ภาพเล่าเรื่อง "My Work"
...
ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเวลาจะมีความสำคัญกับชีวิตของผมมากขนาดไหน จนกระทั่ง เมื่อนาฬิกาข้อมือของผมหยุดเดินเอาดื้อ ๆ เมื่อวานนี้ ตอนที่ผมกำลังจะออกไปรับลูกชาย ที่เลิกจากโรงเรียนตอนบ่ายสี่โมงครึ่ง แต่เข็มนาฬิกาของผมมันยังบอกเวลาสิบเอ็ดโมง สิบเจ็ดนาที
แม้กระนั้นผมก็ยังคงคาดนาฬิกาเรือนนั้นไว้กับข้อมือ มันเป็นความเคยชินมากกว่าความจำเป็น
เพราะระยะทางจากบ้านผมไปถึงโรงเรียนลูกชายใช้เวลาเดินทางไม่เกินสิบนาที แถมยังเผื่อ
เวลารอคอยไว้อีกเล็กน้อย ช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงต่อไปนี้ผมคงไม่มีความจำเป็นต้อง
พลิกข้อมือขึ้นมาดูเวลา แต่ความจริงกลับกลายเป็นว่าผมเหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือซ้ายบ่อยครั้ง
กว่าปกติ และทุกครั้งที่มองดู เข็มนาฬิกาก็ยังคงหยุดนิ่งอยู่ที่สิบเอ็ดโมง สิบเจ็ดนาที
ความรู้สึกระหว่างเวลาที่เป็นจริง และเวลาที่หยุดนิ่งของเข็มนาฬิกา รบกวนสมาธิของการมีชีวิต ในครึ่งชั่วโมงสั้น ๆ ของผมอย่างน่าประหลาดใจ
...
ผมขี่จักรยานออกกำลังกายทุกเช้า หลังจากที่ส่งลูกชายไปโรงเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เส้นทาง ที่ผมใช้ขี่จักรยานก็มักจะเป็นเส้นทางซ้ำ ๆ ที่ผมเคยขี่ผ่านมาแล้วไม่รู้กี่ร้อยรอบ นาฬิกาข้อมือที่ หยุดเดินเรือนนั้นยังคงเคลื่อนที่ไปกับผม และผมตั้งใจว่าจะหาร้านซ่อมนาฬิกาเพื่อเปลี่ยนถ่าน ตรวจเช็คสภาพ เพื่อให้มันกลับมาทำหน้าที่ของมันเหมือนเดิม ก่อนถึงหมู่บ้านปิ่นเจริญ 3 บนถนน สรงประภา ผมเหลือบไปเห็นร้านรับซ่อมนาฬิกาเล็ก ๆ ตั้งอยู่หน้าร้านขายยาใต้สะพานลอยคนข้าม มีตัวหนังสือสีเขียวจาง ๆ บนแผ่นป้ายสีขาวตุ่น ๆ เขียนข้อความว่า
"ลุงนินาฬิกา"
ผมชลอรถจักรยานก่อนจะยกรถขึ้นบนฟุตบาทและจูงไปจอดที่ใต้สะพานลอย ชายชราท่าทางอารีย์ นั่งอยู่ที่ด้านหลังตู้กระจกเล็ก ๆ บนพื้นที่โต๊ะแคบ ๆ มีเครื่องมือการซ่อมบำรุงนาฬิกาถูกจัดวางไว้ อย่างเป็นระเบียบภายใต้แสงจากโคมไฟดวงเล็ก ๆ ผมเอ่ยคำทักทายชายชราพร้อมถอดนาฬิกาข้อมือ ของผมส่งให้ก่อนจะบอกเล่าอาการราวกับการไปพบแพทย์ในโรงพยาบาล
"สงสัยถ่านหมดนั่นแหละ เปลี่ยนถ่านอย่างเดียวก็คงเรียบร้อยแล้ว ยี่ห้อนี้เครื่องทำในญี่ปุ่นแท้ ๆ ไม่ค่อยมีปัญหาหรอก เดี๋ยวลุงจัดการให้" ชายชราวิเคราะห์อาการของนาฬิกาข้อมือของผมให้ฟัง อย่างละเอียด ก่อนจะลงมือจัดการเปิดฝาหลัง ระหว่างนั้นผมเลยชวนคุยเพื่อขอความรู้ และได้ขอ อนุญาตบันทึกภาพการทำงานของช่างซ่อมนาฬิกามือโปร คุณลุงนิเปิดยิ้มอย่างอารมณ์ดีและอนุญาต ให้ผมบันทึกภาพของท่านได้ ... ขอบพระคุณมากครับ
คุณลุงนิ เล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนท่านไม่ได้อยู่แถวนี้หรอก เคยเปิดร้านรับซ่อมนาฬิกาอยู่แถว ๆ ถนนช่าง อากาศอุทิศ ซื้ออพาร์ทเมนท์อยู่แถวนั้น ภายหลังลูกสาวของคุณลุงซึ่งเปิดร้านขายข้าวขาหมู ข้าวหมูแดง ข้าวหมูกรอบ ชวนมาอยู่ด้วยกันตรงนี้ คุณลุงเลยย้ายร้านรับซ่อมนาฬิกามาเปิดบริการที่นี่ ส่วนอพาร์ทเมนท์ ก็ให้คนเช่า เมื่อผมถามว่าคุณลุงอายุก็มากขนาดนี้แล้วทำไมยังไม่หยุดทำงาน คุณลุงนิตอบผมว่า
"งาน .. ทำให้ชีวิตของคนเรามีค่า ลุงชอบนาฬิกา อยู่กับมันมาหลายสิบปี ซ่อมนาฬิกาจนส่งลูก ๆ เรียนหนังสือจนจบ เขาก็อยากให้หยุดพัก เขากลัวว่าเราจะเหนื่อย แต่เขาอาจจะลืมไปว่าความหมาย ของนาฬิกาเรือนหนึ่ง มันอยู่ที่การต้องเดินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง พวกเขามีวันนี้ได้ก็เพราะลุงทำให้ นาฬิกาที่หยุดเดินไปเรือนหนึ่งกลับมาทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง การได้ทำหน้าที่ตรงนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และถ้าลุงยังมีลมหายใจ ลุงจะทำหน้าที่ของลุงต่อไปเรื่อย ๆ ให้เหมือนเข็มวินาที"
ตลอดเวลาของการพูดคุย ผมสังเกตุว่าคุณลุงนิมุ่งมั่นกับการทำงานของคุณลุงเป็นอย่างมาก รายละเอียด เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่ปล่อยให้หลุดรอดสายตาอันคมกริบของท่านไปได้ ถึงขนาดที่เอาแปรงมาไล่ขัดคราบ สนิมเล็ก ๆ ที่แทรกตัวอยู่ระหว่างข้อต่อของสายนาฬิกา รอยขีดข่วน รอยถลอก คุณลุงนิก็เอากระดาษทราย ละเอียดไล่ขัดลบรอยให้อย่างประณีต ชั่วเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงนาฬิกาข้อมือคู่ใจของผมก็กลายร่างกลับมา เหมือนใหม่อย่างไม่น่าเชื่อ
เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่แสนประทับใจของเช้าวันนี้ เมื่อคุณลุงนิส่งมอบนาฬิกาข้อมือที่ท่านบรรจงซ่อม คืนมา
สู่ข้อมือของผม เวลาที่หยุดนิ่งไปตั้งแต่เมื่อวานกลับคืนมาและเริ่มออกเดินไปข้างหน้า ผมรู้สึกถึงความหมายของ
เวลาได้ดีมากขึ้นกับบทสนทนาของผมกับคุณลุงนิ และเริ่มตั้งคำถามบางอย่างกับตัวเองว่า
ผมได้ทำหน้าที่ของผม .. ได้สมบูรณ์พร้อม พอที่จะบอกตัวเองว่าผมเป็นคนที่มีค่า เช่นเดียวกับลุงนิหรือไม่ ?
...
ระหว่างทางที่ผมขี่จักรยานกลับบ้าน ผมนึกถึงฉากที่ผู้กองมิลเร่อร์ พูดกับพลทหารฌอน ไรอันส์ บนสะพานก่อน ที่เขาจะสิ้นใจว่า
"อยู่ ... ให้คุ้มค่า"
ให้ตายเถอะ ... ทำไมผมรู้สึกว่าผมเห็นภาพตัวเองเป็นพลทหารฌอน ไรอันส์ แล้วคุณลุงนิช่างซ่อมนาฬิกา
เป็นผู้กองมิลเร่อร์ ........
.