ร่ายคำ งำเมือง .... ( ถึงปัจจุบันบท )
( ๑ )
... ร่ายคำ งำเมือง ...
กระแสสร้างทางลวงห้วงกระแส
โลกรึแปรไปตามความประสงค์
ชั่วอัปรีย์ใดค้ำการดำรง
ผิดเผ่าพงษ์วงศาอนาจาร
วจีเภทเศษซากในฟากฝัน
ไหวชีวันจำเรียงแค่เพียงผ่าน
ใครสิหวนซาบซึ้งคำนึงกาล
เขาสราญสาธกดั่งพกลม
ผิดแต่ผู้กรำกร้านในการก่อ
ผิดแต่หน่อแต่เชื้ออันเรื้อข่ม
เขามากอบโกยไปใครสิจม
ทุรคมดักดานมิบานเบา
ผู้บำเทิงเริงจิตกลับผิดผู้
ประหนึ่งกูต้องทนในหนเก่า
อยู่แต่เถื่อนระทมพนมเนาว์
ประดุจเงาไร้ค่าคนวาโมร
แถนผีเมืองเรืองงามอร่ามแสง
บัดถึงช่วงแสดงมาแต่งโขน
เข้ามากรานกราบซึ้งถึงทะโมน
บดคราบโจรในซากด้วยปากดี
เอยกู
บัดสิกู่ร่ายคำโยงย้ำที่
ปรารถนาแห่งหนอันคนมี
มาแต่เมืองชีวีอันโสมม
สรดื่นดาษยลคนขยะ
สรณะแห่งเงินตราสิมาถม
พักตร์ผันแปรแลไปกระไรชม
ยลมิต่างอาจมแล้วชีวิต
นับประสาอะไรใจมนุษย์
น้ำเงินยุดศรีศักดิ์ให้รักผิด
สำนึกใดไหนย้อนสะท้อนคิด
วิปริตในหนพ้นษมา
เมืองจึ่งรุ่มในร้อนสะท้อนเรื่อง
มรรคาเนื่องล้นหลากมากปัญหา
ใครสิปลดไหลหลงในศงกา
เปลี่ยนหางมาเปลี่ยนหัวไปรึใช่ที
ศฐเย่อกำแหงมาแต่งฤกษ์
โจราเบิกม่านฟ้าสร้างราศี
คนพึลึกฤาตรึกย้ำพระคำภีร์
คนอัปรีย์จึงรวมมาอาสานำ
จนอาเพศประเทศชาติอนาถจิต
ชั่วสถิตแต่หนคนใจต่ำ
ต่างสิกอบโกงโกยอยู่โดยกรรม
ผิดในธรรมอันแจ้งแสดงนัย
จึงกำพรืดมืดบอดตลอดย่าน
ชั่วสันดานต่างชิงความยิ่งใหญ่
บโทนแห่งทุรชนลี้พลไป
หวังแต่ชัยชำนะอันระราน
กูสิบนข้าวผีตีข้าวพระ
วิสาสะแห่งมนต์ไหววนผ่าน
เสียงสาปแช่งแรงร้อนสะท้อนกาล
จารึกวารจัญไรใครอัปรีย์
วิสารส่งแต่คำอันล้ำเลิศ
จริงมิเกิดอันใดในวิถี
ยังแต่ลวงเล่ห์ร้อยถ้อยวลี
อันอ้างมีนโยบายมาขายคำ
กี่สมัยในหนพะพ้นผ่าน
แลกี่กาลใจปลื้มไปดื่มด่ำ
เห็นแต่หนทนทุกข์คลุกระกำ
เขายังนำเภทภัยมาให้ทน
นายเอย
ข้าไม่เคยได้ยิ้มอิ่มสักหน
กับคำถ้อยร้อยร่ายดั่งสายมนต์
ประชาชนที่เห็นนั้นเช่นกัน
( ๒ )
...วิบัติยุค ...
เฝ้ายลแลเบื้องสมัยจัญไรยุค
พะวงปลุกใจอิงเพียงสิ่งสรรค์
เจ้านายเงินผู้เปี่ยมค่าเหนือสามัญ
ขนประชันทุนสร้างบนทางทุน
ผิดแต่ผู้ดักดานบนลานทุกข์
หวังถึงสุขเอื้ออิงพอพิงอุ่น
หวังดื่มด่ำกำซาบกราบการุณย์
หวังสิพึ่งใบบุญพาชีวิต
กลับถูกเมินเผินมองครรลองนั้น
กลับถูกหยันในหนดังคนผิด
เพียงปลายตาชม้อยแม้นน้อยนิด
รึหวังคิดเหลียวมาว่ากระไร
ล่วงผ่านยุคสมัยกาลอันนานเนิ่น
บางส่วนเกินบ่งนามทรามสมัย
บางส่วนขาดข่มแคลนข้นแค้นใจ
หวังแค่เอื้อมรึไกลมิต่างกัน
พาชีพย้ำดำรงคล้ายหลงยุค
คำปลอบปลุกในทางมิต่างฝัน
ให้ต่างพบสบทั่วชั่วนิรันดร์
ดังยืนยันโลกเห็นเป็นอยู่คือ
กระแสสร้างทางใจไหวกระแส
กระสันแปรกำหนดเป็นบทสื่อ
เปลี่ยวตัณหาล้ำลึกที่ฝึกปรือ
ก็ฝากชื่อเอาไว้ให้คนทัก
เปลี่ยนจากยุคสู่ยุคผู้ปลุกปั้น
กระแสฝันผูกประเด็นไว้เป็นหลัก
กี่หนกาลผ่านพะวงดังหลงรัก
ผู้จมปลักแร้นแค้นในแผ่นดิน
จากหนึ่งผู้นิยามความมืดบอด
เข้าสืบทอดถ้วนย่านแลฐานถิ่น
ประโคมหวังประทังหนพรางมลทิน
ก็มอบภักดิ์ชีวินให้เขาแล้ว
ปรากฏแห่งความชอบผู้กอบกู้
ชื่นเชิดชูเชื้อผ่องดังก่องแก้ว
กรรมใดตกปกปิดสนิทแนว
แต่งฝันแพรวพรางฟ้าในคราคราว
ต่างแค่มามองเห็นความเป็นอยู่
สิหวังผู้ใดเอื้อเป็นเชื้อกล่าว
สิหวังใครปลดเปลื้องในเรื่องราว
อันรานร้าวชีวิตสถิตทน
เถอะไอ้นายผู้รวยร่ำ
นายหว่านคำประทังเพียงหวังผล
กี่สมัยที่สดับยังอับจน
เพราะนายย่ำหัวคนอยู่เนิ่นมา
บัดนั้นฤาบัดนี้
กระฎมพีชนชั้นอันไร้ค่า
สิหวังใดแท้มั่นในมรรคา
คอยแต่กลืนน้ำตาอุราร้าว
ความหมายแห่งคุณค่ากะลาครอบ
จึงลวงย้ำคำตอบมาเกริ่นกล่าว
คำนึงใดไหวเปลื้องในเรื่องราว
แลร้อนหนาวแผ่นดินอย่างชินชา
จากนาแต่นายังปลาอยู่
สิจากอู่แรมรอนหาบคอนหา
ข่าวแต่เบื้องแต่บทอันจดพา
บ่เห็นข่าวชีวาผู้แร้นแค้น
สบแต่ทรามแผ่นดินมิสิ้นสุด
ดังเสื่อมทรุดธานีมนต์ผีแถน
อัจนาเซ่นสรวงทุกห้วงแดน
หวังคลายแคลนคับข้องหม่นหมองใจ
สิเชิญเทพใดทรงเป็นองค์เอก
ยลตามเลขตามลักษณ์แทบตักษัย
แลสับสนเทพมารบนบานใคร
แลจัญไรมิต่างในร่างทรง
หวังสิลืมตาอ้าปาก
ความลำบากอันใดสิไสส่ง
หวังอยู่ดีกินดีที่ดำรง
กลับต้องปลงใจวางอยู่ปางตาย
( ๓ )
กาลีกินเมือง
ดังไม่เห็นถูกผิดผู้คิดคด
อาดูรในปรากฏแห่งความหมาย
อติสารแผ่นดินถวิลวาย
กับวิโยคสุดท้ายกระไรพอ
อัปการแห่งยุคสมัยย้ำ
อัปยศในกรรมอันเกิดก่อ
อัปลักษณ์กินเมืองขุ่นเคืองรอ
อัปรีย์กาลผ่านส่อสร้างอัปรีย์
สวะชนวนเวียนชวนเหียนราก
รวมชั่วสมใจอยากนอมินี่
ครกกะเบือเสื่อสาดเป็นชาติพลี
สว้านลมชีวีประเทศไทย
กาลีชนดลทรามลามกระแส
ชั่วดีแปรโดยวาจาอันสาไถย
พานิยมสรรเสริญกันเพลินใจ
อุบาทว์ใดอุบัติย้ำธรรมดา
ไอราพตปลดระวางอยู่กลางห้วง
ลมปาดหาวกร้าวช่วงแสวงหา
แลตรีโลกโศกช้ำไร้ธรรมา
อวิชชาโลดแล่นทั่วแผ่นดิน
วิปลาปลวงซึ้งไปถึงค่า
เชื้อโจราก็น้อมรับซึ่งทรัพย์สิน
เพรียกเปรตปอบนอบทรามตระกรามกิน
ใครจักสิ้นศรัทธาช่างหน้ามัน
ปฏิฆะแห่งชนมิยลรู้
พรรคพ้องกูจักใหญ่ใครฤากั้น
เร่งหมายลุอำนาจเข้าฟาดฟัน
ฉิบหายกันอีกคราประชาไทย
( ๔ )
... ทรามสมัย ...
สรรพสิ่งเคลื่อนคล้อยในรอยเก่า
ตัณหาเฝ้าแต่งค่าความสาไถย
กิเลสแฝงเงาทั่วห้องหัวใจ
ความเป็นไปจึงเสกสรรค์ชั่วบรรลือ
วิญญูชนจอมปลอมพร้อมกลับกลอก
ภาพผู้ดีลวงหลอกให้นับถือ
สามัญชนเติบสร้างมิต่างกระบือ
เป็นอยู่คือดักดานกับกาลกรรม
ทุรยุคทุรชนล้นอำนาจ
สร้างอุบาทว์เริงสมัยดึงใจต่ำ
กลับทุกสิ่งเรื่องราวขาวเป็นดำ
คนระยำคุมครรลองครองธานี
ความดีงามเคยแจ่มชัดก็บัดบง
เปลื้องใจลงเสพกากเดนซากผี
รากแผ่นดินดูดซับความอัปรีย์
คุณความดีสูญสลายพ่ายเงินทอง
ไม่มีแล้วคุณความดีแห่งชีวิต
สิ้นแล้วซึ่งความคิดอันผุดผ่อง
เขามาซื้อถือทรัพย์เข้าจับจอง
หนครรลองอันควรก็ปรวนแปร
อัปภาคย์แห่งหนมิพ้นพ่าย
กระแสทรามลามร่ายสายกระแส
สิ้นสูญพันธุ์คนดีที่เหลียวแล
หมองหม่นแดดวงร้าวหนาวแผ่นดิน
( ๕ )
... ทรยุค ข้าวยากหมากแพง ...
ลำพองแห่งทุรชนเข้าปล้นปั้น
ข้ามขื่อแปเปลี่ยนปันไปถ้วนถิ่น
เหิมผูกขาดชนระยำเข้าทำกิน
อำนวยทรัพย์รับสินแต่พวกพ้อง
เอยกู
บัดเหลียวดูแผ่นดินช้ำระกำหมอง
จากงามแสนแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง
บัดสิ้นหนครรลองอันตระการ
ข้าวยากหมากแพง
แลไอ้นายสิ้นแรงจักคิดอ่าน
ที่จนย่ำไร้หลักยิ่งดักดาน
ที่เบิกบานอยู่สบายคือนายทุน
ไอ้นายทุนผู้สมคบ
นักการเมืองขี้ประจบหวังเงินหนุน
ปวงประชาพึ่งใดหนอใบบุญ
หวังเทวาการุณย์ก็อ่อนล้า
จะบัดนี้บัดนั้นฤาบัดไหน
ความเป็นไปแห่งชนยลไร้ค่า
มีสิทธิ์เสียงเพียงเปลือกเลือกตั้งพา
ระบบประชาธิปไตยเพื่อใครกัน
เพื่อนายเงินนายทุนหนุนระบบ
หรือเพื่อเดนกากซากศพแห่งความฝัน
เพื่อสัตว์สภาโสมมผสมพันธุ์
หรือเพื่อผองชีวันผู้ทุกข์ทน
กี่คำถามสิ้นไร้ในคำตอบ
กี่ความชอบไม่แจ้งแสดงผล
ทรยุคมารผยองลำพองตน
เหยียบย่ำหัวประชาชนสุขสบาย
กระดูกหมูซี่โครงไก่
เขาโยนให้คาบเชื้อบุญเหลือหลาย
ยังชี้ชอบดีงามตามจ้าวนาย
เขากินเนื้อเหลือเศษคายก็คว้ากิน
เป็นบุญแล้วไอ้นายเอย
เอ็งเสวยเนื้อหนั่นควันกรุ่นกลิ่น
บอกประชาเอาบุญให้คุ้นชิน
ซี่โครงไก่ผูกลิ้นประทังไว้
โดยคำ ลานเทวา