บทสนทนาของคนกับดอกไม้
เมื่อวานอากาศแจ่มใส เพราะเมื่อวานซืนฝนตกหนัก
สายฝนเทลงมายังกับฟ้ารั่ว ต้นไม้ ต้นหญ้าดอกไม้พากันได้ชุ่มฉ่ำ
วันหลังจากฝนตก มักเป็นวันที่ดีเสมอสำหรับผม
ผมเฝ้าดูปรากฎการณ์ทางธรรมชาติหลังฝนตกเสมอ
ดอกไม้ ใช่ดอกไม้ เมื่อวานยามเช้ามีสายแดดงดงามมาก
มากจนแลเห็นความสดใสของดอกไม้ริมทางเดิน
ดอกไม้ริมทางเดินที่ผมเห็นเมื่อวานคือดอกบัวดิน
ทิวแถวของดอกบัวดินสวยงดงามราวๆกับขบวนทิวลิป
ดอกบัวดินคือดอกไม้ตระกูลเดียวกับต้นหอม
ลำต้นคล้ายๆ ต้นหอม มีหัวฝังในดิน บัวดินมีชื่อเป็นทางการ
คือ Zephyranthes grandiflora (AMARYLLIDACEAE)
ดอกมีหลากหลายสี เช่น สีขาวปนเหลือง สีชมพู สีเหลือง สีขาว
และ(คนสวนบอกว่ามีสีม่วงอีกด้วย) สีม่วงยังไม่เคยเห็น
เมื่อวานโชคดีตรงที่ขณะเพลินกับการชมดอกบัวดินชู่ดอกสู่ฟ้า
ได้คุยกับคนสวน เขาผละจากงานพรวนดินมาคุยกับผม
เขาเห็นผมสนใจดอกไม้เลยให้ความรู้แก่ผมหลายอย่างเกี่ยวกับดอกบัวดิน
เขาว่าดอกบัวดินทนต่อสภาพอากาศ บางทีช่วงไร้ฝนดูราวกับมันจะตาย
แต่จริงๆ เธอยังอยู่ ยังรอสายฝนโปรยปรายหยาดแห่งความเย็น
แต่ดอกบัวดินจะบานได้ไม่นาน มากสุดถึงสามวันก็จะเฉา
คนสวนบอกว่าถ้าปลูกลงกระถางจะไม่ค่อยให้ดอกดีเท่าไร
เขาเล่าว่าบางคนเอาไปปลูกแล้วรดน้ำทุกวัน ก็ไม่ให้ดอกงามเช่นกัน
ดอกบัวดินอุ้มน้ำ สะสมน้ำในหัวของเธอ
ผมคุยกับคนสวนเพลินจนลืมทักทายดอกบัวดิน
ผมเดินทักทายดอกบัวดินหลากสีท่ามกลางสายแดดยามเช้า
แล้วผมก็จากพวกเธอไป ผมสบายใจและรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่สุด
ที่ได้มีโอกาสชื่นชมความงามของพวกเธอ
แล้วยามเย็นมาถึงฝนก็สาดลงมาอีก สาดมาแบบแรงๆ
แรงกว่าสาดตอนสงกรานต์เสียอีก ผมรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย
ครุ่นคิดไปว่าบัวดินจะชอกช้ำไหมหนอ
พอฝนจากไป ผมแอบไปดูมวลดอกไม้ที่ผมชื่นชมยามเช้า
พวกเธอล้มระเนระนาดไม่เป็นท่า ผมเดาไม่ผิด ฝนต้องทำให้พวกเธอล้มแน่
ใช่แล้วตอนเย็นของเมื่อวานผมชมดอกไม้ล้ม เป็นอีกภาพที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นบ่อย
แต่มันเป็นไปตามกฎแห่งธรรมชาติ ไม่ใช่กฎแห่งกรรม เพราะดอกไม้ไม่เคยก่อกรรมกับใคร
ผมเหมือนเป็นสหายของพวกเธอ ที่เป็นห่วงเป็นใยพวกเธอเสมอ
วันนี้อีกวันที่ผมตื่นเช้า แล้วสิ่งแรกที่ทำคือมองไปยังมุมของดอกบัวดิน
ผมเห็นพวกเธอพากันยืนเป็นแถวแข็งแรงดี รู้สึกโล่งใจพิกล
วันนี้ผมดื่มกาแฟ แล้วรับประทานขนมชิ้นหนึ่ง แล้วเดินออกไปคุยกับดอกบัวดิน
ผมเดินไปยังไม่ถึงพวกเธอเลย ผมได้ยินเสียงพวกเธอต้อนรับมาแต่ไกลเชียว
"ชายหนุ่มคนนั้นมาอีกแล้ว
เมื่อวานเห็นเขาจ้องพวกเราตาเป็นมันเชียว
ทำยังกับเราเป็นดรุณีสาวเชียว"
'สวัสดีดอกบัวดิน
พวกเธอสบายดีกันหรือเปล่า
เมื่อวานผมเป็นห่วงพวกเธอแย่เลย
ตอนฝนตกน่ะ'
"นายชื่ออะไรเหรอ
นายคือใครล่ะ"บัวดินสีเหลืองตั้งคำถามแก่ผม
'ผมเหรอ ผมชื่อปุถุชน ครับ
ผมคิดว่าผมเป็นกวีน่ะ'
"ทำไมชื่อแปลกจัง"บัวดินสีขาวปนเหลืองถามขึ้นมา
'ชื่อผมเหรอแปลก ชื่อพวกเธอสิแปลกกว่าอีก
ดอกบัวดิน ผมไม่เห็นพวกเธอจะเหมือนดอกบัวตรงไหนเลย '
"ทำไมต้องคิดว่าตัวเองเป็นกวีด้วย?"บัวดินสีขาวถามผม
'เพราะผมรู้สึกว่าผมเป็นกวีสิ ผมเลยคิดว่าผมเป็นกวี
ใครถามผม ผมชอบที่จะตอบว่าผมเป็นกวี'
"กวีเป็นตำแหน่ง หรือเป็นหน้าที่การงานหรือเปล่า?
บัวดินสีเหลืองดอกเล็กที่สุดถามอย่างสงสัย
'กวีไม่ใช่ตำแหน่ง ไม่ใช่หน้าที่การงาน
แต่เป็นพันธกิจที่ผมมีต่อความรู้สึกของตนเอง'
"นายเขียนบทกวีมากไหม
เคยตีพิมพ์ที่ไหนหรือเปล่า
เราเคยได้ยินมาว่าประเทศนี้
มีรางวัลที่ตั้งขึ้นมา
เรียกว่าอะไรน่ะ สีไรด สีไรช
นายสนใจรางวัลนี้หรือเปล่าล่ะ?
'ผมเหรอ ผมเขียนทุกครั้งที่ผมรู้สึกต้องเขียน
หรืออยากเขียน หรือทุกครั้งที่มีแรงกระทบให้ผมต้องเขียน
งานของผมยังไม่เคยตีพิมพ์ที่ไหน ส่วนใหญ่ผมเขียนเก็บไว้
บางครั้งผมเอาไปลงตามเว็บไซตในอินเตอร์เน็ต ก็มีกลุ่มคนอ่านบ้างพอสมควร
ซีไรต์ นั่นเหรอ รางวัลซีไรต์ ใช่ ปีนี้เป็นปีของบทกวี
โดยส่วนตัวของผมแล้ว ไม่ได้ให้ความสำคัญกับรางวัลนี้สักเท่าไร
เพราะผมเขียนบทกวีมิได้มุ่งหวังรางวัลใดใด
แต่ก็ส่งประกวดบ้างเหมือนกัน บางบทได้เข้ารอบ
เห็นทางผู้จัดเขาบอกมาว่ากำลังเนินการพิมพ์อยู่'
"นายส่งประกวดที่ไหนเหรอ แล้วส่งบทไหนไปล่ะ?
บัวดินอาวุโสถามบ้าง
'ผมส่งประกวดที่สมาคมฝรั่งเศส เป็นเทศกาลฤดูกาลใบไม้ผลิแห่งบทกวี
หัวข้อที่เขากำหนดคือ ความหวัง ผมส่งบทกวี[บอกพระเจ้าด้วย...หิวข้าว]
"งั้นพวกเราเรียกนายว่ากวีปุถุชนก็แล้วกัน"