สาวน้ำแข็งในวันที่ดอกซากุระบานไม่เต็มที่
โลกขาวละลานตาไปด้วยหิมะ
ผมเดินย่ำไปเรื่อยๆ ผ่านแนวป่าสน ตัวเมืองอยู่เบื้องหน้า เห็นได้จากอาคารสูงมากมายเป็นกระจุก ท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย สีมันดูซีดเหมือนภาพเขียนเก่าๆมากกว่าจะเป็นของจริง
ผมเดินไปเรื่อยๆ รอยเท้ามากมายเดินมาก่อนหน้า หิมะค่อยๆกลบรอยเท้าเหล่านั้น อีกประเดี๋ยวรอยเท้าผมที่ย่ำมาก็คงจะเหมือนกัน
คนร่วงมาจากยอดตึกราวกับห่าฝน หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด ช่างมันเถอะ นับยังไงก็นับไม่ถ้วนหรอก
ใครๆก็ฆ่าตัวตาย เป็นเรื่องปกติ ผมไม่เข้าใจด้วยซ้ำ เวลาที่มีใครออกมาโวยวายว่าการฆ่าตัวตายคือปํญหา ทำไมล่ะ ทุกคนน่าจะมีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้กับชีวิตตัวเองไม่ใช่หรือ
บางที ผมยังเคยนึกด้วยซ้ำ ว่าสักวันผมคงฆ่าตัวตายกับเขาบ้าง
จริงๆแล้วผมไม่ได้รู้สึกอยากตายหรอกนะ ก็แค่บางทีก็ไม่รู้สึกไม่สนุกกับการมีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้นเอง
แต่ยังไงผมก็คงไม่ฆ่าตัวตายเร็วๆนี้หรอก
..............................................
ผมเดินเลี่ยงออกจากเส้นทางหลักที่ผ่านเมือง
หิมะแถวนั้นคงเปรอะไปด้วยเลือด กองพะเนินด้วยไส้พุงของพวกที่โดดตึกลงมา และอากาศก็คงเหม็นคาวพิลึก ถ้าเลือกได้ ผมก็ไม่อยากเดินผ่านแถวนั้น
ตัดผ่านย่านซอมซ่อ เด็กคนหนึ่งวิ่งถือมีดคัตเตอร์เที่ยวกรีดคอคนอื่น คนแล้วคนเล่า ทั้งเด็กผู้ชายวัยเดียวกัน ยายแก่ที่เป็นของเหลือจากศตวรรษก่อน ตาลุงขี้เมา หญิงสาววัยทำงาน ทุกคนกุมคอที่ชุ่มไปด้วยเลือด ล้มลงนอนตายบนหิมะอย่างเงียบเชียบ
เมื่อเดินผ่านศพหญิงสาว ใบหน้าของเธอทำให้ผมนึกถึงนางเอกหนังโป๊เรื่องหนึ่ง ที่ผมจำชื่อไม่ได้ ไม่ว่าจะพยายามนึกเท่าไร
เด็กที่ถือมีดคัตเตอร์คนนั้นวิ่งผ่านผมไป ผมเพิ่งสังเกตว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิง เอ..หรือจะเป็นเด็กผู้ชายไว้ผมยาวนะ? เด็กผู้ชายเดี๋ยวนี้ไว้ผมยาวๆกันเยอะไป ช่างมันเถอะ
อีกครู่หนึ่งต่อมา ผมก็เดินมาถึงทางแยกเล็กๆที่ชี้ตรงไปทางบ้านผม ระยะทางประมาณอึดใจนึง ถ้าผมหายใจเข้าเต็มปอดนะ
หิมะแถวนี้เป็นสีขาวสะอาด ไม่มีเลือดใครมาเปรอะเปื้อน ผมเดิน เดิน เดิน ไปเรื่อยๆ สีขาวเหมือนแทรกซึมเข้ามาในตัว สีแดงเลือนหายไปจากความทรงจำจนหมดสิ้น เหมือนไม่เคยมีมาก่อน
วันนี้เป็นยังไงบ้าง ใครบางคนทักเมื่อผมก้าวผ่านรั้วบ้าน
ก็เรื่อยๆ ไม่มีอะไรพิเศษ ผมได้ยินเสียงตัวเองตอบออกไป
.............................................
ช่วงเย็นผ่านไปอย่างเงียบเงียบ
บ้านที่ผมอยู่เป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ แยกไกลออกมาจากบ้านหลังใหญ่ ผมอยู่ที่นี่คนเดียวมาเกือบสองปีได้แล้ว
หิมะยังคงตกโปรยปรายอยู่ด้านนอก
ผมอิ่ม นึกไม่ออกว่ากินอะไรไปเมื่อเย็น แต่มันก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร มันไม่ได้มีอะไรพิเศษขนาดให้ต้องจดจำอยู่แล้ว
ทีวียังคงพูดกับบรรยากาศว่างเปล่าในห้อง ผมไม่ได้ฟัง แค่อยากรู้สึกว่ามีคนอยู่ด้วยเท่านั้น ถึงจะเป็นแค่จากในกล่องแบนๆก็เถอะ
ผมไม่ชอบดูทีวี ไม่ชอบเอาเสียเลย ผมว่ามันไร้สาระทั้งเพ เมื่อก่อนผมอาจดูรายการข่าวอยู่บ้าง แต่ดูๆไปนานๆ ก็มีแต่ข่าวไร้สาระทั้งนั้น
สงครามในตะวันออกกลางเกี่ยวอะไรกับผม? เด็กคนนึงหยิบปืนไปยิงเพื่อนร่วมชั้นตายนับสิบที่อเมริกา แล้วไง? การค้นพบปลาสปีชีส์ใหม่ที่หมู่เกาะฮาวาย หมีแพนด้าที่อังกฤษตกลูก การประท้วงก่อจลาจลในเมืองหลวง ดาราประกาศข่าวการแต่งงาน ฯลฯ
มันไม่มีอะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกับผม เป็นข้อมูลที่เปล่าประโยชน์ทั้งนั้น
ดังนั้นผมจึงเปิดทีวีทิ้งไว้ แต่ไม่ได้ดู เร่งเสียงพอประมาณพอให้ได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง แค่ไม่ให้รู้สึกเหงาเกินไป
.............................................
คืนนี้เธอจะมาไหมนะ?
ผมเดาเอาว่าเธอคงมา เธอมักจะมาทุกครั้งยามที่มีหิมะตก
เธอมาจากไหนก็ไม่รู้ อายุเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เหมือนเธอยังไม่โตเต็มที่ ร่างกายยังไม่ค่อยมีทรวดทรง แต่หน้าสวยหวาน ผมยาวตรงดำสนิท ตัดกับสีผิวและใบหน้าที่ซีดขาว เธอเป็นปิศาจ ผมรู้ว่าเธอเป็นปิศาจ เป็นปิศาจหิมะ ปิศาจบ่อน้ำ ปิศาจจิ้งจอก อะไรสักอย่าง เพราะทุกครั้งที่ผมสัมผัสเธอ ตัวเธอจะเย็นเฉียบอย่างกับน้ำแข็ง
ผมไม่เคยถามชื่อเธอ แต่ผมเรียกเธอว่า ยูกิจัง
ยูกิที่แปลว่าหิมะนั่นแหละ
..............................................
ผมเคลิ้มหลับไปแล้ว ตอนที่ได้ยินเสียงใครมาเคาะหน้าต่าง
เมื่อผมเปิดออก ก็เห็นยูกิจังยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง ชุดขาวและผมดำขลับของเธอปลิวสยายในสายลมหนาว ปากและใบหน้าดูซีดเซียวเหมือนศพไม่มีผิด แต่ก็เป็นศพที่สวยอยู่ดี
เข้ามาสิ ผมเชื้อเชิญให้เธอเข้ามา พลางเอื้อมมือไปพยุงเมื่อเห็นเธอเสียหลักตอนพยายามปีนหน้าต่าง บางทีถ้าเธอหายตัวขึ้นมามันก็น่าจะง่ายกว่าเป็นไหนๆ
เมื่อเธอเข้ามานั่งในห้อง ผมดึงเธอเข้ามากอดไว้ ตัวเธอเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง
หนาวไหมยูกิจัง ผมถาม เธอตอบอะไรออกมาสักอย่าง แต่ผมไม่ได้ยิน รู้แต่ว่าเธอกอดผมแน่น
จากการกอด หน้าอกของยูกิจังดูใหญ่ขึ้นกว่าคราวก่อนอยู่สักหน่อย ผมคิด และผมก็บอกเธอที่ผมคิด หน้าเธอแดงระเรื่อขึ้นมา เธอตอบอะไรออกมาบางอย่าง ซึ่งผมลืมไปในเวลาชั่วอึดใจ
เมื่อหน้าเราอยู่ใกล้กัน ผมก็ประกบปากจูบเธอ ยูกิจังอ้าปากเล็กๆของเธอรับจูบผมอย่างเต็มใจ เรากอดและจูบกันท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องลอดหน้าต่าง ท่ามกลางสายลมหนาวที่พัดผ่านและหิมะที่โปรยปรายอยู่ด้านนอก
ผมเลื่อนปากไซร้ต่ำลงมา ผ่านข้างแก้ม ผ่านซอกคอลงมาที่หน้าอก ผมแหวกเสื้อเธอออก เต้านมเล็กๆอยู่ตรงหน้า ผมขบเม้มข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างใช้มือคลึง ยูกิจังร้อง เธอคงรู้สึกวาบหวาม หรือไม่ก็คงเจ็บ
เมื่อผมพยายามจะปลดเสื้อผ้าท่อนล่างของเธอ เธอหนีบมันไว้แน่น พลางส่ายหน้า
ทำไม? ผมถาม
ดอกซากุระยังไม่บาน ยูกิจังตอบ พลางชี้มือออกไปที่นอกหน้าต่าง ต้นซากุระต้นหนึ่งยืนเด่นห่างออกไปไม่ไกล มันมีดอก แต่ดอกของมันยังไม่บานสะพรั่งอย่างควร เพิ่งผลิออกตูมๆ
ทำไมต้องรอดอกซากุระบาน ?
เธอมองหน้าผม ไม่ตอบ ดึงเสื้อขึ้นมาสวมเรียบร้อย เอามือจัดผมและโดดออกไปทางนอกหน้าต่าง
เมื่อผมชะโงกมอง ก็เห็นแค่รอยเท้าเล็กๆของเธอบนหิมะสีขาวเท่านั้น
..................................................
ตื่นเช้า ผมก็รู้สึกว่าตัวเองคงฝันไป
ไม่มีรอยเท้าบนหิมะ ไม่มีต้นซากุระ
ดังนั้น ไม่มียูกิจัง
..................................................
ผมดูเข็มทิศ สลับกับดูท้องฟ้า
ยิ่งดูผมก็ยิ่งแน่ใจ ว่ามันต้องมีอะไรผิดพลาดสักอย่างแน่ๆ
ทิศที่ใครเรียกว่าทิศตะวันออก อันที่จริงแล้วมันคือทิศตะวันตก และในทางตรงกันข้าม ทิศตะวันตกที่รู้จักกัน มันก็น่าจะเป็นทิศตะวันออก
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก และตกทางทิศตะวันออก ผมสรุปกับตัวเองได้อย่างนั้น
แต่คงยากที่จะหาใครมาฟังเหตุผลของผม
................................................
ผมนั่งเปิดดูแผ่นหนังโป๊ แผ่นแล้วแผ่นเล่า
ผมอยากรู้ว่าผู้หญิงสาวที่ถูกฆ่าตายเมื่อวานนั้น หน้าเหมือนดาราที่ชื่อว่าอะไร แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ
ผมสะสมแผ่นหนังโป๊ไว้เยอะทีเดียว นับร้อยๆแผ่นเห็นจะได้ หลังจากที่หาได้ไปเกือบครึ่ง ผมก็เลิกล้มความตั้งใจ สำเร็จความใคร่ด้วยมือครั้งหนึ่ง และนอนหลับตลอดช่วงบ่าย
..............................................
ตื่นมาตอนเย็น วันนี้หิมะไม่ตก
ผมเปิดทีวี ดูหน้าพิธีกรหญิงพลางคิด ว่าวันนี้เธอใส่ชั้นในสีอะไร?
...............................................
วันรุ่งขึ้น ผมเข้าไปเดินเล่นในเมือง
หลังจากนั่งมองผู้คนกระโดดตึกฆ่าตัวตายจนเบื่อ ผมก็แวะเข้าร้านอินเตอร์เนต พิมพ์โน่นพิมพ์นี่มากมาย ผมจำไม่ได้สักคำว่าพิมพ์อะไรลงไป ทุกครั้งที่มีใครตอบอะไรกลับมา ผมต้องย้อนกลับไปดูเสมอว่าผมพิมพ์อะไรลงไป
ขณะที่เดินกลับบ้าน ท่ามกลางผู้คนมากมายที่ผ่านไปมา จู่ๆผมก็นึกขึ้นมาเฉยๆ ว่ามีโอกาสอยู่สักเท่าไหร่นะ ที่ผู้คนซึ่งเดินปะปนอยุ่กับผมนี่จะเป็นมนุษย์ต่างดาว?
ผมว่ามันต้องมีแน่ๆละ ใครต่อใครพบเห็นจานบินกันมากมาย นั่นแสดงว่ามนุษย์ต่างดาวต้องค้นพบโลกของเราแล้ว และเป็นไปได้ที่จะแอบแฝงมาใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์โลก
ผมรื้อฟื้นวิชาคณิตศาสตร์เกี่ยวกับความน่าจะเป็นขึ้นมาในหัวสมอง ทำการคำนวณอย่างคร่าวๆ และต้องตกใจกับตัวเลขที่ว่าในเมืองใหญ่แบบที่ผมกำลังยืนอยู่ มีโอกาสที่คนซึ่งเดินสวนไปมานั้นจะเป็นมนุษย์ต่างดาว เท่ากับ 1 คนในทุกๆ 78 คน
ไว้คราวหน้าผมจะโพสต์เรื่องนี้ลงในอินเตอร์เนต
.................................................
หิมะตกแล้ว
ผมรีบจ้ำกลับบ้าน รู้สึกเป็นสุขนิดๆขึ้นมาในใจ
คืนนี้ยูกิจังคงปรากฏตัวแน่ๆ
................................................
ผมไม่ต้องรอนาน ยูกิจังก็ปรากฏตัวเมื่อพระจันทร์ส่องแสงมาทางหน้าต่าง ท่ามกลางหิมะที่ขาวโพลน
เราคุยอะไรกันนิดหน่อย ผมได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง แล้วเราก็กอดจูบกันเหมือนเคย
นี่ถ้าเธอเป็นคน ผมคิดว่ายูกิจังคงอายุไม่เกินสิบสี่แน่ๆ จากรูปร่างทรวดทรงที่ปรากฏของเธอ
ไม่นานท่อนบนเธอก็เปลือยเปล่า เธอแอ่นหน้าอกเล็กๆของเธอให้ผมดูด
เธอถามผมว่าผมรักเธอไหม ผมไม่ได้ตอบ
เมื่อผมพยายามล่วงล้ำเบื้องล่างเธอ เธอรั้งหน้าผมขึ้นมาจูบ พลางชี้ออกไปด้านนอก
ดูสิ ดอกซากุระยังไม่บานเลย
ไอ้ดอกซากุระระยำนั่นอีกแล้ว!!
จากนั้นเธอก็หายไปเหมือนความฝัน
แน่ละสิ ก็เธอเป็นแค่ความฝันนี่นา
...................................................
มาลองคิดๆดูอีกที เป็นไปได้ไหมนะที่มนุษย์ต่างดาวที่อยู่บนโลก จะมาจากดาวคนละดวง?
สมมติว่าดาวเคราะห์ที่มีมนุษย์ต่างดาวหนึ่งดวง ส่งตัวแทนมาสืบข่าวบนโลกหนึ่งคน
โลกที่มีแกแลคซี่จำนวนมหาศาล แต่ละแกแลคซี่มีดาวฤกษ์นับไม่ถ้วน แต่ละดาวฤกษ์ก็มีดาวเคราะห์ของตัวเองหลายๆดวง
มนุษย์ต่างดาวคงต้องเต็มโลกไปหมดแน่ๆ
คิดไปคิดมา บางทีประชากรหลายพันล้านคนบนโลก แต่ละคนอาจจะมาจากดาวคนละดวงเลยก็เป็นได้
มันต้องตลกแน่ๆ ที่แต่ละคนต่างก็จะมานั่งสังเกตคนจากโลกอื่นๆซึ่งไม่เหมือนกันเลยสักใบ แล้วพยายามหาความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันในฐานะโลกมนุษย์ใบเดียว ทั้งๆที่ต่างก็เป็นคนแปลกหน้าผู้มาสำรวจจากโลกใบอื่นด้วยกันทั้งสิ้น
คิดถึงตรงนี้แล้วผมก็อดหัวเราะออกมาดังๆไม่ได้
.......................................................
ผมเข้าอินเตอร์เนต ตั้งกระทู้ ถามโน่นนี่เรื่อยเปื่อย แล้วแต่จะคิดได้
ค้นหาเพลง ค้นหาหนัง ค้นหาคลิปวีดีโอ
ไม่เข้าใจว่าทำไมฮิปฮอบถึงถูกเรียกว่าเพลง
ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ
...................................................
หิมะตกติดต่อกันเป็นวันที่สอง
คืนนี้ผมต้องรอจนดึก ยูกิจังถึงมา
ผมรวบตัวเธอมากอด จูบเธออย่างรุนแรง เธอขัดขืน แต่ไม่นานก็คล้อยตาม
รักยูกิจังนะ ผมบอกเธอ เธอสบตาผมและกลับเป็นฝ่ายโน้มคอผมเข้าไปจูบเสียเอง ลิ้นเล็กๆส่งเข้ามาตวัดพันในปากอย่างชำนาญ
..ปิศาจจิ้งจอกน้อย..
อากศคืนนี้หนาวเย็นกว่าทุกคืน เมื่อผมพยายามเปลื้องผ้ายูกิจังออก เธอยังคงปฏิเสธ
ทำไมล่ะ? ผมบอกรักเธอแล้วไง
ในอินเตอร์เนตบอกว่า ให้บอกรัก แล้วเราจะได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ ไม่ว่าคนหรือปิศาจที่เป็นเพศหญิง
เมื่อถอดไม่ได้ ผมเลยเปลี่ยนมาเป็นฉีกเสื้อผ้าเธอ
น้ำตายูกิจังไหลพราก แต่เธอไม่ส่งเสียงร้องออกมา
ดอกซากุระยังไม่บานเลย เธอบอกเสียงแผ่วเบา ปนสะอื้น ผมไม่สนใจ
ผมไม่รอดอกซากุระอะไรนั่นอีกแล้ว
........................................
บอกอีกที ว่าคุณรักยูกิจังไหม?
เธอถามก่อนที่จะออกจากห้อง ชุดสีขาวที่เธอสวมใส่ดูหม่นในแสงจันทร์ผิดไปจากทุกที ผมของเธอดูไม่แวววาวเหมือนเคย
..
..
สุดท้าย เธอก็จากไป โดยที่ผมไม่ได้ตอบอะไร เมื่อมองตามออกไปนอกหน้าต่าง ผมเห็นเลือดบางหยดหยดลงบนหิมะ
คืนนั้นผมนอนหลับและฝันดี
............................................
ผมฝันบ่อยๆ ไม่ว่าจะฝันดีหรือฝันร้าย
บางครั้งผมฝันว่าฆ่าคน ความรู้สึกผิดบาป หวาดกลัวที่จะถูกจับกุมสั่นระรัวในใจ เมื่อตื่นขึ้นมา ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก บาปทั้งมวลสลายไปเมื่อลืมตาตื่น
ผมแยกไม่ออกว่านั่นคือฝันดีหรือฝันร้าย รู้แค่มันเป็นเพียงความฝัน ซึ่งผมไม่ต้องรับผิดชอบอะไร
ระยะหลังผมจึงปล่อยใจไปกับความฝัน อะไรก็ได้ จะดีหรือจะร้าย ยังไงเดี๋ยวผมก็ตื่นขึ้นมาอยู่ดี
............................................
หลายอาทิตย์แล้วที่ผมไม่เจอยูกิจัง
หิมะตกน้อยลง บางคืนที่หิมะตก ผมก็เผลอหลับไปเสียก่อน หลับสนิท จนบางทีถ้ายูกิจังมาเคาะข้างหน้าต่าง ผมคงไม่ได้ยิน
แต่บางทีเธออาจไม่ได้มาเคาะก็เป็นได้
จะเอาอะไรกับปีศาจหิมะนักหนาล่ะ
..............................................
ผมเดินผ่านตึกที่มีคนพากันไปกระโดดเพื่อฆ่าตัวตายอีกครั้ง
วันนี้ก็มีคนฆ่าตัวตายมากเหมือนๆกับทุกวัน กระโดดลงมาเหมือนอย่างกับฝนตก ดูไปก็เพลินดี
ผมว่าไม่มีใครที่อยากตายหรอก ก็แค่ไม่อยากมีชีวิตอยู่เท่านั้น
ซึ่งมันก็เป็นสิทธิ์ขาดของเจ้าตัวนะ ที่จะเลือกตายหรือเลือกอยู่
ผมไม่ถึงกับรู้สึกดีเวลาเห็นคนฆ่าตัวตาย แต่ก็ไม่เคยนึกเสียใจไปกับเขา
คนอยากตายก็ได้ตายสมใจแล้ว ก็เท่านั้น
............................................
ตามไปเจอกันที่วัด เป็นโน้ตสั้นๆที่แปะไว้หน้าบ้าน จากลุงกับป้าที่ผมมาอาศัยอยู่ด้วยเกือบสองปี
เมื่อผมตามไปถึง ก็มีคนบอกผมว่าลูกสาวคนเล็กของทั้งสองฆ่าตัวตาย เป็นเด็กสาวที่อายุเพิ่งจะสิบสี่เท่านั้นเอง
ลุงกับป้าเสียใจมาก ผมเดินเข้าไปทักทาย ทำหน้าให้ดูสลดนิดหน่อย ลูกสาวของลุงกับป้าชื่ออะไรนะ ผมนึกไม่ออก ผมเคยเห็นหน้าเธอแค่ผ่านๆแค่นั้นเอง ถึงจะบ่อยแต่ก็ไม่เคยตั้งใจมอง
เหลือบไปเห็นรูปที่หน้าศพ อืมม.. เป็นเด็กสาวที่หน้าสวยทีเดียว ผมยาวเหยียดตรงดำขลับ ผิวขาวจนเกือบเรียกได้ว่าซีด
ผมรู้สึกคุ้นหน้าเธอขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็นึกไม่ออกอยู่ดี ว่าเธอชื่ออะไร
ไม่แน่ บางทีเธออาจเป็นมนุษย์ต่างดาวก็เป็นได้
ผมเกือบหัวเราะออกมาดังๆกับความคิดนั้น
............................................