แหละเมื่อนั้นกวีได้ตายแล้ว
แหละเมื่อนั้นกวีได้ตายแล้ว
วาทกรรมน้ำเน่าถูกเล่าใหม่
โดยสายตาผู้หลงใหลในงานเขียน
กองกระดาษขาด-เปื้อนเสมือนบทเรียน
ซึ่งผลัดเปลี่ยนเวียนผ่านอ่านกันไป
เขาปัดฝุ่นหนาเตอะที่เปรอะฝัน
เศษกระดาษเหล่านั้นพลันเกิดใหม่
ค่อยค่อยคลี่ทีละแผ่นอย่างใส่ใจ
ค่อยค่อยลอยล่องในจินตนาการ
ทะลุมิติเวลาอนาคต
ไปปรากฏ ณ ทุ่งดาวอันร้าวฉาน
ดั่งดินแดนมืดดำในตำนาน
กลางหมู่บ้านเดือนดับเมืองลับแล
ชาวหมู่บ้านเดินผ่านก็ผ่านล่วง
ไม่ทักท้วงไม่สนใจไม่แยแส
ต่างรีบเดินดุ่มดุ่มทั้งหนุ่ม-แก่
ไม่มีแม้จะปรายตาหันมามอง
กอไผ่กวัดไกวเพลงวังเวงเศร้า
นกดุเหว่าเคล้าเคียงแผดเสียงร้อง
เดือนดาวต่างหลับใหลในทำนอง
ไม่เมียงมองหมู่บ้านเหมือนผ่านมา
เขาก้าวเดินตามเนินใต้เพิงถ้ำ
เหนือผาง้ำพบถ้อยคำสลักว่า
"ผู้ใดทะลุผ่านกาลเวลา
จงไปหาแม่น้ำแห่งความลับ"
ทั้งท้องธารน่านน้ำนั้นเย็นเยียบ
เพลงเหงาเงียบรัตติกาลก็ขานขับ
สายน้ำในยามดึกอันลึกลับ
ก็กลายกลับเป็นคันฉ่องส่องสะท้อน
เขาค่อยค่อยเหลือบมองคันฉ่องนั้น
โดยพรึงพรั่นตัวสั่นราวขวัญอ่อน
แล้วรูปเงาความลับอันซับซ้อน
ก็หมุนย้อนให้เห็นความเป็นไป
กวีตายแล้ว!
กระซิบแผ่วแว่วผ่านกาลสมัย
ภาพสะท้อนต่อหน้าเขาคือเตาไฟ
ที่เผาไหม้ผู้ชี้ชัดสัจธรรม
ชาวหมู่บ้านเดือนดับลับแลนี้
คืออดีตกวีที่ถูกเหยียบย่ำ
ปรารถนาจะลบล้างความทรงจำ
ลบถ้อยคำนิยามความเป็นกวี
วาทกรรมน้ำเน่าเล่าอีกครั้ง
ผู้ใดยังไม่ฟังเชิญทางนี้
เมื่อใดสัจธรรมถูกย่ำยี
แหละเมื่อนั้นกวีได้ตายแล้ว
ณิศตะ
9 ธันวาคม 2552