คือ ฉัน ...... คือ วิถีงาน แห่ง คำ .........
ก้มหน้าทำงานอย่างเงียบเงียบ
ในห้องหับเรียบเชียบยามเช้าฉาน
พิงพนักเก้าอี้เปื้อนเหงื่องาน
ใจเบิกบานซ่านสุขทุกนาที
คำต่อคำฉ่ำฝันบรรเจิดจ้า
ถ้อยต่อถ้อยล้ำค่าแจงวิถี
รอยต่อรอยร้อยเรียงเสียงกวี
จากขวบปีล่วงบททศวรรษ
เรื่องต่อเรื่องเรียงรอยเป็นร้อยเรื่อง
ผ่านช่วงก้าวแค้นเคืองและอึดอัด
ผ่านปัญหาสะสางระหว่างบรรทัด
ผ่านมาตรวัดประเมินค่าสาธารณชน
ลึกลงไปในคำมีน้ำตา
สะท้อนห้วงเวลาจากแห่งหน
ฝากเรื่องราวเล่าขานผ่านกมล
จากเปลวไฟร้อนรนแห่งชีวิต
อดกลั้นสู้ทนกับทุกก้าว
บางครั้งร้าวอ้อนไหวในดวงจิต
ฝ่าคมหนามนอกสวนแห่งมวลมิตร
ฝ่าจริตคนชังไม่หวังดี
โดยถ้อยคำยังคงดำรงภักดิ์
เหนือความรักความสุขในทุกที่
เหนือความชังอันคมกล้าประดามี
จำหลักลงในวิถีอันเนิ่นนาน
สื่อสะท้อนห้วงใจในมนุษย์
มีทั้งใสพิสุทธิ์และอ่อนหวาน
มีทั้งความชั่วช้าแลสามานย์
อันดักดานอยู่ในใต้โคลนตม
สะท้อนโลกสารัตถะแต่ละด้าน
ทั้งฉ่ำหวานขื่นทุกข์และสุขสม
ทั้งแข็งแกร่งแรงกล้าน่าชื่นชม
ทั้งอ่อนแอเศร้าซมรั้งเวทนา
เขียนโลกและเขียนมนุษย์
เขียนความฝันพิสุทธิ์ในห้วงแสวงหา
ปลดปล่อยจินตนาการสู่ลานฟ้า
แลดำดิ่งลงมหาอเวจี
เสียดเย้ยไยไพ ? จิตใจคน ...
สร้างเหตุก่อผลไปทุกที่
ปลุกปลอบใจขื่นชื่นอีกที
โดยการเขียนความดีด้วยชีวิต
จากแสงงามยามเช้าถึงเงาบ่าย
การเดินทางแห่งความหมายคอยลิขิต
จากบ่ายคล้อยถึงค่ำอันมืดมิด
บานความคิดยิ่งใหญ่ปิดไม่ลง
นั่งก็คิดนอนก็ฝันไม่รู้จบ
ฝุ่นในหัวยังตลบด้วยเศษผง
จิตยังจมในถ้อยย้ำแห่งจำนง
ตื่นอีกวันก็ยังคงนั่งเขียนงาน
จากขวบปีจารจดสู่ทศวรรษ
เนิ่นวิถีที่ยื่นหยัดและสืบสาน
กี่แดดฉายสายฝนที่พ้นกาล
กี่ตำนานบทเรียนได้เขียนมา
ผละเก้าอี้เปื้อนเหงื่ออันงดงาม
ผละโมงยามแห่งฝันที่ฟันฝ่า
ทรุดตัวล้มลงนอนผ่อนเปลือกตา
ผละห้วงแห่งมายาสู่สามัญ
โดยคำ ลานเทวา และ ช้องนาง
ครับผม