" ค่าของเงิน “ [ The Story ]

by จสอ.โจ @10 มี.ค.51 13.33 ( IP : 203...164 ) | Tags : กระดานข่าว

...

บนผืนผ้าพลาสติกซึ่งมีลายสีฟ้าสลับขาวผืนเก่าผืนนั้น มีสิ่งของหลายอย่างวางเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ ใยลูกบวบสีเหลืองนวลสวยสำหรับใช้ขัดผิวกายยามอาบน้ำ ขมิ้นชันทั้งอย่างเป็นหัวและชนิดที่ถูกป่นเป็นผงละเอียด ลูกขนุนขนาดเท่ากำปั้นที่ถูกเผาจนกลายเป็นก้อนถ่านสีดำสนิทสำหรับใช้ดูดซับกลิ่นในตู้เย็น เม็ดกระบกคั่วเกลือ แชมพูสมุนไพรที่แปะป้ายยี่ห้อของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกร ข้าวของกระจุกกระจิกอีกหลายอย่างไปจนถึงหัวว่านรูปร่างหน้าตาแปลก ๆ ที่บางหัวเริ่มแตกหน่ออ่อน ๆ ออกมาบ้างแล้ว

ผืนผ้าพลาสติกถูกวางชิดริมขอบด้านหนึ่งของสะพานลอยคนเดินข้ามทางรถไฟ หน้าตลาดใหม่ดอนเมือง ในยามเช้าของวันทำงานอันรีบเร่งในสังคมเมืองหลวงที่เหล่าผู้คนถูกฉุดลากไปกับกระแสบริโภคนิยมราวกับถูกสนตะพายด้วยภาระค่าครองชีพและเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือที่ใช้เทคโนโลยี G3 ซึ่งยังไม่อาจรองรับการทำงานของระบบนี้ในเมืองไทย แต่ด้วยอานุภาพของการสื่อสารมวลชน และแผนการตลาดอันชาญฉลาดของคนเพียงไม่กี่คน กลับร่ายมนต์สะกดให้คนกว่าค่อนประเทศนี้ยอมลดตัวลงเป็นทาสอย่างภาคภูมิใจ และพร้อมถวายเม็ดเงินด้วยความเริงร่าใส่พานให้กับท่านเจ้าของสัมปทานเหล่านั้น โดยลืมนึกถึงความเป็นจริงบางอย่างว่าคลื่นความถี่ที่ใช้ในการสื่อสารกันนั้นเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ และเจ้าของที่แท้จริงนั้นก็คือเหล่าทาสทั้งมวลนั่นเอง

ภาพของเหล่าทาสทางสังคมบริโภคนิยมที่กรูเกียวกันออกไปทำงานหาเงินราวกับฝูงมดงานอันสัตย์ซื่อแลดูวุ่นวายสับสน ผู้คนมากมายก้าวย่างกระฉับกระเฉงเดินทางผ่านสะพานลอยคนข้ามถนน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ถูกขับเคลื่อนด้วยเหตุผลของแต่ละคน ในความไหวเคลื่อนบนสะพานลอยนั้นกลับมีบางสิ่งที่ดูเหมือนจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ สิ่งที่ว่าก็คือ ยายกลอย หลานชายวัย 4 ขวบของแก และข้าวของที่ถูกจัดเรียงเป็นระเบียบบนผ้าพลาสติกผืนเก่าผืนนั้น

...

นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาดูโลกสีครามใบนี้ เราแต่ละคนก็ดูเสมือนถูกโชคชะตากำหนดมาให้ต้องทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดแตกต่างกันไป สำหรับบางคนแล้วชีวิตช่างรื่นรมย์ราวถูกสวรรค์เชิญให้มาเกิดเป็นมนุษย์ผู้อยู่ไกลห่างจากความยากแค้น แต่สำหรับบางคนมันกลับเป็นการลงทัณฑ์ของนรกให้ต้องเผชิญหน้ากับวิบากกรรมสารพัดรูปแบบ เมื่อการเดินทางของกาลเวลาพาให้ชีวิตผ่านพ้นไปกว่าคึ่งค่อนคนอย่างยายกลอย การทำใจยอมรับและมองสิ่งที่ได้รับอย่างเข้าใจดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ยายกลอยเป็นคนอำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก พื้นที่ที่ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลสำหรับการเดินทาง แต่กลับดูราวถูกแบ่งแยกเป็นหลายร้อยโยชน์สำหรับชีวิตยายกลอย แม้ความยากจนข้นแค้นจะเป็นสมบัติที่ติดตัวยายกลอยมาแต่กำเนิด ก็ใช่ว่าจะมีแต่แกคนเดียวซะเมื่อไหร่ที่ยากจนโดยสัญชาติ ผู้คนในประเทศนี้กว่า 70 เปอร์เซนต์ก็ไม่ได้มีฐานะดีไปกว่าแกสักเท่าไหร่หรอก อย่างน้อยที่สุดชีวิตของยายกลอยก็ดูจะมีปัจจัยพื้นฐานของการเป็นเกษตรกรที่ดีอย่างยิ่งก็คือแกมีที่ดินเป็นของตัวเอง ไม่ต้องไปเช่าที่ทำนาเหมือนหลาย ๆ คนในอำเภอ สามีของยายกลอยเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว เป็นการตายที่ดูเป็นธรรมชาติอย่างยิ่งของคนทำนาคือ งูเห่ากัดตาย แม้จะเคียดแค้นงูเห่าตัวนั้นเสียเต็มประดาจนแกอยากจะออกไปล่ามันมาสับให้ป่น ผัดพริกไทยอ่อนกินเสียให้หายแค้น แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปช่วงหนึ่งยายกลอยก็มองสิ่งที่ผ่านมาอย่างเข้าใจ ทำนาก็ต้องปล่อยน้ำเข้าที่นา น้ำมาปลาช่อนก็มาตามน้ำ ปลาช่อนมางูเห่าก็ตามมากินปลาช่อนอีกที สามีแกดันไปเหยียบมันเอง มันดูจะเป็นแนวความคิดแบบตรรกในระบบโดมิโน่เหมือนกับนิทานโบราณที่แม่ของยายกลอยเคยเล่าให้ฟังก่อนนอนเมื่อตอนแกยังเยาว์วัย

“ ยายกับตา ปลูกถั่วปลูกงา ให้หลานเฝ้า หลานไม่เฝ้า อีกามากินถั่ว กินงา ของตากับยาย ยายมา ยายด่า ตามา ตาตี

หลานร้องไห้ ไปหานายพราน ให้ไปยิงอีกา ที่มากินถั่วกินงา ของตากับยาย ... “

ไอ้ท่อนที่เหลือยายกลอยก็จำไม่ค่อยได้แล้วแหละ แต่ที่พอจะนึกได้ก็คือมีสารพัดสัตว์เข้ามาเกี่ยวข้องกับนิทานเรื่องนี้ จากไอ้นี่ก็ไปไอ้โน่น วนเวียนกันไปอยู่นั่นแหละ รู้สึกตอนหลัง ๆ หนูจะไปแทะสายธนูของนายพรานหรืออะไรนี่แหละ ไอ้มูลเหตุที่แกจำไม่ได้นอกจากเรื่องมันจะนมนานมาแล้วก็เพราะแกมักจะหลับไปคาตักมีของแกเสมอก่อนที่จะได้ฟังตอนจบของนิทาน

สิ่งที่ยังคงหลงเหลือหลังการจากไปของสามียายกลอย คือลูกสาวคนเดียวของแก ความจำเป็นของการต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปผลักดันให้ยายกลอยต้องยืนหยัดต่อสู้ เมื่อรายได้จากการทำนาไม่เพียงพอยายกลอยก็ต้องหันมาค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ประกอบกันไปด้วย จวบจนลูกสาวของแกเรียนชั้นมัธยมและผจญความยากแค้น ประกอบกับเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงการสร้างนิคมอุตสาหกรรมย่านนวนครซึ่งห่างจากอำเภอบ้านนาไม่ไกล ไม่นานหลังจากนั้นยายกลอยก็เดินทางกลับจากการไปขายของที่ตลาดมาพบกับความว่างเปล่าของบ้าน และจดหมายสั้น ๆ ที่กรีดใจคนเป็นแม่อย่างยายกลอยจนแหว่งวิ่นว่าหนูจะไปหางานทำ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง !

...

หลายปีผ่านไปกับการมีชีวิตอยู่อย่างเดี่ยวโดด และความหวังว่าจะได้ข่าวคราวจากลูกสาวคนเดียวของแกสักครั้ง เป็นเสมือนหนึ่งน้ำมันเครื่องที่หล่อเลี้ยงชีวิตของยายกลอยให้ดำเนินต่อไป ความปิติยินดีก็เดินทางมาถึงที่หน้าบ้านของแกในวันหนึ่ง ที่ลูกสาวของแกถลากลับมาสู่อ้อมกอด และถ้อยคำพร่ำพรรณาในความคิดถึงแม่บังเกิดเกล้าไม่หยุดปาก ก่อนจะบอกแกให้รู้จักเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง

“ แม่ .. หนูฝากลูกด้วยนะ “

ราวกับผึ้งทั้งฝูงบินเข้าไปทำรังอยู่ในหัวของยายกลอย มันมีแต่เสียงอื้ออึงดังสับสนไปหมดทั้งมโนสำนึก ลูกสาวคนเดียวของแกไปมีความสัมพันธ์กับชายหนุ่มที่พบเจอกันในโรงงานย่านนวนคร จนมีลูกชายคนหนึ่ง แต่แล้วเขาก็ไปติดพันหญิงคนอื่นอีกจนมีปัญหาต้องแยกทาง ความปิติที่เพิ่งจะเดินทางมาหาแกเมื่อครู่ดูเหมือนจะกางปีกบินหนีไปเหมือนอีกาที่โฉบลงมากินถั่วกินงาของตากับยาย แต่สิ่งมีชีวิตที่ถูกเรียกว่าลูกมนุษย์กลับมีแรงดึงดูดบางประการที่ไม่น่าเชื่อ ชั่วเวลาไม่เกิน 5 นาทีหลังจากที่ได้สบตากันในครั้งแรก เด็กน้อยก็เดินเอาคางมาเกยตักยายและจ้องมองด้วยแววตาใสโตราวเม็ดลำไยก่อนจะเอ่ยประโยคแรกที่มัดใจยายกลอยไปตลอดชีวิต

“ ยาย .. กินหนมอ่ะ “

เท่านั้นแหละ ยายกลอยก็ก้มตัวลงช้อนร่างหลานขึ้นมากอดแนบอก ก่อนจะพาเดินไปซื้อขนมที่ร้านขายของชำใกล้ ๆ บ้าน

...

ในขณะที่ทุกสิ่งรอบกายดูจะเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา แต่เหล่าสินค้าบนผ้าพลาสติกผืนเก่าของยายกลอยกลับหยุดนิ่งอยู่กับที่เหมือนกับหลานชายตัวน้อยที่ขดกายหลับไหลอยู่บนตัก ไอ้หนูมันคงเหนื่ออ่อนกับการเดินทางเมื่อช่วงเช้ามืดตอนที่ยายกลอยแกหอบหิ้วข้าวของที่เป็นสินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ามาวางขายบนสะพานลอยคนเดินข้ามถนนในเมืองหลวง ความหวังที่จะมีเงินไปซื้อนม ซื้อขนมให้หลานตัวน้อยเคลือบคลุมอย่างเบาบางอยู่บนสินค้าทุกชิ้นของแกเหมือนกับเสียงพูดที่แผ่วเบาของลูกสาว

“ แล้วหนูจะส่งเงินกลับมาให้แม่นะ .. “

มันดูเสมือนการฝากความหวังไว้กับคนโน้น คนนี้ที่จะไปช่วยตามถั่วตามงาของยายกับตาที่ถูกอีกาโฉบลงมาจิกกิน ยายกลอยกลับเลือกที่จะยืนหยัดด้วยตัวของตัวเองอย่างแข็งกร้าว แม้ความหวังถึงชีวิตที่ดีขึ้นจะดูเลือนราง แต่ตราบใดที่ยังมองเห็นมันอยู่ยายกลอยก็จะเดินเข้าไปหามัน รอยยิ้มน้อย ๆจากเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่ขดกายอยู่บนตักยังสร้างความหวังให้ยายกลอยอยู่เสมอ ในขณะที่ยายกลอยทอดสายตาไปตามรางรถไฟสายเหนือที่อยู่เบื้องล่าง เงาร่างสูงโปร่งในชุดยูนิฟอร์มสีกรมท่าก็ย่อกายลงตรงเบื้องหน้า

“ ใยบวบนี่ขายยังไงล่ะยาย ? “

ยายกลอยดึงสายตากลับมา หญิงสาวคนนั้นกำลังหยิบใยบวบสีเหลืองนวลพลิกดูไปมาอย่างสนใจ รองเท้าหนังคัทชูสีดำเงาวับตัดกับผิวเนื้อเนียนละเอียด ผมยาวเหยียดตรงสลวยและเป็นมันเงาภายใต้เครื่องแบบที่ดูภูมิฐานบ่งบอกถึงฐานะทางสังคมที่ดูห่างกันลิบลับกับผ้าถุงลายดอกและเสื้อย้อมครามของยายกลอย แต่ในแววตาดำขลับดวงนั้นกลับฉุดรั้งให้ยายกลอยคิดถึงลูกสาวของแกขึ้นมาจับใจ

“ อันละยี่สิบจ๊ะ .. ยายปลูกเองที่หลังบ้าน อาบน้ำอาบท่าแล้วขัดตัวด้วยใยบวบเนี่ย ผิวใสเลยนะจ๊ะลองเอาไปใช้ดูสิ “

หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะส่งใยบวบอันนั้นให้ยายกลอยใส่ถุง ระหว่างนั้นเธอเหลือบแลไปตามสินค้าของยายกลอย ก่อนจะเอ่ยถาม

“ ผงเหลือง ๆ นี่อะไรจ๊ะยาย ? “

“ ขมิ้นชันป่นจ๊ะ ใส่แกงไก่ผัดหน่อไม้ก็อร่อย ไม่ก็ละลายน้ำกับดินสอพองนี่ ทาหน้าก่อนนอนรักษาสิวฝ้าหน้าใสเลยทีเดียวแหละ ดินสอพองนี่ของลพบุรีแท้เลยนะจ๊ะ ถุงละ 5 บาทเอง “

หญิงสาวพยักหน้า ก่อนจะส่งถุงขมิ้นชันป่นกับดินสอพองส่งให้ยายกลอย ก่อนจะเปิดกระเป๋าสะพายแล้วหยิบกระเป๋าธนบัตรออกมาเลือกหยิบธนบัตรใบละห้าร้อยบาทใหม่เอี่ยมออกมาส่งให้

“ ไม่มีแบงค์ย่อยเหรอหนู ตั้งแต่เช้ามายายเพิ่งขายได้นี่แหละ ยายไม่มีตังค์ทอนหรอกจ๊ะ “

หญิงสาวขมวดคิ้วเรียวงามเล็กน้อย สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเธอการจับจ่ายใช้สอยด้วยเงินกระดาษดูจะเป็นเรื่องที่ซิมพิฟลายอย่างยิ่งกับชีวิตสังคมเมือง แบงค์ห้าร้อยใบหนึ่งดูจะมีค่าเท่ากับพิซซ่าสองถาด ที่ถึงแม้จะได้เศษเหรียญทอนมาสองเหรียญก็ไม่ได้มีค่าอันใดหนักหนากับชีวิต แต่เมื่อเธอมองดูหญิงชราที่นั่งอยู่ติดขอบทางเดินบนสะพานลอยเบื้องหน้า และรอยยิ้มน้อย ๆ ในวงหน้าหลับไหลของเด็กผู้ชายคนนั้น ทำให้เธอยอมรับการร้องขอของยายกลอยด้วยการรับธนบัตรห้าร้อยบาทใบนั้นกลับคืนมา ก่อนจะยัดมัยลงไปในกระเป๋าอย่างลวก ๆ ก่อนจะพลิกซ้ายพลิกขวาหาเศษแบงค์ย่อยใบละยี่สิบบาทสองใบที่นอนขดตัวยับย่นอยู่ใต้กระเป๋าใบหรูของเธอส่งให้

ยายกลอยรับเงินมาเก็บ ก่อนที่จะพลิกหาเศษเหรียญสิบบาทเพื่อทอนให้กับเธอ แต่เมื่อยายกลอยเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเหรียญห้าบาทหนึ่งเหรียญและเหรียญหนึ่งบาทอีกห้าเหรียญ หญิงสาวคนนั้นก็ออกเดินไปจากผืนผ้าพลาสติกสีฟ้าสลับขาวของแกไปไกลเสียแล้ว

...

หญิงสาวก้าวลงจากรถเมล์ปรับอากาศในยามที่พระอาทิตย์กำลังจะจูบลาขอบฟ้า ร่องรอยบางประการของการถูกเฆี่ยนตีในฐานะมนุษย์เงินเดือนยังถูกปกคลุมอย่างมิดชิดภายใต้เครื่องแบบสีกรมท่า มันเป็นการเดินทางกลับบ้านเพื่อเลียบาดแผลจากการต่อสู้เพื่อที่จะได้มีเรี่ยวแรงออกมาเผชิญหน้ากับมันอีกในวันรุ่งขึ้น แม้จะยอมรับในชะตากรรมที่ถูกขีดกำหนดมาให้ชีวิตของเธอเป็นเช่นนั้น แต่เธอก็อดหงุดหงิดใจกับเรื่องเล็กน้อยในวันนี้อย่างเสียมิได้ เงินในกระเป๋าธนบัตรของเธอหายไปไหนใบหนึ่ง แม้ว่ามันจะเป็นเงินเพียงห้าร้อยบาทที่มีค่าเพียงพิซซ่าสองถาด แต่การล่องหนหายไปโดยไม่รู้ที่ไปที่มาก็มักจะสร้างความคิดย้ำซ้ำซ้อนอยู่ดี แต่เธอก็ตัดสินใจว่าจะลืมเลือนมันโดยเร็ว ไม่ว่ามันจะไปตกไปหล่นอยู่ตรงไหนก็ตามที อย่าว่าแต่แบงค์ห้าร้อยเลย แค่เหรียญสิบบาทตกจากกระเป๋าตรงหน้าแล้วคว้าไม่ทัน ถ้ามีใครสักคนเก็บมันขึ้นมา เธอยังไม่ยากจะแยแสเข้าไปทวงถามคืน

ขณะที่ก้าวสุดท้ายของการเดินลงจากบันไดสะพานลอยคนข้ามถนน มีใครสักคนสะกิดที่ด้านหลังของเธอ เมื่อเธอหันกลับมาเธอก็พบกับรอยยิ้มของยายกลอยกับหลานชายตัวน้อย ๆ ที่หลับไหลในตักของผู้เป็นยายเมื่อเช้า

“ หนู .. เมื่อเช้าหนูทำเงินตก “

วงหน้าของหญิงชราแม้จะแฝงแววเหนื่อยอ่อน แต่กลับมีรอยยิ้มอันอบอุ่นในขณะที่ยื่นส่งแบงค์ห้าร้อยบาทใหม่อี่ยมใบนั้นคืนให้เธอ หญิงสาวตื่นตะลึงกับภาพที่ปรากฏตรงหน้าก่อนที่จะหลุดคำพูดออกมาอย่างยากเย็น

“ ยาย .. ขอบพระคุณมากค่ะ “

หญิงชรายังคงยิ้ม ก่อนจะหันกลับไปหยิบข้าวของพระรุงพะรังของแก ก่อนจะดึงมือหลานชายตัวน้อยที่ยังคงส่งสายตาโตใสเท่าเม็ดลำไยมาให้เธอ หญิงสาวเปิดกระเป๋าสะพายของเธอเหมือนจะค้นหาของบางอย่าง ก่อนจะดึงแบงค์ร้อยบาทหนึ่งใบส่งให้ยายกลอย

“ ยาย .. รับไว้เถอะนะ เอาไว้ซื้อขนมให้หลานก็ได้ ถ้าคนอื่นเขาเก็บเงินได้ขนาดนี้เขาคงไม่เอามาคืนหนูหรอก คิดไว้ซะว่าเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ นะ “

ยายกลอยยังคงยิ้มอย่างอบอุ่น แต่แข็งกร้าว ..

“ เมื่อเช้านี้ .. หนูซื้อของอะไรยายไปบ้างล่ะ “

“ ก็มีใยบวบอันนึง ขมิ้นผงกับดินสอพองอย่างละห่อจ๊ะ “ หญิงสาวเปิดกระเป๋าสะพายออกดูก่อนจะตอบยายกลอย สองยายหลานยังคงยิ้มอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่ยายกลอยจะยื่นเศษเงินเหรียญห้าบาทหนึ่งเหรียญและเหรียญหนึ่งบาทห้าเหรียญส่งให้หญิงสาว

“ หนูยังไม่ได้รับเงินทองเลยจ๊ะ เอ้า .. นี่จ๊ะ แล้วถ้าขมิ้นกับดินสอพองใช้หมดแล้ว วันหน้าหนูมาซื้อกับยายใหม่นะ “

ราวกับถูกสายน้ำเย็นยะเยือกราดรดไปทั่วร่าง หญิงสาวตะลึงงันอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อยายกลอยยัดเศษเหรียญลงใส่มือของเธอ ก่อนจะหันกายจากไปพร้อมกับจูงมือหลานชายตัวน้อยให้ออกเดินไปด้วย เศษเหรียญไม่กี่อันในอุ้งมือกลับกดทับและละลายความใหญ่ยิ่งของมนุษย์เงินเดือนอย่างเธอลงไปเสียสิ้น แล้วโอบกอดเธออย่างนิ่มนวลด้วยน้ำใจขนาดมหึมามหาศาลของหญิงชราที่ใส่เสื้อผ้าฝ้ายย้อมครามและผ้าถุงผืนเก่า แบงค์ร้อยที่เธอประสงค์จะให้เป็นสินน้ำใจกลับไม่เหลือค่าสักน้อยนิด เมื่อเทียบกับเศษเหรียญที่เธอกำลังกำอยู่ในขณะนี้

บางครั้ง การมองค่าและความหมายของการเป็นคนคนหนึ่ง อาจจะไม่ได้อยู่ที่วิธีการใช้เงิน หากแต่อยู่ที่วิธีการได้เงินมาต่างหาก

...

ไกลออกไป เด็กน้อยตาใสเป็นเม็ดลำไยคนนั้น กับหญิงชรากำลังเดินทางกลับบ้าน และแว่วเสียงนิทานโบราณที่ผู้เป็นยายกำลังเล่าขานให้หลานฟังอย่างเป็นสุข

“ ยายกับตา ปลูกถั่วปลูกงา ให้หลานเฝ้า หลานไม่เฝ้า อีกามากินถั่ว กินงา ของตากับยาย ยายมา ยายด่า ตามา ตาตี

หลานร้องไห้ ไปหานายพราน ให้ไปยิงอีกา ที่มากินถั่วกินงา ของตากับยาย ... “


...

Comment #1
Posted @10 มี.ค.51 15.22 ip : 203...164

หมายเหตุท้ายเรื่อง :

ตอนที่ผมโพสต์เรื่อง “ ค่าของเงิน “ เรื่องราวที่พิมพ์ลงไปนั้นเป็น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของผมกับลูกชายทั้งสองคน
และแม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านพ้นไปแล้วเป็นสัปดาห์ แต่ปมประเด็น ที่เกิดขึ้นบางอย่างในใจยังคงออกมาแสดงตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์ และมุมมองทางสังคม ที่ผมเฝ้าดูอยู่อย่างเงียบ ๆ ความค้างคาใจดูจะไม่จางหายไปแต่ กลับยิ่งเด่นชัดเมื่อผมได้คอมเมนต์จากพี่หมี่เป็ดในงานเขียนชิ้น นั้นของผมว่า ดูเสมือนผมจะแค่บันทึกเรื่องราวความประทับใจ แค่เรื่องหนึ่ง ซึ่งผมน่าจะทำมันออกมาได้ยิ่งใหญ่กว่านั้น

เป็นอีกครั้ง ที่ตัวหนังสือเพียงไม่กี่ตัวของพี่หมี่เป็ด ทำให้ผมต้อง นอนตาค้างไปอีกสามวัน เจ็ดวัน เหมือนคราวที่ผมเขียนเรื่อง เพื่อนตาย ที่เริ่มต้นมาจากมุมมองของผมคนเดียว จนแตกประเด็น ไปหาคนเก็บขยะหาของเก่า และสุนัขที่ตามติดเสมือนเงาของชาย คนนั้น

ผมกลับไปคิด .. คิด .. และคิด ผมตั้งคำถามกับตัวเองและพยายาม แสวงหาคำตอบ ไม่น่าเชื่อที่เรื่องราวเพียงน้อยนิดจะเปิดทางผมไปสู่ คำถามของการมีชีวิตอยู่ได้อย่างมากมาย ในสภาวะสังคมบริโภคนิยม ที่เราถูกลวงด้วยภาพลักษณ์ที่ฉาบไล้อยู่ภายนอก จนดูเหมือนจะลืม ความหมายของการเป็นคนที่แท้จริงไป แต่ในศรัทธาอันลางเลือน ของผมมันยังคงอยู่ และผมยังคงหวังว่ามันจะถูกถ่ายทอดไปสู่คนรุ่น ลูกรุ่นหลานต่อไปไม่สุดสิ้น เพราะความเป็นคนต่างหากที่ยังทำให้คน ดำรงอยู่ หาใช่ความหรูหราฟุ่มเฟือไม่

เมื่อตัวละครอย่างยายกลอยผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง ผมนึกถึงคาแรกเตอร์ ของยายกลอยว่าจะทำอย่างไรให้ยายกลอยดูเป็นตัวละครที่น่าเชื่อถือ จับต้องและสัมผัสได้ ภาพของผู้หญิงต่างจังหวัดที่มาขายของบน สะพานลอยหน้าตลาดใหม่ดอนเมืองฉายวับเข้ามาทันที ผมเห็นเธอ บ่อยครั้งเมื่อต้องสัญจรผ่านไปทางนั้น ในความเป็นจริงแล้วเธอไม่ได้มา เพียงคนเดียวหรอก แต่มากันที 4-5 คน แล้วแยกย้ายกระจายกันไป ตามจุดต่าง ๆ ผมคิดว่าการมโนภาพตัวละครที่เรามีความรู้สึกร่วม น่าจะเป็นส่วนช่วยให้ผู้อ่านติดตามความเป็นไปของเรื่องราวที่ผมต้อง การนำเสนอได้เป็นอย่างดี ผมเลยมาจ้องมองความน่าจะเป็นไปใน ชีวิตของยายกลอย

แม้ว่ายายกลอยจะกลายมาเป็นแกนหลักในการดำเนินเรื่อง แต่สิ่งที่ ผมอยากจะสื่อสารถึงผู้อ่านอย่างที่สุดกลับเป็นเรื่องค่าของเงิน ซึ่ง การเปรียบเทียบค่าของมัน โดยคนสองสถานะเป็นการเปรียบเทียบ ทางรูปธรรมที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด จึงเป็นที่มาของหญิงสาวคนนั้น ตอนที่วางพล๊อตเรื่อง ผมคิดตอนจบของเรื่องนี้ไว้สองแบบ แบบหนึ่ง ก็คือให้ยายกลอยรออยู่ทอนเงินค่าของด้วยเศษเหรียญให้กับหญิงสาว กับอีกแบบหนึ่งคือ ให้ยายกลอยหยิบแบงค์ห้าร้อยใบนั้นตามลงไปส่ง คืนให้หญิงสาวตอนนั้นเลย แล้วกลับมาพบว่ามีเทศกิจกำลังมายืน ล้อมผืนผ้าพลาสติกผืนเก่าของแก

ถ้าถามผม การจบแบบหลังดูจะเป็นงานดราม่าอย่างยิ่ง และผมเชื่อ ว่าถ้าผมทำให้จบลงแบบนั้น หยดน้ำตาของคนอ่านต้องตกลงใน อุ้งมือของผมแน่นอน .. ( ฮ่า ๆๆ .. สะจาย )

แต่มันจะผิดวัตถุประสงค์หลักที่ผมต้องการจะสื่อถึงผู้อ่าน ในเรื่องค่า ของเงิน แต่มันจะกลายเป็นทำดีไม่ได้ดี ชีวีรันทด ไปซะนี่ ..

เหตุที่ผมต้องมาทำหมายเหตุท้ายเรื่องยาวยืดพรรค์นี้ เพียงเพราะผม อยากให้เพื่อน ๆ ที่ทนอ่านงานเขียนของผมได้เห็นมุมมอง และจุด ประสงค์ที่แท้จริงในการเขียนเรื่องนี้ และอยากฝากย้ำไว้ให้เห็นถึง ข้อความที่ผมเคยโพสต์ไว้ในบทความของผมก่อนหน้านี้

“ คิดให้เยอะ ๆ .. “

ในประสพการณ์จริงที่ผ่านมาในชีวิตนักเขียน ผมพบว่า รูปแบบและ กระบวนการนำเสนองาน เป็นสิ่งที่ฝึกฝนและพัฒนาได้ และผมเชื่อ ในศักยภาพของเพื่อน ๆ ที่เขียนงานในนี้หลาย ๆ คน แต่สิ่งที่สมควร ต้องฝึกฝนไม่แพ้กันก็คือ

กระบวนการคิด และการเรียบเรียงความคิด

.. จะชกหน้าคน ต้องทิ้งทั้งไหล่ ต่อให้ชกแล้วพลาดจั่วลม อย่างน้อย ก็ยังได้ชกอย่างเต็มที่

ผมเชื่อของผมอย่างนั้น ...

Comment #2
Posted @19 มี.ค.51 9.08 ip : 118...6

การเขียนเรื่องจริงให้เป็นเรื่องสั้น  หรือการเอาเรื่องจริงมาเป็นเรื่องสั้น  นี่เป็นวิธีที่น่าจะง่ายที่สุด  และผมเองก็ใช้วิธีนี้มาโดยตลอด  เนื่องด้วยการไม่มีเวลานั่งคิดอะไรนานๆ ไม่ได้เดินทางไปไหนๆ  มันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องแปลงสารเรื่องจริงให้เป็นเรื่องแต่งให้ได้

แต่ทำอย่างไรล่ะให้มันออกมาไม่เป็นการนินทาชาวบ้าน  ไม่เป็นการเล่าเพียงแค่ผ่านๆถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง  นี่เป็นโจทย์ที่นักเขียนต้องคิดกันเอาเอง


ค่าของเงินที่จ่าเขียนมาก็อยู่ในข่ายนี้  คือเอาเรื่องจริงมาเขียน  งานมีลักษณะของฮีโร่อยู่ คือมีการเขียนให้ตัวละครดูเป็นซุปเปอร์แมนเป็นนักบุญเป็นอะไรก็ตามที่ดูเด่นขึ้นมาด้วยพฤติกรรมบางอย่าง  ไม่ใช่เรื่องผิดหรือแปลก  แต่มันอาจจะละเลยบางด้านบางมุมของตัวละครไป


ไม่ใช่ผิดหรือแปลกนะ

งานเขียนมันมีหลายลักษณะ  อยู่ที่รสนิยมใครว่าชอบอย่างไหน

เพียงแต่ว่า-

การจะชกหน้าคนนั้น  นกจากจะทิ้งไปทั้งไหล่แล้ว  ขาหน้าต้องหยัดพื้นให้มั่น คว่ำข้อมือให้สันนิ้วพุ่งตรง กดแรงเหวี่ยงหมัด หมายที่ปลายคางไม่ก็ปากครึ่งจมูกครึ่ง

และต้องเกร็งหน้าท้องพร้อมกับตั้งการ์ดซ้ายปิดคางตัวเองด้วย

แสดงความคิดเห็น

« 1430
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง

งานเขียนของข้าพเจ้า

personมุมสมาชิก

Last 10 Member Post

Web Statistics : online 0 member(s) of 31 user(s)

User count is 2417237 person(s) and 10080591 hit(s) since 3 พ.ย. 2567 , Total 550 member(s).