ในโมงยามนาที อันสิ้นไร้
จึงดาวดับค่ำนี้ที่เบื้องฟ้า
ร้างกระทั่งหมู่ดาริกาฉาย
ไร้กระทั่งหิ่งห้อยมาเดียวดาย
เงียบกระทั่งเม็ดทรายมิเคลื่อนเงา
อาจเป็นค่ำของฉันอันดึกดื่น
ฉันยังตื่นเสาะหาสักความเศร้า
ยังคงคอยสายลมแม้นแผ่วเบา
คอยบางอย่างรุกเร้า ให้เข้าใจ
โปรดแวะทักฉันบ้างเถิดหิ่งห้อย
แสงวอมวับเล็กน้อยอาจทำให้
บางสัมผัสดึงฉันให้กลับไป
สู่ภาวะภายในอันเคยเป็น
เป็นบทกวีสักหนึ่งบท
เป็นทั้งพจน์ ทั้งภาพที่เคยเห็น
เป็นทั้งความปรารถนาอันลับเร้น
เป็นทั้งความขับเค้นทั้งเฟ้นคำ
ปรารถนาดอกไม้และเปลวไฟ
เริงไหม้ทั้งหมดจนแดงก่ำ
กลางถ่านเถ้าตะกอนฟอนสีดำ
ย่อมความสดฉ่ำจะกลับคืน
แวะทักทายฉันบ้างเถิดหิ่งห้อย
แสงกระจ้อยร่อย วอมนั้น ยามฉันตื่น
อาจจุดเพลิงลุกไหม้ในกองฟืน
อาจเป็นความสดชื่นเหนืออื่นใด
ฉันต้องการสภาวะเช่นนั้น
แห่งดวงใจฉันควรอ่อนไหว
แม้นสัมผัสแผ่วบางมาอย่างไร
ดวงใจแห่งฉันจักหลั่งริน
โอ บัดนี้ฉันหยาบกระด้าง
มิรู้จักไหวว้าง จนสูญสิ้น
มิอาจเห็นขนนกนั้นโบยบิน
หรือน้ำค้างดับดิ้นเมื่อสิ้นจันทร์
เถอะ ฉันจะกลับไป อย่างไรดี
สู่วิถีบทกวี ณ ที่นั่น
กระท่อมเก่า ตลิ่งดาว ลานตะวัน
ฉันสูญสิ้นไปทั้งนั้น ณ วันนี้
หยุดทักทายฉันบ้างเถิดหิ่งห้อย
แสงกระจ้อยร่อยวอมนั้นอาจพอที่
ฉันร่ำไห้ไปกับความไม่มี
ในโมงยามนาที อันสิ้นไร้!
กวิสรา 2 มิถุนายน 2553 เที่ยงคืนห้านาที