เรารักกวีซีไรต์ !!!
น้าครับน้า ช่วยผมด้วย
คือน้องเอ้เผลอเขียนเรื่องเข้าเรื่องหนึ่ง
ตอนแรกกะว่าจะเป็นเรื่องสั้น
แต่ทำไปทำมา
พวกตัวละครในเรื่องเค้าไม่ยอมจบกันง่ายๆ
เลยสงสัยว่าจะยาวเป็นนิยายเลย
คราวนี้ผมมีปัญหานิดนึงฮะน้า
เรื่องนี้ผมกะว่าไม่อยากจะเขียนภาษาบ้าๆบอๆเหมือนเดิม
ไอ้พวก ไม๊ มั๊ง ก๊ากกกกก อะไรอย่างนี้คงไม่มี
แต่คราวนี้มันติดอยู่ตรงที่ว่า
เวลาตัวละครผมมันพูดกันน่ะฮะ อยู่ในเครื่องหมายคำพูด
ถ้าน้องเมขลาผมจะพูดว่า "ฉัน" นี่
แต่ผมอยากให้คนอ่านออกเสียงว่า "ชั้น"
ผมจะเขียนออกมาเป็น "ฉัน" หรือ "ชั้น" ดีอ่ะครับน้า
เอาแบบที่ชาวบ้านชาวช่องเค้าเขียนกัน
(นี่ไง ไอ้ "เขา" กับ "เค้า" นี่ก็ด้วย
เอาไงดีล่ะครับน้า
ตามขนบธรรมเนียนประเพณีนักเขียนเค้าต้องเขียนกันยังไงอ่ะครับ
น้าช่วยบอกเค้าทีน๊า !!!
บทที่ 1
แสงแดดยามเช้าลอดผ่านขอบหน้าต่างมากระทบหัวเตียง ลมหนาวพัดเอื่อยเข้ามาปะทะแก้มของเธอ เหมือนใครซักคนกระซิบแผ่วที่ข้างหูให้เธอล่วงรู้ว่าถึงเวลาเช้าแล้ว
เมขลาลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก เมื่อคืนเธอกลับมาถึงบ้านหลังเที่ยงคืนและกว่าจะได้เข้านอนก็ร่วมตีสอง เพิ่งเจ็ดโมงเช้าเอง เธอพึมพำหลังวางนาฬิกาปลุกลงบนหัวเตียง เมขลาหลับตาลงอีกครั้ง แต่ไม่นานนักเธอก็ต้องตื่นเพราะมีเสียงใครซักคนมาตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้าน
เมย์ๆ ตื่นหรือยัง เมย์ ตื่นเถอะ เสียงชายที่เธอคุ้นเคยเรียก เมขลาลุกขึ้นชะโงกหน้ามองจากหน้าต่างลงมา มีอะไรหรือเจน มาปลุกเมย์แต่เช้าเนี่ย ลงมานี่สิ แล้วเจนจะบอก เพื่อนชายของเธอบอก
เมขลาลงมาเปิดประตูให้เพื่อนของเธอเข้ามาในบ้านทั้งที่ยังใส่ชุดนอนอยู่ ระหว่างเธอและเขาไม่มีอะไรต้องอายมากมายเพราะทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่แรกเกิด
มีอะไร มาปลุกแต่เช้า เมื่อคืนอยู่ด้วยกันทั้งคืนยังไม่พออีกหรือ เมขลาถาม เจนนั่งลงบนโซฟาก่อนตอบ นี่ๆ เมื่อเช้าชั้นได้รับโทรศัพท์ มีคนจะจ้างเราไปเล่นเพลงในงานแต่งงานอีกแล้วนะ เมื่อคืนคุณป้าคนนี้แกไปงานเมื่อคืนเห็นเราสองคน แล้วพอดีลูกสาวแกจะแต่งงานสิ้นเดือนนี้พอดี แกเห็นเธอกับชั้นแล้วก็ชอบเลยขอเบอร์จากเจ้าภาพเมื่อคืนแล้วโทรมาตามเราน่ะ วันที่ยี่สิบห้านี้ เมย์โอเคไหม
เมขลาตกลง จริงๆแล้วเธอไม่จำเป็นต้องคิดอะไร เพราะระหว่างสองคนนี้เจนจะเป็นคนจัดการเรื่องของวง เป็นคนหางานและเป็นคนจัดคิวงานทุกสิ่งทุกอย่าง เมขลามีหน้าที่อย่างเดียวคือร้องเพลงให้เพราะที่สุดเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเจนก็รู้อยู่แก่ใจแล้วล่ะว่าเมขลาจะว่างวันไหน
เจนบอกเธอให้รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วรีบไปซ้อมเพลงกันที่บ้านของเขา
เร็วๆเข้านะ อย่าให้ต้องมาตามอีก เขาสั่งก่อนจะเดินออกจากบ้านไป
เมขลาเดินกลับขึ้นห้องนอนไป แต่เธอไม่ได้ทำตามที่เพื่อนชายของเธอบอก พอถึงห้อง เธอก็ล้มตัวลงนอนอย่างสบายอารมณ์
เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งเมขลาต้องงัวเงียตื่นเพราะได้ยินเสียงกีต้าร์กรีดทำนองเพลงที่เธอคุ้นเคยอยู่ใกล้ๆหู
อะไรกันเนี่ยเจน ขนขึ้นมาเล่นบนห้องเมย์เลยหรือ
ชายหนุ่มหยุดมือและเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสาว ชั้นต่างหากที่ต้องถามว่าอะไรกันเนี่ย เธอลืมเวลาซ้อมดนตรีของเรายังไม่พอ ยังจะขึ้นมานอนหลับตาพริ้มอย่างมีความสุขอยู่บนนี้เนี่ยนะ
เมขลานึกขึ้นได้ว่าเจนสั่งให้เธออาบน้ำแต่งตัวไปซ้อมดนตรีนี่นา
อุ้ย เค้าลืมอ่ะ หญิงสาวพูดเสียงอ่อยพร้อมส่งสายตาขอโทษเพื่อน
ก็เป็นซะอย่างนี้นี่ ถึงได้ไม่มีใครมาจีบ เพื่อนหนุ่มพูดแล้วเดินถือกีต้าร์ลงไปข้างล่าง ส่วนหญิงสาวได้แต่เบ้ปากแล้วค้อนให้เขาวงใหญ่ตามหลังไป
เมขลาลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินตามลงไป ที่โซฟาเจนนั่งซ้อมกีต้าร์อยู่ หญิงสาวเดินเข้าครัวไปหยิบน้ำมาให้ เอ้า กินน้ำซะหน่อยจะได้อารมณ์ดีๆ เธอยื่นแก้วน้ำให้พร้อมรอยยิ้ม
มีเวลาว่างมากเหลือเกินนะแม่คุณ เจนรับน้ำมาวางไว้บนโต๊ะโดยไม่ดื่ม มาเริ่มกันได้แล้ว พรุ่งนี้ก็ต้องไปงานแต่งคุณจอย เราไม่ได้มีเวลาว่างมานอนตื่นเที่ยงอย่างนี้หรอกนะ
เมขลายิ้มเขินๆไม่ได้พูดตอบอะไร ได้แต่หยิบโน้ตเพลงประจำตัวขึ้นมา
แค่คืบเท่านั้น ฉันเฝ้างงงันมิกล้าเอ่ย ...
ทั้งสองคนเริ่มซ้อมเพลงกันเช่นเคย เหมือนตอนที่เริ่มต้นกันเมื่อสิบปีก่อนเมื่อตอนที่ทั้งคู่อายุสิบห้า
บทที่ 2
เมื่อครั้งทั้งสองคนยังเด็กด้วยความที่บ้านอยู่ติดกัน พ่อแม่ก็รู้จักกันดี เด็กชายเจนวิทย์และเด็กหญิงเมขลาก็กลายเป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่ยังแบเบาะ พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศเหมือนกัน และครั้งใดที่ผู้ปกครองของใครคนหนึ่งต้องไปต่างประเทศ ลูกๆก็ต้องย้ายที่นอนไปฝากนอนบ้านเพื่อน เจนและเมขลาจึงนอนด้วยกัน กินด้วยกัน เล่นด้วยกันมาจนโต
และแล้ววันเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงก็มาถึง เมื่อตอนทั้งสองอายุได้สิบเอ็ดขวบ พ่อแม่ของเมขลาไปต่างประเทศนานหลายเดือนเธอจึงต้องมาอาศัยอยู่ที่บ้านเจนตามเคย แต่คราวนี้เองเมขลาก็ได้ค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบ
คราวนั้นน้าติ๋วน้องของแม่เจนมาค้างด้วยเพราะเธอตั้งท้องใกล้คลอดและบ้านของเจนอยู่ใกล้โรงพยาบาลมากกว่าบ้านของเธอ อีกทั้งแฟนของน้าติ๋วก็ต้องไปทำงานต่างจัวหวัด แม่ของเจนจึงให้น้าติ๋วมาอยู่ด้วยจนถึงกำหนดคลอด
แต่น้าติ่วไม่ได้มาตัวเปล่า เธอนำซีดีเพลงเก่ายุคสุนทราภรณ์ติดตัวมาด้วยมากมาย และนั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นที่นำเมขลาให้พบกับความงดงามของเสียงเพลงโบราณเหล่านั้น
เมื่อคิดให้ดีโลกนี้ประหลาด บุพเพสันนิวาสที่ประสาทความรักภิรมย์ ... เสียงท่วงทำนองอันไพเราะบวกกับบทประพันธ์เนื้อร้องอันงดงามทำให้เด็กหญิงเมขลาถึงกับหยุดวิ่งเล่นได้ชั่วคราว
เพลงอะไรน่ะเจน เธอถามเด็กชายเจนที่วิ่งเล่นอยู่
ไม่รู้เหมือนกันสิ แต่ชั้นได้ยินน้าติ๋วเปิดบ่อยๆ เขาตอบ
เมขลาหลับตาฟังเพลงนั้นจนจบและเดินเข้าไปในบ้านของเพื่อนเพื่อไปหาต้นกำเนิดของเสียงเพลงนั้น
น้าติ๋วนั่งอยู่ที่โซฟา ท้องของเธอใหญ่มากแล้ว แต่น้าติ๋วไม่ได้มีท่าทางที่ดูเหมือนสิ่งนั้นเป็นส่วนเกินของร่างกายเธอเลย กลับกันเธอกลับดูท่าทางมีความสุขอยู่ตลอดเวลา
ว่าไงจ๊ะสาวน้อย มาหาน้านี่มา น้าติ่วเรียกเมื่อเห็นเมขลาเดินเข้ามาในบ้าน
น้าติ๋วคะ เมขลาเอ่ยปาก เพลงเมื่อกี้ที่น้าติ๋วเป็ด เป็นเพลงอะไรหรือคะ เมย์ว่ามันเพราะมากเลยล่ะค่ะ
น้าติ๋วทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นเด็กหญิงอายุสิบขวบถามถึงเพลงโบราณอย่างบุพเพสันนิวาส
เมย์ชอบหรือจ๊ะน้าไม่อยากจะเชื่อเลยที่เด็กรุ่นหนูจะชอบเพลงบุพเพสันนิวาส
บุพเพสันวาส เมขลาทวนคำ แปลว่าอะไรนะ
น้าติ๋วหัวเราะชอบใจใหญ่ แปลยังไม่ออกเลย แล้วจะชอบได้ยังไงเนี่ย
เมขลายิ้มอายๆก่อนบอก ก็ฟังแล้วมันเพราะนี่นา เด็กสาวพูดเสียงอ่อย
เอาเถอะจ้ะเมย์ น้าล้อเล่นหรอกน่า อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิจ๊ะ น้าติ๋วพูดพร้อมดึงหนูน้อยมากอด
ถ้าหนูชอบนะ หนูก็มาหยิบไปฟังได้ตลอดเวลาเลยนะ ในห้องของเจนก็มีวิทยุนี่ เมย์เอาไปได้เลยนะ น้าวางไว้ที่ในตู้นี่แหละ
นั่นเป็นต้นกำเนิดของความหลงใหลในเพลงเก่ายุคคุณปู่ เมขลาไม่รู้ว่าอะไรทำให้เธอหลงยุคไปได้ขนาดนั้น แต่ถ้าเทียบกับเพลงสมัยใหม่ที่เปิดกันตามวิทยุอยู่ทุกวันนี้เมขลาคิดว่า เธอยอมเกิดมาหลงยุคอย่างนี้จะดีกว่า
ไม่นานหลังจากนั้นเมขลาก็เห็นเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งเข้ามาอยู่ในบ้านของเจน อะไรน่ะเจน เด็กหญิงร้องถามเมื่อเห็นเพื่อนหยิบเครื่องดนตรีนั้นขึ้นมาเล่น กีต้าร์ไง เมย์ไม่เคยเห็นเหรอ เจนขอให้คุณพ่อซื้อให้น่ะ ว่าจะลองหัดเล่นดู
เมขลาฟังเสียงกีต้าร์ที่เพื่อนเล่นซักพักก็พูดขึ้น เจนเล่นเพลงบุพเพสันนิวาสให้เมย์ฟังได้ไหม ...
นั่นเป็นจุดเริ่มตันของทั้งสองคน เมื่อตอนอายุสิบห้าเจนเริ่มเล่นกีต้าร์คล่องขึ้นและเมขลาก็ร้องเพลงเพราะขึ้นมาก ครูของเธอคือซีดีที่น้าติ๋วให้มานั่นเอง เมื่อตอนสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ ทั้งสองคนก็เริ่มต้นรับงานเล่นดนตรีในงานแต่งงานโดยพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ห้ามปรามเพียงแต่บอกให้ตั้งใจเรียนเป็นหลัก ห้ามทิ้งการเรียนเด็ดขาด จนกระทั่งเมื่อทั้งสองเรียนหนังสือจบก็สอบเข้าทำงานได้ที่กระทรวงการต่างประเทศสมใจพ่อแม่ของทั้งคู่ แต่จนแล้วจนรอดด้วยความรักในเสียงเพลงโบราณทั้งสองก็ยังรับงานเล่นดนตรีตามงานแต่งงานอยู่เรื่อยมานั่นเอง
ทำไมไม่เลิกเล่นกันซะทีล่ะลูก น้าติ๋วถามเมขลาเมื่อคราวมาเยี่ยมแม่ของเจนที่บ้าน
ก็เมย์รักของเมย์นี่คะน้าติ๋ว เด็กสาวยิ้มกว้าง
น้าติ๋วยิ้มให้แล้วกันไปถามหลานชายเธอบ้าง แล้วเจนล่ะ ไม่คิดจะเลิกบ้างหรือลูก
หนุ่มน้อยทำหน้าแปลกๆเหมือนไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบยังไง ก็แล้วแต่เมย์เค้าล่ะมั๊งครับน้า เมย์เค้าชอบเจนก็คงต้องชอบด้วย เมย์เค้าจะเลิกเมื่อไหร่ เจนกเลิกเมื่อนั้นล่ะม๊งครับ
ทำไมต้องมี มั๊ง ล่ะจ๊ะ น้าติ๋วพูดยิ้มๆ ถ้าอย่างนี้ถ้าเมย์เค้าจะร้องเพลงไปเรื่อยๆ เรามิต้องตามไปเล่นกีต้าร์ให้เขาจนแก่เลยหรือจ๊ะ
เจนหันหน้าไปมองเพื่อนสาว เห็นเธออมยิ้มแก้มป่องคงจะชอบใจคำถามของน้าสาวเพื่อน
แล้วเธอจะร้องเพลงครูเอื้อไปจนแก่ไหมล่ะ เจนถามเพื่อน
เด็กสาวไม่ตอบเป็นคำพูดแต่ร้องออกมาเป็นเพลง ชั่วดินฟ้ารักเธอเสมอใจที่ฉัน รำพันทุกวันฝันไปถึงเธอ ...
จากวันนั้นจนวันนี้ทั้งสองก็ย่างเข้าเบญจเพสแล้วทุกสิ่งทุกอย่างยังเหมือนเดิมตอนกลางวันทั้งคู่นั่งทำงานอยู่ในห้องเดียวกัน ตกกลางคืนก็ขึ้นเวทีเดียวกัน ชายหนุ่มมีกีต้าร์อยู่แนบกายส่วนหญิงสาวก็มีไมโครโฟนเป็นอาวุธ ทั้งคู่ใช้เสียงเพลงโบราณขับกล่อมผู้คนในงานแต่งงาน แต่ใครจะรู้ว่าเสียงเพลงที่ขับขานออกมา คนร้องร้องขับขานเพื่อสร้างความบันเทิงใจให้ตัวเองเท่านั้นเอง
.......................................................................