เรื่องสั้น ลาง

by เดอะแหลม @13 ก.ค.50 14.07 ( IP : 203...129 ) | Tags : กระดานข่าว

ลาง

มารุตหิ้วปิ่นโตเดินออกมาจากวัดด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มอิ่มบุญ  ต่างจากผมยังรู้สึกหนักหัวและไม่สดชื่นเอาเสียเลยอาจเป็นเพราะเมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อย ไหนจะฝันบ้าๆ บอๆ ตอนค่อนรุ่งอีก
“เตรียมตัวหรือยัง” มารุตถามขึ้น
“เตรียมตัวอะไร” ผมรู้สึกไม่เข้าใจในคำถามของเขา
“อ้าวก็มึงชวนกูไปหาปลาด้วยกันวันนี้นะสิ ทำเป็นลืม”
“เอ่อจริงสินะ กูลืมเสียสนิทใจ”

ผมเป็นคนชวนเขาแท้ๆ แต่ทำไมถึงคิดไม่ออก เหมือนหัวสมองของผมปราศจากความทรงจำไปเสียแล้ว มารุตขี่มอเตอร์ไซค์มารับหลังจากที่เรากินข้าวเช้าเสร็จ ผมเตรียมแหพร้อมข้องใส่ปลา มีกล่องข้าวเหนียวติดไปด้วย พร้อมขวดน้ำดื่มอีกสองขวด  จุดมุ่งหมายของพวกเราอยู่ที่สระกลางนาของพ่อ น้ำแห้งขอดทั้งๆ ที่เป็นปลายเดือนพฤษภาคมเป็นต้นของฤดูฝน ฝนเพียงตกปรอยๆ แล้วหอบเมฆผ่านหายไป สระน้ำที่ขุดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนจึงมีน้ำสีขุ่นเหมือนน้ำนมขังอยู่ไม่มาก

เมื่อไปถึงกระท่อมแดดเช้าก็ส่องสูงขึ้นร้อนผ่าวไม่ต่างจากความฝันเมื่อคืนที่ได้เดินอยู่ในทะเลทราย ความฝันหวนกลับมาเป็นห้วงๆ ให้ผมได้ย้อนคิดและทบทวน  เราวางสัมภาระไว้บนกระท่อม ถอดเสื้อใส่แต่กางเกงผ้าร่มตัวเดียว เดินไปเลือกมุมเหมาะขอบสระ วางข้องไว้ใกล้ๆ คลี่แหด้วยนิ้วมือเหวี่ยงสะบัดขึ้นบนบ่า นิ่งเงียบไม่ไหวติงดวงตาทอดมองบนผิวน้ำ หวังจะเห็นปลาสักตัวขึ้นมาฮุบเหยื่อ วินาทีแห่งการเฝ้ารอผ่านไปเรื่อยๆ  มารุตยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของสระ เขาก็ไม่ต่างกับผม คงเฝ้ารอ เมื่อเห็นน้ำเบื้องล่างแตกกระจายเท่านั้น ผมก็หว่านแหเป็นวงกลมกว้าง คลี่คลุมผืนน้ำทันที เสียงน้ำแตกตูมตะกั่วตีนแหยังไม่ทันจมน้ำดี มารุตก็หว่านแหของเขาลงน้ำเช่นเดียวกัน  ผมค่อยๆ เดินลุยโคลนลงไปรู้สึกฝ่าเท้าเย็นเยียบ แล้วมุดแผ่วหายลงไปใต้น้ำ มีเพียงประสาทสัมผัสทางกายเท่านั้นยังทำงานของมันได้ดี  ค่อยคลำกดตีนแหให้จมหายลงไปในโคลน

ผมโผล่ขึ้นมาเหนือผืนน้ำขุ่นข้น ไม่เห็นมารุตเขาคงดำดิ่งลงไปใต้น้ำเช่นเดียวกันกับผม เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เตียนเมฆ ดวงแดดยังคงฉายส่องความร้อนเผาผิวเนื้อของผมให้แสบร้อน ผมดำลงใต้น้ำอีก มือยังคงคลำไปทั่วบริเวณแห ดำดิ่งอยู่อย่างนั้นหลายครั้ง ใต้แหไม่มีปลาสักตัว มันหายไปไหนหมดนะ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ปลาดำผุดดำว่ายขึ้นเต็มผืนน้ำ วันนี้หาปลาสักตัวให้โผล่เหนือน่านน้ำยังไม่มี  ผมกับมารุตยังคงหว่านแหแบบสุ่มเดาลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า ผลที่ได้ไม่ต่างกันนัก แหปราศจากตัวปลา เราได้เพียงกิ่งไม้เล็กๆ สองสามกิ่งที่ติดอยู่ตามร่างแห  ดวงแดดลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ เงาของพวกเราหดสั้นลงมาทุกขณะแต่ดูเหมือนความร้อนทวีความรุนแรงขึ้น จนรู้สึกแสบแผ่นหลังและตามแขนเกรียมดำจนเห็นได้ชัด

เรายังไม่ละความพยายาม หว่านแหลงน้ำบ่อยครั้งขึ้น หวังว่าคงมีปลาสักตัวล่ะน่าที่จะติดร่างแหของพวกเราขึ้นมา จนกระทั่งเที่ยงวัน เรายังไม่ได้ปลากันสักตัว
“สงสัยวันนี้ลางไม่ดีว่ะพวก” มารุตตะโกนข้ามขอบสระ
“หว่านอีกคนละทีค่อยกลับก็แล้วกัน”

ผมตะโกนโต้ตอบกลับไป มารุตพยักหน้าแล้วหว่านแหลงน้ำก่อนผม  ผมขยับมายืนใกล้จอมปลวก เท้าเหยียบเหนือจอมปลวกเล็กๆ นั่น ค่อยหว่านแหลงไป  สายน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง ก่อนคืนสู่ปรกติ ผมไม่รีบร้อนนัก ยืนคอยสักพักใหญ่ๆ ค่อยดำดิ่งลงไป

มารุตเก็บแหขึ้นฝั่งแล้ว ใบหน้าของเขาไม่ได้บ่งบอกถึงความผิดหวังแม้แต่น้อย  อาจเป็นเพราะว่าเราเพียงต้องการทบทวนอดีตด้วยกันทั้งคู่ หลังจากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโรงงานในเมืองกรุงฯ อยู่หลายปี ทุกครั้งที่กลับบ้านเราจะชวนกันออกมาทบทวนอดีตเหมือนครั้งที่ยังเป็นเด็ก  ทว่าตอนนี้ใต้ร่างแหมีความเคลื่อนไหวแล้ว มันอาจเป็นปลาอะไรสักอย่างตัวใหญ่เท่าๆ ข้อแขน  ผมใช้มือกดเข้าใต้เหงือกของมันจนแน่น เมื่อพ้นตีนแหผมเหวี่ยงเจ้าปลาเคราะห์ร้ายขึ้นบนบก  เราต่างส่งยิ้มให้กันเป็นความหมายที่ว่าการมาครั้งนี้ไม่เสียเที่ยวเปล่า
ผมเอาแหมาตากที่กระท่อม  มองดูปลาช่อนอย่างพิเคราะห์และเห็นตาข้างขวาของมันบอดสนิท “ได้แค่ตัวเดียวแบ่งกันสองบ้านคงไม่พอกินหรอก” ผมเปรยขึ้น
“เอาไปต้มกับน้ำปลาร้าทำน้ำพริกก็ได้นี่ มึงหว่านได้ก็เอาไปเถอะ ส่วนกูจะไปหว่านในกะละมังแถวตลาดสักโล”
“แต่มันตาบอดน่าสงสารว่ะ กูว่าปล่อยมันไปดีกว่า”
“เอ่อ ก็แล้วแต่มึง  กูก็เห็นด้วย น่าสงสารมันเหมือนกัน”
ผมปล่อยปลากลับลงไปในน้ำอีกครั้ง และรู้สึกปวดหัวหนักยิ่งขึ้น  ผมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวตลอดเส้นทางกลับบ้าน


                                                  ลาง

ตกบ่ายอาการปวดหัวทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  ผมนอนหนาวคนเดียวภายในบ้าน แม่กับพ่อเข้าไปช่วยงานศพในหมู่บ้าน ส่วนน้องสาวคนเล็กไปโรงเรียน  เสียงจิ้งจกร้องขึ้นเป็นระยะจากทุกซอกมุมของตัวบ้านมันร้องขานรับกันอยู่อย่างนั้น  พอๆ กับความหนาวที่ทวีความหนาวยิ่งขึ้น จนกระทั่งตัวผมสั่นเทิ้มความรู้สึกไม่ต่างจากความฝันท่ามกลางทะเลทราย และเหมือนปลาช่อนตาเดียวตัวนั้นจ้องมองผมอยู่ ผมไม่มีแรงพอจะยันกายลุกขึ้นยืนเอาเสียเลย ความหนาวมันบีบคั้นไม่ให้ผมทำอะไรทั้งสิ้นนอกจากนอนรับชะตากรรม ได้แต่รอให้แม่กลับมา หรือไม่ก็ใครสักคนที่แวะผ่านเข้ามา  จนกระทั่งแม่กลับมาถึงบ้าน เห็นผมนอนหนาวสั่นเอามือขึ้นแตะหน้าผากผมเท่านั้นแหละใบหน้าของแม่ก็ซีดเผือด
“ตัวร้อนจี๋เลย ดีนะที่แม่กลับมาเอาของ ทำไมไม่บอกแม่ตั้งแต่เมื่อเช้า”
“คงไม่เป็นอะไรมากหรอกแม่ กินยาพาราเดี๋ยวก็หาย ช่วยหยิบผ้าห่มให้ผมด้วยสิครับหนาวพิลึก”
แม่สาละวนหายา หาน้ำมาให้ก่อน ค่อยขึ้นไปบนบ้านหยิบผ้าห่มนวมผืนใหญ่ลงมา ห่มให้
แต่ผ้าห่มไม่ได้ทำให้รู้สึกอุ่นขึ้นเลย ยังคงหนาวสั่นอยู่เช่นเคย แม่เอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตามเนื้อตัวให้อีกรอบ  “อีกสองวันก็จะบวชพระแล้ว ไม่รู้จะหายทันหรือเปล่า เฮ้อ…”
พอดีกับป้าบัวแวะผ่านเข้ามาในบ้านอีกคน
“อ้าวเป็นบ้าหรือไง นอนห่มผ้านวมตอนบ่าย คนอื่นเขาร้อนจะตายชักอยู่แล้ว”
“สงสัยมันจะเป็นไข้ ไปตากแดดหว่านแห มันไม่ชินก็อย่างนี้แหละ ผิวคนกรุงเทพฯ”
“มันจะหายทันบวชหรือเปล่าล่ะ อะไรก็เตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว กูว่าให้หมอมาฉีดยาให้มันสักเข็มคงหาย”
“หมอไหนล่ะ” “ก็หมอมิ่ง หมอยาประจำหมู่บ้านของเราไง ฉีดยาเข้าเส้นเก่งแท้ ไม่ต้องไปพึ่งหมอโรงพยาบาลให้ยุ่งยาก ใครเจ็บใครป่วยแถวบ้านก็พึ่งแกทั้งนั้น”
“ถ้ามันยังไม่หายสั่น หายหนาว ค่อยไปเรียกมาฉีดให้สักเข็มก็แล้วกัน”
  “ไปเรียกมาฉีดตอนนี้เลยจะดีกว่าจะได้หาย  กูจะผ่านหน้าบ้านแกพอดีเดี๋ยวจะเรียกให้”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ จะได้หายเร็วๆ ไปนอนเข้านาคที่วัดกับเพื่อนเสียคืนนี้”

ผมได้แต่รับฟังปล่อยให้คำพูดเหล่านั้นผ่านเลยไป เหมือนอาการปวดบังคับไม่ให้ผมครุ่นคิดอะไรได้มากนัก  รู้สึกดีขึ้นเมื่อกินยาเข้าไป อาการสั่นหนาวนั้นทุเลาลงไปบ้าง ผมเองก็อยากหายป่วยเร็วๆ เหมือนกัน ลางานได้แค่ 10 วัน บวชให้แม่สักอาทิตย์หนึ่งก็ยังดี  ก่อนพระเข้าพรรษาค่อยสิกขาลาเพศ กลับไปทำงานตามเดิม  หากมีเวลามากกว่านี้ผมก็อยากบวชเสียหนึ่งพรรษา หวังเพียงว่าหนึ่งอาทิตย์หากปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแม่คงได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ได้เช่นเดียวกัน ผมยังคงนอนขดตัวงออยู่ในบ้าน  รู้สึกง่วงนอน แต่ไม่กล้าหลับตาลง กลัวว่าความฝันเหล่านั้นจะมาเยือน  จนกระทั่งหมอยา ปั่นจักรยานเข้ามา ความง่วงก็แผ่วหายออกไป

หมอยาวางกล่องเครื่องมือไว้ใกล้ๆ ตัว หยิบเข็มฉีดยาพร้อมขวดยาขนาดเล็กขึ้นมา  ถอดหัวเข็มเก่าเอาไว้ในหลอดเล็กๆ เปลี่ยนเข็มที่ใหม่เอี่ยมในแผงขึ้นมาแทน  ผมได้แต่นอนมองดูหมอหยิบโน่นหยิบนี่แคล่วคล่อง เห็นหมอเสียบปลายเข็มคมลงไปในขวดยา แล้วดึงน้ำยาในขวดขึ้นมาจนเกลี้ยง หมอกดมือเบาๆ น้ำยาพุ่งออกมา ส่งยิ้มให้ผมพร้อมบอกให้นอนคว่ำหน้าลง  ผมเปลี่ยนเป็นนอนคว่ำ รู้สึกเย็นวูบที่ก้น ก่อนเปลี่ยนเป็นเจ็บแปล๊บยิ่งกว่ามดกัด หมอเก็บหลอดยาพร้อมอุปกรณ์เข้ากล่องสี่เหลี่ยมนั่น ส่งยิ้มให้กับแม่พร้อมกับทุกคนที่แวะมาดูอาการของผม

“ตอนเย็นก็วิ่งเตะบอลได้ปร๋อ ยาตัวนี้ฉีดได้ชะงักหายเป็นปลิดทิ้ง ดูอย่างอ้ายคงซี่ตอนเย็นป่วยยังกะจะลาตาย พอฉีดยาตัวนี้เข้าไปเท่านั้น ตอนเช้ามันไถ่ไร่ได้สบาย”  หมอยา บอกต่อทุกคนค่อยลุกออกไปจากบ้าน  ผมรู้สึกดีขึ้นเหมือนที่หมอยาบอก อาการปวดหัวเริ่มทุเลาเบาบางลงบ้าง รู้สึกร้อนไปทั้งตัวเหมือนมีก้อนถ่านไฟสุมอยู่ในอก  เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าและรู้สึกเหมือนทั้งตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ “ไม่เป็นไรแล้ว ยาของหมอนั่นดีแท้ ฉีดใครก็หาย ปวดเส้นปวดเอ็นก็ฉีดได้ ถ้าไม่หายหมอก็ให้ยาชุดแก้ปวดเอาไว้อีก เหงื่อออกอย่างนี้ไม่นานหรอก เดี๋ยวแม่ไปตลาดก่อนนะ จะไปซื้อชุดไตรจีวร พร้อมสังฆทานเตรียมเอาไว้ก่อน แม่จะบอกยายมานั่งเฝ้าเป็นเพื่อน”  ผมนอนอยู่คนเดียวอีกครั้ง อีกไม่นานหรอกผมจะหายปวดหัวเสียทีและอีกไม่กี่วันก็จะบวชพระให้แม่

                                                            ลาง
เหมือนความหนาวกลับมาเยือน มันหนาวยิ่งกว่าครั้งแรกเสียอีก อาการปวดหัวนั้นก็ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะคล้ายยาที่ฉีดเข้าไปนั้นไปเร่งความหนาวให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ผมหนาวสั่นเหมือนนอนอยู่ในห้องเย็น หนาวจนสุดจะทน มันเป็นความหนาวที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยเผชิญมาในชีวิต  ผมต้องบอกให้ยายไปหยิบผ้าห่มในตู้ มาห่มให้อีก  จากสองผืนเป็นสามผืน ความหนาวเหล่านั้นยังไม่ทุเลามันกลับแผ่ความหนาวซ่านขึ้นเรื่อยๆ เมื่อยายเห็นผมนอนสั่นกระตุก ฟันกระทบกันกึกๆ ใบหน้าซีดเหลือง พลอยทำให้ยายใจไม่ดีขึ้นมา รีบไปตามคนข้างบ้านมาดูอาการ เมื่อทุกคนเข้ามาต่างตกอกตกใจไม่แพ้กัน ร้องกันวุ่นวายไปหมด ผมเองก็พลอยตกใจตามไปด้วย บางคนร้องตะโกนให้ใครก็ได้ไปตามพ่อกับแม่ผม ให้หารถเตรียมส่งผมไปโรงพยาบาลในอำเภอซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปเดี๋ยวนี้
บางคนก็เอาขวดใส่น้ำอุ่นให้ผมนอนกอดเอาไว้ แต่ความหนาวนั้นไม่ได้ทุเลาลง มันเริ่มลามเลียขึ้นมาจากปลายเท้า และผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังไร้ความรู้สึกทางปลายเท้า ผมไม่อาจขยับมันได้ดังเดิม ความหนาวนั้นไล่กัดกินท่อนขาผมขึ้นมาเรื่อยๆ หนาวเสียดเข้าไปในกระดูก

มันไต่ขึ้นมาราวมือของพญามัจจุราช จนกระทั่งขึ้นมาถึงสะดือ มันไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ผมรู้สึกปลายนิ้วมือทั้งสองข้างตัวเองหยิกงอ พอๆ กับความหนาวที่แล่นผ่านขึ้นมาบนเนินอกใกล้ถึงบริเวณคอ  ลมหายใจผมติดขัดเข้าไปทุกที ยายนั่งน้ำตาไหลอยู่ข้างๆ ช่วยเอายาหม่องนวดฝ่ามือให้ ผมเห็นมารุตเพื่อนที่จะบวชพร้อมกันนั่งนวดฝ่ามืออีกข้าง เขาเฝ้ามองผมด้วยดวงตาแห่งมิตรภาพ แต่ผมไม่อาจจะคุยกับเขาได้ ความหนาวไต่ขึ้นมาเหนือริมฝีปาก ขึ้นไปบนจมูก และสองตา ไต่ขึ้นไปบนหน้าผาก และไปสิ้นสุดที่ปลายเส้นผม  ร่างทั้งร่างของผมแทบไม่มีความรู้สึกแล้ว

จากหนาวสุดขั้วหัวใจกลับกลายเป็นความชาด้านไปทั้งร่าง ผมรู้สึกลมหายใจติดขัดมากยิ่งขึ้น พยายามสูดเอาอากาศเฮือกแล้วเฮือกเล่า ดวงตาพร่าเลือนแทบมองไม่เห็นผู้คน ได้ยินเพียงแต่เสียงแว่วของคนร่ำไห้ ของคนยกร่างผมขึ้นนอนบนรถสามล้อ  ผมนอนอยู่เหนือตักของแม่  รู้สึกน้ำตาของแม่จะหยดลงบนหน้าของผม  ป้ากับน้านั่งกอดผมอยู่ด้านข้าง เอาผ้าห่มคลุมร่างให้ ดูเหมือนจะพยายามชวนผมคุยไม่ให้เผลอหลับไป แต่อาการง่วงนั้นบีบเปลือกตาของผมให้ปิดลง
“ผมจะได้บวชหรือเปล่าแม่”    เสียงของผมอ่อนล้าเต็มทน   “ได้บวช ลูกต้องได้บวช เชื่อแม่สิ  ขับเร็วๆ รถมันเร็วได้แค่นี้เรอะ” เสียงของแม่เกรี้ยวกราดในตอนท้าย และบีบกระชับมือผมแน่นยิ่งขึ้น ผมเผลอหลับไป ไม่ได้ยินเสียงของใครอีกแล้ว ไม่ได้ยินแม้เสียงลมที่พัดผ่านเข้ามา ไม่ได้ยินแม้เสียงร่ำไห้ระงมรอบข้าง
                                              ลาง
ผมเห็นทิวแถวของผู้คนเดินออกจากโรงพยาบาล ใบหน้าของพวกเขาปราศจากรอยยิ้ม เดินแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้  หญิงแก่ท้ายขบวนหันมากวักมือเรียกผมก่อนที่ร่างของนางจะผ่านพ้นประตูไป
“อ้าวพ่อหนุ่มยืนรออะไรกันมาสิเดี๋ยวไม่ทัน”
ผมหันกลับไปมองด้านหลังอีกครั้ง เห็นแม่ เห็นน้องสาวกอดร่างของใครสักคนที่คุ้นตาผมเหลือเกิน  พ่อกับญาตินั่งอยู่ใกล้ๆ หลายคนร่ำไห้ไม่ต่างกัน ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงพากันเสียใจขนาดนั้น ผมก้าวเดินไปตามหลังหญิงแก่คนนั้น  เมื่อเท้าอีกข้างพ้นประตูผมรู้สึกวูบแล้วดิ่งหายไป  ก่อนทุกอย่างจะดับสูญ ผมเห็นหน้าคนที่นอนอยู่บนเตียงนั่นชัดเจนเหลือเกิน!!!  นั่นมันใบหน้าของผมเอง………..

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แสงไฟสว่างจ้า ไม่เห็นใครสักคน ผมกำลังฝันไปหรือเปล่านะ……..

Comment #1
Posted @13 ก.ค.50 21.39 ip : 125...137

น่าจะห็นเลขสัก3ตัวมังนะ

Comment #2
วรภ วรภา (Not Member)
Posted @16 ก.ค.50 19.40 ip : 61...92

แหลม......พี่หามัทรานีได้แล้วนะ  ว่าแต่จะให้ส่งไปที่ไหนดีถ้าไงแจ้งในนี้ก็ได้  หรือถ้าไม่สะดวก  แบบว่ากลัวใครบางคนจะรู้ที่จับตัว  เอ๊ย..ที่ติดต่อ ก็เมล์ไปบอกพี่ที่soiprae9344@hotmail.comนะ  อ้อ  เมล์พี่น่ะอย่าเที่ยวบอกต่อสาวๆล่ะ  พี่เป็นโรคหัวใจ..... เออ...แล้วถ้าฝัน 3 ตัวเหมือนหมี่ว่า  บอกพี่ด้วย  จะทุ่มแทงเหมือนแทงหวย...บนดินยุคอำนาจเบ็ดเสร็จไง

Comment #3
เดอะแหลม (Not Member)
Posted @17 ก.ค.50 11.10 ip : 203...129

หวัดดีครับพี่หมี่(คนดังว่าที่ซีไรต์ อิอิ) ผมเองพยายามเขียนเรื่องสั้นในจังหวะที่แปลกๆ แต่ความพยายามนั้นยังไม่บรรลุเป้า ผมคิดว่าเรื่องสั้นนั้นต้องเป็นมากกว่า "การเล่าเรื่องธรรมดา" มันต้องมีบางอย่างที่มากว่านั้น ตั้งแต่โครงสร้างของเรื่องราว จนไปถึงสิ่งอันสอดแทรกระหว่างตัวอักษร  ความมีชีวิตชีวา ตัวอักษรที่มีชีวิตชีวานั้นช่างเป็นเรื่องยากยิ่งต่อการชุบมันขึ้นมาจากมันสมองน้อยๆ ของผม

แต่บางครั้งผมเองก็เคยตกอยู่ในอำนาจของมัน เอ่อ..มันเป็นอย่างงี้ครับ ผมตั้งใจจะเขียนไปตามที่วาดเอาไว้ในหัว แต่พอเขียนไปจริงๆ สักพัก มีอำนาจลึกลับบางอย่างในตัวเรา ผมขอเรียกมันว่าอำนาจแห่งวรรณกรรม ฮี่ๆๆ บังคับให้ผมเขียนไปอีกทิศทาง นิ้วมือผมสั่นไหวและไม่อาจบังคับมันได้  มันสั่งผมให้เขียนไปอีกทางจนกระทั่งจบ... ผมงี้งงเลย อยากให้อำนาจลึกลับนั้นมันอยู่กับผมนานๆ อยากให้มันสำแดงตนทุกครั้งที่หัวสมองผมตื้อ

ผมมีความสุขกับการได้ครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆ  ไม่ว่าเราทำอะไรอยู่ล้วนต้องเกี่ยวเนื่องกับศิลปะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  เฉกเช่นการนวดแป้งด้วยเมือเพื่อทำเส้นหมี่ อิอิ ผมชอบนะ ที่พี่เล่าถึงเรื่องราวการทำเส้นหมี่ ผู้คนในร้านหมี่ สาวสวย และการแย่งชิงเก้าอี้ตัวโปรด  จนไปถึงสิ่งแวดล้อมร้านหมี่ เสน่ห์บางอย่าง กรุ่นกลิ่นบางอย่าง เรารู้ว่ามันอยู่ใกล้ๆ ตัวเราเสมอ แม้ว่าคนบางคนอาจไม่พบเห็นมัน บางทีดวงตาของเขามองโลกอย่างเคยชิน

ผมคิดว่าจะเขียนสั้นๆ แต่พอเขียนไปเขียนมาดันหยุดไม่ได้แฮะ สงสัยอ้ายตัวลึกลับในสมองผม มันสำแดงตนอีกแล้ว ฮา

คารวะพี่วรภ วรภา หนึ่งไหเหล้าสาโท พ่อใหญ่คำผุยเคยกล่าวเอาไว้ว่า เหล้าสาโทเป็นยาพิษที่มีรสหวาน  มันหวานลิ้น กลิ่นหอมยิ่งกว่าสาววัย 17 ฮี่ๆๆ แต่ถ้าได้เมาเป็นลุกไม่ขึ้น ล้มพับ เหมือนขาเราไม่มีกระดูกให้ทรงตัว ผมเคยเมาหนักครั้งหนึ่ง...แล้วสร่างซา  แต่ทว่าเมาใจนี่ทุกค่ำคืน 555

ผมต้องขอบคุณพี่เป็นอย่างมาก ที่ค้นหาหนังสือมาให้ ส่วนที่อยู่นั้น ผมต้องใช้รหัสมอส (Morse Code)ในการเคาะบอกพิกัด ตำแหน่ง ที่ผมพักอาศัยอยู่ พี่จงหมุนคลื่นวิทยุ AM. และฟังคลื่นความถี่ จับสัญญาณ นำอักษรเหล่านั้นมาผสมกัน ครับ..นี่คือวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับการบอกที่อยู่ 555

แต่อย่างไรผมก็จะปิดปากเงียบเรื่องอีแมว เอ๊ย อีเมล์ ของพี่แน่นอน สาบานด้วยกฎลูกเสือสามข้อเลยครับ มันจะเป็นความลับสุดยอด

ผมคิดว่าสำหรับการขอบคุณน้ำใจพี่นั้น ผมจะหาสาวสวยๆ ผู้มีสะโพกสวยราวการเยื้องย่างของม้าสาว  ผมจะค้นหาสาวผู้รู้ศาสตร์แห่งการบำเรอ  เพื่อเป็นการสัมนาคุณ ผมจะส่งเจ้าแมลงวันสเปน และแมลงวันซูดานไปให้อีก 10 เม็ด  ได้ข่าวว่ามันแรงนัก กินเข้าไปเพียงเม็ดเดียวสู้ศึกได้ไม่หวั่นพ่าย พร้อมคู่มือ หงส์ร่อนมังกรจีนอีก 1 เล่ม  เอ๊าเดี๋ยวหาว่าใจแคบ แถม กามสูตรอีก 1 เล่มเลย  555


ผมจะติดต่อพี่ไปทางเมล์นะครับ
สุดท้ายนี้ขอให้พุงพี่พุ้ยอย่างมีราศรี

Comment #4
วรภ วรภา (Not Member)
Posted @21 ก.ค.50 0.17 ip : 61...121

แหลม  พี่เพิ่งกลับจากสงขลาวันนี้จึงเพิ่งได้เข้ามาดู แล้วจะจัดส่งไปให้ อ้อ...แมงวันอะไรนั่นไม่ต้องหาให้พี่หรอก  ขอเปลี่ยนอ้ายอย่างที่ 'ลด'น่ะมีไหม...หุหุ....แหมพี่ละเบื่ออาการปึ๋งจริง...มีมะเอามาลดพลังหน่อย

แสดงความคิดเห็น

« 1430
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง

งานเขียนของข้าพเจ้า

personมุมสมาชิก

Last 10 Member Post

Web Statistics : online 0 member(s) of 46 user(s)

User count is 2419593 person(s) and 10095831 hit(s) since 6 พ.ย. 2567 , Total 550 member(s).