้ว
ปรากฏการณ์ครั้งนั้นทำให้ มิลตัน โอโบต อดีตนายกรัฐมนตรีต้องกลืนเลือด เนื่องจากการกระทำของอีดี้ อามิน อดีตคนสนิทของเขาทำให้เขาต้องกลายเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี และอยู่ในสภาพที่ถูกเนรเทศโดยสมบูรณ์แบบ จึงเป็นความแค้นที่ฝังทรวงชั่วชีวิต
อีดี้ อามิน รับรู้ว่า แม้จะไม่มีผู้ใดขัดขวางเส้นทางการเมืองของเขา แต่ก็ใช่ว่าจะราบรื่นนัก เพราะอาจมีการรัฐประหารเงียบเกิดขึ้นก็ได้ จึงเริ่มต้นการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับชนเผ่าบูกานดาว่า ตัวเขาเองนับถือกษัตริย์เฟรดดี้ที่ต้องเนรเทศตนเองไปต่างแดนจนสิ้นพระชนม์(โดยลืมไปสนิทว่าตัวเขาเองคือคนที่ข่มขู่กษัตริย์ เฟรดดี้) แม้วันที่นำพระศพของกษัตริย์เฟรดดี้กลับมายังอูกานดา เขาก็ให้ความสะดวกในการขนพระศพกลับมา เพื่อเรียกคะแนนความชื่นชมกับชาวบูกานดา
ไม่เพียงเท่านั้น อีดี้ อามิน ยังมีคำสั่งให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองของอูกานดา ที่เคยตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับอดีตนายกรัฐมนตรี มิลตัน โอโบต เป็นจำนวนมากอีกด้วย
ภายหลังเข้ารับตำแหน่งเพียง 1 เดือน อีดี้ อามิน ก็เข้าปรับเปลี่ยนระบบกองทัพของอูกานดาเกือบทั้งหมด โดยพยายามวางรากฐานการพัฒนายุทโธปกรณ์ให้สมบูรณ์แบบ และเรียกผู้นำทหารระดับสูงเข้าประชุมในเรือนจำมาคินยี โดยอ้างประกาศว่าจะมีการเลือกเฟ้นเหล่าทหาร เพื่อจัดฟอร์มทีมเป็นรัฐบาลทหารที่เยี่ยมยุทธ แทนบรรดานักกฎหมายและนักการเมือง แต่แท้ที่จริงแล้ว ผลลัพธ์หลังจากนั้นก็คือการสังหารหมู่ทหารกลุ่มนี้ เนื่องจากความกังวลว่ามาจากชนเผ่าอื่นที่ไม่ภักดีกับเขา และภายหลังจากนั้น การสังหารโหดก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการสถาปนาคนเชื้อสายแค็กว่า เดียวกันกับเขา ไม่ว่าจะเป็นคนขับแท็กซี่ หรือคนล้างจาน ให้เป็นนายทหารระดับสูงเพื่อคุมกองทัพ
สิ่งบัดซบต่อมาของรัฐบาลอีดี้ อามิน ก็คือวิธีการหาเงิน ทั้งนี้เนื่องจากการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยและโดนคว่ำบาตรจากมิตรประเทศ ทำให้อีดี้ ผลิตเงินขึ้นมาใช้เองโดยไม่คำนึงถึงเงินตราสำรอง ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ(ขนมปังปอนด์ละ 35 ดอลล่าร์)คล้ายกับเยอรมันในยุคนาซี ในเดือนสิงหาคม ปี 1972 เขาได้มีนโยบายขับไล่ชาวเอเชียซึ่งส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าทั้งชาวอินเดีย จีน และไทย ออกจากประเทศภายใน 90 วัน พร้อมกับยึดเอาทรัพย์สินมาเสวยสุขสำราญได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
สิ่งเลวร้ายที่สุดในบรรดาวิธีการหาเงิน ก็คือการตั้งองค์กรสังหารหมู่(SRB) ขึ้นมา ภายใต้ชื่อองค์การสืบหาศพ เนื่องจากชาวอูกานดามีความเชื่อเรื่องการนำศพไปประกอบพิธี เพื่อมิให้วิญญาณหลงไปในอบายภูมิ โดยองค์กรนี้จะคิดค่าสืบหา 150 ปอนด์(ราวหนึ่งหมื่นบาท) ต่อศพ การทำงานในเวลากลางวันพวกเขาจะออกไปตระเวนหาคนเพื่อนำมาซุกซ่อน รอการสังหารในเวลาค่ำ และรอญาติจ้างสืบหา หากศพใดไม่มีญาติติดต่อก็จะโยนลงแม่น้ำไนท์เป็นอาหารอันโอชะของจระเข้ หากด้วยปริมาณศพไร้ญาติเพิ่มขึ้นทุกวัน ขนาดจระเข้ยังกินไม่ไหว ผลสุดท้ายศพเหล่านี้ก็ลอยไปกองกันอยู่ที่เขื่อนสร้างกระแสไฟฟ้า วันละไม่ต่ำกว่า 50 ศพ กลายเป็นปัญหาเรื่องการจ่ายกระแสไฟ
มีเรื่องที่เลวร้ายอีกมากอันเกิดจากการปกครองประเทศเพียง 8 ปี ของอีดี้ อามิน แม้กระทั่งการสั่งหั่นศพภรรยาตัวเอง แล้วให้ลูกสาวเข้าไปดูศพแม่ เพื่อไม่ให้ใครกล้าหักหลังเขา หรือแม้แต่การแช่ศีรษะมนุษย์ไว้ในช่องฟรีส หากอำนาจของ อีดี้ อามิน ก็ต้องสิ้นสุดลง เมื่อเขาวางท่าเป็นศัตรูกับแทนซาเนีย และส่งทหารไปตรึงกำลังที่ชายแดนโดยอ้างว่าถูกแทนซาเนียบุกและรุกเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน ทว่ารัฐบาลแทนซาเนียไม่นึกสนุกด้วย กลับไล่ตีตอบกลับมา และรุกเข้าไปจนถึงกรุงกัมปาลา เมืองหลวงของอูกานดา โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากประชาชนอูกานดา เสมือนไม่ใช่การบุกรุก และการรบครั้งนี้ก็มิได้ยากเย็นใดเลย เมื่อทหารของอีดี้ อามิน ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่ไม่ได้ถูกฝึกรบมาก่อน เหตุการณ์นี้ทำให้ อีดี้ อามิน ต้องลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศลิเบียร์ด้วยเครื่องบินส่วนตัว ก่อนที่จะอพยพต่อไปยังประเทศซาอุดิอาระเบีย และอยู่ที่นั่นจนวาระสุดท้าย เขาจากโลกนี้ไปด้วยโรคความดันโลหิตสูงและไตวายในปี 2003
สรุปแล้วภายใต้การปกครอง 8 ปี ของ อีดี้ อามิน มีประชาชนเสียชีวิตไปจากเงื้อมมือของเขากว่า 5 แสนคน กลายเป็นประวัติศาสตร์เผด็จการทหารที่โลกต้องจดบันทึก
มีเกร็ดย่อยเกี่ยวกับอีดี้ อามิน อีกมากที่ไม่ได้กล่าวถึง ทั้งในเรื่องความขัดแย้งกับอังกฤษ อิสราเอล และความสัมพันธ์กับโมฮัมหมัด กัดดาฟี ประธานาธิบดีลิเบีย แต่สำคัญกว่านั้น อยากให้มองไปที่ โครงสร้างของความรุนแรง ในแบบฉบับเผด็จการ โครงสร้างเรื่องราว ตัวละครของเรื่อง และเปรียบเทียบจุดเริ่ม จุดจบ อย่าลืมนะครับว่าบทบาทของเราในเรื่องนี้ คือ ประชาชน ซึ่งอาจเป็น 1 ใน 500,000 คน ที่จบชีวิตไปก็ได้