เรื่องของยาย
สวัสดีค่ะ วันนี้อยากจะเล่าเรื่องของยาย .... ความจริงยายก็ไม่ได้มีชีวิตที่ผิดแผกพิสดาร
หรือโลดโผนอะไรหรอก เพียงแต่อยากเล่า อยากบันทึกไว้สักหน่อย ขอบคุณล่วงหน้าที่ช่วย
อ่านจนจบ... ^_^
ยายผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน 84 ปีแล้ว เคยผ่านการใช้ชีวิตในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ผ่านการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ผ่านมาหลายรัฐบาล แต่จำไม่ได้หรอกว่าใครเป็นนายกมั่ง
เท่าที่เห็นพูดบ่อย ๆ คือสมัยจอมพล ป. กับ จอมพลสฤษดิ์ ที่ยายมักจะพูดว่า ใครทำผิดสมัยนั้น
โทษคือยิงเป้าประหารชีวิตลูกเดียว พอเห็นข่าวใครทำอะไรผิดในสมัยนี้ยายก็พูดว่า
ทำไมไม่ประหารชีวิตมันซะเลย เอาอย่างสมัยจอมพลโน่นแน่ะ
แหม...ยายจ๋าสมัยนี้โจรเป็นใหญ่จ้ะ ใคร ๆ ก็กลัวโจร....
ยายเป็นลูกคนที่ 3 ในบรรดาพี่น้อง 10 กว่าคน จำไม่ได้ว่า 12 หรือ 13
แน่นอนว่าไม่ได้เรียนหนังสือ โตมาตามประสาเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง เลี้ยงน้อง
เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย ตำข้าว หาบน้ำ นี่คือชีวิตประจำวัน
ยายเล่าว่า พ่อเป็นเงี้ยว แม่เป็นมอญ เกิดมาผิวขาว
ผิดพี่ผิดน้อง สมัยสงคราม เวลาผ่านด่านตรวจ ทหารนึกว่าเป็นญี่ปุ่น
ยายบอก บ่ใช่เจ้า คนเมืองเจ้า อ้อ..ลืมบอกไปว่า ยายเป็นสาวเจียงใหม่จ้ะ
ตอนเด็ก ๆ มีคนมาทักว่า ถ้ายายยังอยู่กับพ่อแม่ จะทำให้พ่อแม่ไม่ค่อยสบาย
เจ็บไข้ได้ป่วย ต้องให้ไปอยู่กับคนอื่น แล้วรู้สึกว่าพ่อจะป่วยจริง ๆ ด้วย
เพราะเหตุนี้ ทำให้ยายต้องไปอาศัยอยู่กับป้าที่ตัวเมืองเชียงใหม่
เดิมอยู่ที่อ.สันป่าตอง ซึ่งการเดินทางสมัยนั้นก็ใช่ว่าจะง่าย ๆ
เด็กผู้หญิงอายุไม่ถึง 10 ขวบ ต้องจากบ้าน ห่างพ่อแม่พี่น้อง คงเศร้าน่าดู
ถามว่าไม่ไปได้มั้ย ไม่มีสิทธิ์ขัดขืนหรอก พ่อแม่พูดคำไหนก็ต้องคำนั้น
มาอาศัยกับป้าก็ต้องทำงานแลกข้าวแลกน้ำ นาน ๆ พ่อกับแม่จึงจะมาเยี่ยมสักครั้ง
ก็อย่างที่ว่า การเดินทางมันลำบาก ไหนต้องทำไร่ทำนา แถมมีน้อง ๆ
ที่ต้องเลี้ยงอีกหลายคน ยายบอกแต่ว่า คิดถึงพ่อกับแม่มาก
ความจริงพ่อของยายเป็นหมอเมืองด้วยนะ หมอเมืองหมายถึงหมอพื้นบ้าน
ใช้ยาเมือง ใช้คาถา ใครผีเข้า ก็มาเรียกพ่อ พ่อไปเป่าให้ก็หาย ชาวบ้านเขาก็นับถือกัน
แต่คงไม่มีแบบที่ว่าเฆี่ยนคนป่วยให้ผีออกแบบในหนังหรอกนะ ฮา...
ยายบอกว่า พ่อมีคาถาอาคมเก่ง ฟันแทงไม่เข้า ตอนยายเล็ก ๆ พ่อบอกว่า
เดี๋ยวจะไปเอาดาวมาให้ ยายก็เห็นพ่อเดินขึ้นไปบนฟ้า
จริง ๆ แล้ว พ่อก็เดินไปตามถนนนั่นแหละ แต่ทำไมยายเห็นพ่อเดินขึ้นบนฟ้าไม่รู้
ต่อมาฉันได้รู้จักน้องชายของยายคนหนึ่ง อยู่เชียงรายเป็นคนที่ได้รับมรดกส่วนนี้ของพ่อ
คือเป็นหมอเมือง ชาวบ้านไม่สบายแกก็ใช้ยาสมุนไพร เป่าคาถากำกับ ก็หายกันหลายราย
อย่าถามถึงความเป็นวิทยาศาสตร์กับคนบ้านนอกในสมัยก่อนเลย
โรงพยาบาลเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะไป ใครไม่สบายส่วนใหญ่ก็รักษากันแบบบ้าน ๆ อย่างนี้แหละ
ลูกชายแกคุยให้ฟังว่า แต่ก่อนตอนหนุ่ม ๆ นี่ ฟันแทงไม่เข้าจริงๆ นะ แต่พอแก่ตัวมา
หนามปักนิดเดียวร้องโอ๊ย
ฮ่า ๆ สงสัยคาถาเสื่อม
ส่วนแม่ของยายเป็นแม่รับ คือหมอตำแยนั่นเอง ยายเล่าว่า แม่เคยพาไปหัดให้เป็น
แม่รับเหมือนกัน แต่ยายทำไม่ได้ บอกว่าเห็นคนเจ็บท้องจะคลอดแล้วยายก็เจ็บไปด้วย
ทำอะไรไม่ถูก สรุปแล้วทำงานนี้ไม่ได้ รู้สึกจะมีพี่สาวคนโตที่เป็นแม่รับได้
เล่าแทรกหน่อยว่า เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน มีน้องของยาย
2 คนมาเยี่ยมที่บ้าน จำกันแทบไม่ได้ ถ้าไม่บอกว่าเป็นใครชื่ออะไร
จากนั้นก็ไปเยี่ยมน้องอีกคนที่เชียงราย คนแก่ตามหากัน เป็นภาพที่น่ารักมาก
ยายก็อยู่กับป้าจนโตอายุ 14-15 สมัยก่อนถือว่าเป็นสาวแล้ว คงจะงาม(แน่ๆ)
เพราะตอนงานสงกรานต์ ยายว่ามีนายอำเภอมาขอไปนั่งรถแห่หน่อย
ป้าไม่ไห้ไป มีคนมาขอไปประกวด ป้าก็ไม่ให้ไป บอกว่ามันไม่รู้หนังสือ อายเขา
จนคนแถวนั้นพูดกันว่า ป้าอิจฉาหลาน กลัวหลานได้ดีรึไง
ยายเล่าว่า เจ้าของตลาดลำไยจะมาขอเป็นลูกสะใภ้ด้วยล่ะ แต่ป้าไม่ให้
บอกว่าเรามันคนบ้านนอก ไม่มีความรู้ กลัวเขาจะดูถูกดูแคลน
โธ่!..ป้านะป้า ไม่งั้นป่านนี้คุณหญิงได้เป็นเถ้าแก่เนี้ยเจ้าของตลาดแล้วมั้ง
วงเล็บแทรกหน่อยว่า ตอนแม่เป็นสาวก็เคยมีคนมาขอไปนั่งกระทง
ยายก็มีคนมาขอ แม่ก็มีคนมาขอ แล้วทีฉันทำไมไม่มีใครมาขอไปทำน้ำพริกน้ำยา
อะไรเลยล่ะ มันแปลว่าอีหยัง?
ยายเล่าว่า ตอนอายุสัก 12-13 ตอนนั้นมีงานศพเจ้าหลวงเชียงใหม่ยายก็ไปดูขบวนด้วย
ขบวนใหญ่โตมาก ถามว่าเจ้าหลวงเชียงใหม่ชื่ออะไร ยายก็จำไม่ได้เสียแล้ว แต่บอกว่า
เมียท่านชื่อเจ้าศิริประกาย ก็เลยไปเสริช์หาดู ปรากฎว่าเป็นเจ้าแม่ของเจ้ากอแก้ว
ที่ทุกคนรู้จักกันดีนั่นเอง
เคยพายายไปแอ่วเชียงใหม่เมื่อหลายปีก่อน แกบอกจำบ่ค่อยได้แล้วตรงไหนเป็นตรงไหน
(จำได้ก็แปลกล่ะจ้ะ) แกจะจำว่าวัดนี้อยู่ตรงนี้ ตรงนั้นเป็นคุ้มเจ้าหลวง ถัดไปเป็นคูน้ำ
ถัดไปเป็นอะไร ๆ ภาพในความทรงจำของยาย คงเหมือนเราดูภาพขาวดำที่กระดาษ
ออกสีเหลือง ๆ นึกแล้วก็อยากย้อนเวลากลับไปเห็นบรรยากาศสมัยก่อนเหมือนกันเนาะ
ตอนนี้มองไปทางไหน เห็นแต่ตึก ตึก ตึก และก็ตึก....
ต่อมาป้าก็ให้ยายแต่งงานกับคน ๆ หนึ่งที่มาขอ ยายบอกว่าไม่ได้รักไม่ได้ชอบอะไรหรอก
แก่แล้วอายุ 30 กว่า เป็นพ่อม่ายด้วย ฉันรู้จักในชื่อ องเผ่ ใช่ค่ะ ฟังชื่อก็รู้ว่าเป็นพม่า
ยายบอกว่าเชื้อสายญาติพี่น้องมาจากเมืองแพร่ รู้จักกันในสมัยนั้นคือ ร้านยาของหม่องปู่เส่ง
ทำยาสมุนไพรขาย ปัจจุบันเมืองแพร่ขึ้นชื่อในเรื่องยาสมุนไพรโบราณ ถ้าเป็นยาเมืองของแพร่
ถือว่าเป็นยาดี
เมื่อป้าบอกว่าให้แต่ง ถ้าไม่แต่งจะไล่ ไม่ให้อยู่ ตอนนั้นอายุ 16 ปี เด็กสมัยก่อน
ก็มักจะขลาดกลัว กลัวผู้ใหญ่ ห้ามเถียง ห้ามถาม ถ้าบอกว่าจะไล่ออกจากบ้าน
ก็ไม่รู้จะไปอยู่ไหน และฉันอาจจะเป็นผลพวงของการเลี้ยงดูของยาย ที่ห้ามเถียง
ห้ามถาม ห้ามสงสัย ดังนั้นนิสัยของฉันอาจเป็นคนโบราณยุคสุดท้าย ฮา...
เมื่อยายแต่งงานแล้ว ยายก็อยู่ที่เชียงใหม่นั่นแหละ อีกปีต่อมา ยายก็คลอดแม่
ตอนนั้น พ.ศ.2484 เป็นปีที่สงครามโลกสิ้นสุด แต่การกินอยู่ของชาวบ้านก็ยากลำบาก
ไปตามสภาพ ผ้าอ้อมของลูกก็คือผ้าซิ่นที่ตัดเป็นผืน เหมือนแม่ที่ยากจนอีกค่อนประเทศ
ยายเลี้ยงแม่คนเดียว ไม่มีใครช่วย ตอนนี้ฉันเลี้ยงลูกมีแม่คอยช่วยยังเหนื่อยแทบสลบ
ดังนั้นห้ามอุธรณ์ (ตบกะโหลกตัวเองหลาย ๆ ที...ฮา)
ยายเล่าว่ายายมีลูกชายอีกหนึ่งคน แต่ป่วยตายไปตั้งแต่ยังเล็ก ยายจึงมีแม่คนเดียว
ชีวิตครองเรือนของยายคงไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่ สาเหตุฉันจำได้ราง ๆ ว่า
เพราะตาองเผ่ขี้เหล้า ไม่สนใจลูกเมีย ปล่อยให้อยู่ตามมีตามเกิด มีกินไม่มีกิน
ไม่รู้ มีเงินใช้หรือเปล่าไม่สน
ยายจึงเลิก แล้วก็มาอยู่ที่ลำปาง มาอยู่กับใครไม่รู้แฮะ ตอนนี้ประวัติศาสตร์ไม่ค่อยแน่ชัด
แล้วต่อมายายก็แต่งงานใหม่ คราวนี้มีการจดทะเบียนสมรสเพราะว่าตาคนใหม่เป็นครู
สถานภาพก็ต้องเป็นหลักเป็นฐาน และแม่ก็ได้ใช้นามสกุลของตาคนใหม่นี้ด้วย
เมื่อมาลงหลักปักฐานที่ลำปาง ยายก็ทำมาค้าขาย พอมีเงินเก็บบ้าง
ครอบครัวก็อยู่กันเป็นปกติ สุขทุกข์ไปตามประสา
อยู่กินกันมาประมาณ 10 กว่าปี แล้วตาก็ดันไปมีเมียน้อย เป็นครูด้วยกันนั่นแหละ
ยายจึงหย่ากับตา ฉันเคยเห็นทะเบียนหย่าด้วย ยายคงจะเจ็บช้ำน้ำใจมาก
เพราะตอนที่ตาตายเมื่อปีก่อน ยายก็ไม่ไปเผาผี
เมื่อหย่าแล้ว ยายก็ไปกรุงเทพฯ ไปอยู่กับผู้พันท่านหนึ่ง
คงจะชวนมาทำงานด้วย เป็นลูกจ้าง ตอนนั้นแม่โตแล้ว
ยายคงไม่ต้องห่วงแม่เท่าไหร่ แม่จึงอยู่ที่ลำปางเหมือนเดิม
และยังต้องเรียนหนังสืออยู่ ยายจึงไม่พาแม่ไปกรุงเทพฯด้วย
ไม่รู้ว่ายายไปอยู่กรุงเทพฯกี่ปี แล้วก็กลับมาลำปาง
ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ก็ขาดหายไปเหมือนกัน
มาเริ่มรู้เรื่องใหม่ ก็คือ ยายแต่งงานใหม่อีกครั้ง
และตั้งแต่ฉันจำความได้ ก็อยู่กับยายและตาคนนี้
ฉันเรียกว่า ยายกับตา ว่า พ่อกับแม่ และก็งง
เหมือนกัน เมื่อมีพ่อกับแม่จริง ๆ อีก เอ๊ะ ทำไม
เรามีพ่อ 2 คน มีแม่ 2 คน อยากถามก็ไม่รู้จะถามยังไง
นี่แหละ เด็กสมัยก่อน ขี้ขลาด ขี้กลัว ไม่กล้า
ฉันรักตาคนนี้มาก ตาก็รักฉันมากเช่นกัน เวลาไม่สบาย
ตาก็เป็นคน ไปซื้อยาให้กิน วันสองวันก็หาย ยายบอกว่า
ตาซื้อยาเก่ง
ฉันมีพี่ชายคนนึง เราสองคนพี่น้องก็อยู่กับยายมาตั้งแต่เล็ก
เพราะพ่อแม่ไปทำงานต่างอำเภอ ฉันกับพี่เรียนอยู่ในตัวเมือง
ช่วงนี้ยายกับตา ทำรองเท้าขาย เป็นรองเท้ายางรถยนต์
ใส่10ปีไม่มีเสีย ถ้าสายขาด ก็แค่เปลี่ยนสายใหม่ นอกนั้น
ใช้ไปจนตาย ไม่เว่อร์นะเจ้า... พูดถึงแล้วยังจำกลิ่นยางรถ
ที่เกลื่อนเต็มห้องได้อยู่เลย ตอนนั้นฉันอายุ 4-5 ขวบได้
ตาคนนี้เวลาปกติก็จะดีมาก แต่เวลากินเหล้าเมาแล้วจะชอบ
หาเรื่องทะเลาะกับยายทุกที พอหายเมาทุกอย่างก็ปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ยายก็คงใช้คาถาอดทนมาตลอด
จนคืนวันหนึ่ง ฉันจำได้ ตาก็เมาเข้าบ้าน แล้วก็หาเรื่องทะเลาะกับยายอีก
คราวนี้ฉันเห็น ตาเมาแล้วก็ตียาย
ยายก็ตีตอบ ตีกันไปมา ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาเห็นก็ร้องไห้
ฉันรักยายจึงเข้าไปตีตา ถึงตาจะเมา แต่ตาก็พูดว่า
พอละๆ พ่อไม่ตีน้องๆ ตาพูดแบบนี้ซ้ำหลายคำ
แล้วยายก็บอกกับตาว่า อยู่กันไม่ได้ก็ไปเถอะ ไม่ต้องมาอยู่ด้วยกันอีกแล้ว
ชีวิตคู่ของยายก็จบลงอีกครั้ง และครั้งนี้ก็เป็นครั้งสุดท้าย
ต่อมาอีกไม่ถึง 10 ปี หลังจากที่ยายเลิกกับตาแล้ว ตาก็ตาย
ยายก็ไปงานศพ แล้วยังให้พี่ชายฉันบวชหน้าศพให้
มาคิดดูตอนนี้ ยายคงจะเป็นคนอาภัพเรื่องคู่ครองเป็นแน่
ยายเป็นคนขยัน ไม่ค่อยอยู่เฉย ศัพท์สมัยนี้ต้องเรียก สาวไฮเปอร์
คงเพราะต้องคิดต้องตัดสินใจคนเดียวมาตลอด ไม่มีใครเป็นที่ปรึกษาปากกัดตีนถีบ
เลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน ด้วยตัวเอง ยายจึงออกเผด็จการหน่อย ๆ ทุกอย่างต้องเป็นอย่างที่คิด
ถ้าผิดจากนั้นก็จะไม่พอใจ ถ้าใครเถียงก็จะ โกรธ งอน ไม่พูดด้วย ยิ่งแก่ตัวมายิ่งอาการหนัก
เราแอบเรียกยายว่า ซูสีไทเฮาประจำบ้าน แม่บอกว่าเมื่อก่อนไม่ขนาดนี้
แก่ตัวลงนี่แหละ ยิ่งแก่ยิ่งอาการหนัก เป็นลูกเป็นหลานอยู่ด้วยต้องทำใจ
คนแก่ดื้อไม่เหมือนเด็กดื้อ เด็กดื้อยังตีได้ แต่คนแก่ดื้อ ไม่รู้จะทำไง
ข้าพเจ้าเหนื่อยใจยิ่งนัก
ตอนเด็ก ๆ มีวันนึงกลับจากโรงเรียน ก็ไม่เห็นยาย มองไปอีกบ้านนึงปรากฎว่า
ขึ้นไปฟันกิ่งไม้อยู่ปลายยอดโน่น นุ่งผ้าซิ่นปีนต้นไม้ ไม่ได้ใส่กางเกงในด้วย ฮา...
สาวน้อยแสนซนวัยหกสิบกว่า นี่แหละยายของฉัน
ช่วงสองปีที่ผ่านมา ยายไม่ค่อยสบายนัก ด้วยโรคชราหลายอย่างที่รุมเร้าเข้าร่าง
เปรียบเหมือนใบไม้แห้งที่รอวันปลิดจากขั้ว
ฉันเพียงหวังอยากให้ลมหายใจสุดท้ายของยาย
สงบนิ่ง ไม่เจ็บ ไม่ปวด แค่นั้นเอง......