The Writer .. or .. The Thinker
...
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมเคยไปโพสต์กระทู้บ่นเชิงอัดอั้น ไว้ที่บอร์ดของพี่หมี่เป็ด กวีซีไรท์ผู้เปรียบเสมือนครูในงานเขียนของผม ว่าด้วยเรื่องผมจะจัดการเยี่ยงไร กับตัวเองดีเมื่อผมเขียนเรื่องไม่ออก
มันดูจะเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับคนที่คิดจะตะเกียกตะกายไต่ทางฝันไปสู่การ เป็นนักเขียน และดูจะเป็นเรื่องที่ซิมพิฟลายมาก ๆ สำหรับนักเขียนบางคนเช่นกัน มันจะไปยากอะไรฟะ ! แค่ปล่อยจินตนาการให้ทำหน้าที่ของมันไป แล้วเราทำ หน้าที่จดบันทึกเสมือนหนึ่งเลขานุการ ที่คอยจดบันทึกการประชุม ไม่ว่ามันจะเป็น การประชุมที่ราบรื่นเหมือนการอนุมัติสร้างรถไฟฟ้า 5 สาย 8 สี หรือจะดุเดือดเลือด พล่านเหมือนการประชุม อบต. แถว ๆ จังหวัดหนองคายที่ผู้ร่วมประชุมลาก .38 มายัดลูกตะกั่วใส่กบาลท่านประธานในที่ประชุม ก็เป็นเรื่องของมัน
... การเขียนเรื่องไม่ออก ในความคิดของผม มันกลับเหมือนถูกตีตรวนล่ามข้อเท้า !!!
ผมจะทำอะไรก็ไม่ถนัด แม้แต่เรื่องที่ผมต้องกระทำทุกวันอย่างล้างจาน ทำกับข้าว ผมจะใจลอยซะจนบีบน้ำยาล้างจานไปครึ่งขวด เอาฝอยเหล็กไปขัดกระทะเทฟล่อน ( แน่นอน .. กระทะเทฟล่อนจะพังยับเยินมุ่นอุ้ยปุ้ย ชนิดที่จะเอามาทอดเบค่อนอีกไม่ได้ และผมจะต้องถูกเมียก่นด่าว่าทำเครื่องครัวที่เธอเป็นคนซื้อ แต่ไม่เคยใช้มันแม้แต่สักครั้ง เดียวเสียหาย ) ผมจะป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ขนาดที่เอากระชายมาซอยเป็นชิ้นถี่ยิบ แล้วเอามัน ไปโรยหน้าโจ๊กไก่ แทนที่จะใช้ขิงซอย
( แน่นอน .. ผมต้องถูกเมียด่าอีกตามเคย แม้ว่าผมจะแก้ตัวไปข้าง ๆ คู ๆ ว่ากระชาย และขิงนั้นเป็นพืชตระกูลเดียวกัน และการใช้กระชายโรยหน้าโจ๊กไก่แทนขิงเป็น อิมมิเทชั่นอย่างหนึ่งที่นิยมทำกันในงานฟิวส์ชั่นฟู๊ด )
มันเป็นการถูกพันธนาการทางความคิดประการหนึ่ง ไม่ว่าเราจะเหลียวซ้ายแลขวา ก้มหน้าหันหลัง เราจะคิดถึงแต่เรื่องที่เราเขียนเรื่องไม่ออก เราจะพยายามรีดเค้น มันสมองภายใต้กระโหลกหนา ๆ ของเราให้คิดพล๊อตเรื่องอันยอดเยี่ยม คาแรคเตอร์ ตัวละครที่น่าสนใจ ปมและประเด็นความขัดแย้งระหว่างการดำเนินเรื่อง การพาท่าน ผู้อ่านเข้าสู่จุดไคลแม็กซ์ หรือแม้แต่การปิดท้ายแบบไม่ปิดกั้นความคิด .. นั่นแน่ะ !!!
ความลำเค็ญของคนที่เขียนเรื่องไม่ออก คือการที่เราไม่สามารถร้อยเรียงกระบวนการ ที่กล่าวมาแล้วเข้าด้วยกันเสมือนการร้อยสายสร้อยสวมคอ ถ้าสายสร้อยเส้นหนึ่งเปรียบ เสมือนเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง พล๊อตเรื่องก็เหมือนกับสายเอ็นที่เป็นแกนกลาง ลูกปัดแต่ละเม็ด เสมือนการดำเนินเรื่อง ขั้วข้อต่อที่ปลายสายสร้อยก็เสมือนการเปิดและการปิดเรื่อง
จี้เทอร์คอยส์เม็ดใหญ่ใสสีฟ้าเม็ดนั้น ก็เสมือนตัวละครหลักที่ลอยเด่นเป็นสง่าที่กลางสายสร้อย ...
ปัญหามันอยู่ที่ .. เราจะร้อยเรียงทุกสิ่งทุอย่างที่ว่ามายังไง ให้ออกมาเป็นสายสร้อยสวย ๆ สักเส้นหนึ่ง
...
ผมเองก็นั่งนึกมโนภาพไม่ออกว่า ตอนที่พี่หมี่เป็ดอ่านกระทู้นั้นของผมแล้วพี่หมี่แกจะทำหน้ายังไง แต่คำตอบที่พี่หมี่ให้กับผมในวันนั้น สำคัญกับชีวิตการเป็นนักพยายามเขียนของผมมาจนทุกวันนี้
" คิดให้เยอะ ๆ "
ราวกับสายฟ้าฟาด ที่คาดลำแสงกราดเกรี้ยวพาดผ่านผืนเมฆทะมึนดำ และขู่คำรามก้องกึกเข้า ไปในสองหู ผมชาดิกไปทั้งตัวจนแทบจะล้มคว่ำใส่คีย์บอร์ดหน้าจอคอมพิวเตอร์
ใช่สิ .. คิดให้เยอะ ๆ คิดให้ลึก ๆ คิดให้กว้าง ๆ คิดเรื่องอะไรก็ช่าง แต่จดจ่อกับมันเถอะ คิดแล้ว คิดอีก อย่าละทิ้งปมปัญหาที่คาใจ ตั้งคำถามกับมัน แล้วลองหาคำตอบ เสียงก๊อกแก๊กดังมาจากนอก รั้วบ้าน เป็นคนที่เดินมาเก็บขยะหาของเก่า ผมนั่งจ้องมองอยู่พักหนึ่งจนเขาเดินไปลับสายตา ผมคิด คิดถึงแต่เรื่องของชายคนนั้น ในหัวผมเห็นแต่ภาพชายคนนั้น ผมครุ่นคิดแต่เรื่องของ ชายคนนั้น คนเก็บขยะหาของเก่าคนหนึ่ง ..
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป เรื่องราวของคนเก็บขยะหาของเก่าคนหนึ่ง กลายมาเป็นเรื่องสั้น "เพื่อนตาย" เป็นหนึ่งในเรื่องสั้นที่ผมภาคภูมิใจที่สุด ไม่ใช่ในแง่ที่เป็นเรื่องสั้นที่ถูกตอบรับในโลกไซเบอร์ หรือการที่มันได้ถูกตีพิมพ์ลงในนิตยสาร แต่มันเป็นเรื่องสั้นที่เกิดจากกระบวนการคิดอย่างหนักหน่วง และการตั้งคำถามถึงสภาพความเป็นไปของสังคมเมืองต่างหาก
คำตอบสั้น ๆ ของพี่หมี่เป็ดในวันนั้น สร้างกระบวนการเรียบเรียงทางความคิดให้กับนักพยายามจะเขียน
อย่างผม และวางแนวทางที่ชัดแจ้งให้ผมเดินทางบนถนนนักเขียนมาจนทุกวันนี้อย่างมั่นใจ ช่วงหลัง ๆ
ผมมีงานเขียนออกมาไม่มาก บางเรื่องก็ยังติดนิสัยเดิม ๆ ที่ไม่ชอบเขียนอะไรยาว ๆ แต่กลับไปเน้นที่
จุดโฟกัสของเรื่อง และผมยังคงชอบที่จะให้ความชัดเจนในงานเขียนของผมประดุจดั่งรอยแผลดาบ
ที่พาดอยู่ที่ข้างแก้ม
และผมไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด ที่พี่หมี่เป็ดได้รางวัลซีไรท์ เพราะสิ่งที่เป็นซิมพิฟลายมาก ๆ ของพี่
นั่นเอง
" คิดให้เยอะ ๆ "
ขอบพระคุณมากครับพี่ ...