ต้อนรับซีไรต์ด้วย "โอบปีกภูเขาใต้เงาเช้า"
โอบปีกภูเขาใต้เงาเช้า
เขาอาจจะมีชื่อที่ค่อนข้างเงียบเหมือนบุคลิกของเขา โส- สิระ พล อักษรพันธ์ กวีหนุ่มแห่งหุบภูทะเลตะวันตก สร้างชื่อมาเรื่อยๆเรียงๆร่วมรุ่นกับ วิสุทธิ์ ขาวเนียม , อภิชาต จันทร์แดง , พิเชษฐศักดิ์ โพธิ์พยัคฆ์ ฯลฯ ที่ปัจจุบันขยับรุ่นขึ้นไปสู่รุ่นกลางแล้ว และนี่เป็นโอกาสอันดีอันเหมาะเหลือเกิน สำหรับการจะรวบรวมงานที่กระจัดกระจายตามที่ต่างๆ ให้เป็นสัดส่วนในรูปเล่มสวยงาม
โอบปีกภูเขาใต้เงาเช้า รวมบทกวีเล่มแรกของเขา พิมพ์โดย นกเช้าสำนักพิมพ์ โดยมี โสพล อักษรเนียน สหายรักของเขาเป็นบรรณาธิการให้
ภายในเล่ม-เขาได้จัดแบ่งออกเป็น ๔ ภาค ๑).-เสียงแม่น้ำสาย เก่าของเยาว์วาร และการผ่านไหลไปโพ้นฝั่ง ๒).-ในโศกนาฏกรรมสามัญ ๓).-แสวงทิศคว้าไขว่ในเพ่งพิศ และ๔).-กลับไปโอบภูเขาของเช้างาม
ในภาค ๑).- สิระพลพูดถึงวัยเยาว์ในหุบภู วัยเยาว์อันอบอุ่น ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยงานชิ้นเปิดเล่ม บ้านโบราณ เป็นการเกริ่นให้มองเห็นพื้นฐานความเป็นสิระพลทีละนิด ในความเป็นเด็กบ้านนอกที่ป่าทึบมีธารน้ำไหล ปลูกผักดายหญ้าไปตามประสา บ้านโบราณสี่หลังนั้นเกี่ยวเนื่องกันด้วยญาติสนิท และเกื้อกูลมาโดยตลอด ทุกแปดค่ำสิบห้าค่ำอันเป็นวันพระ ก็ไปวัดทำบุญทำทานตามธรรมเนียมประเพณีไทย ความเป็นบ้านนอกอันอบอุ่นนี่เอง ที่ทำให้งานในเล่มเป็นการโหยหาถวิลถึง และจัดวางเป็นลำดับขั้นตามช่วงวัยอย่างเป็นเอกภาพ
ภาพวัยเยาว์ในชุดนักเรียนตั้งแถวเรียงหนึ่ง เดินตามหัวขบวน ที่ถือธงแดงไปตามถนน เป็นภาพที่สิระพลประทับใจ และนำมาใส่ในงานได้อย่างน่ารักเลยทีเดียว ให้เด็กเด็กทั้งผองของหมู่บ้าน ไปพบกัน ณ ลานที่รออยู่ เพื่อคันธงสีแดงจะแกว่งชู นำขบวนไปสู่รั้วโรงเรียน
แถวขบวนล้วนงามในยามเยาว์ หลากรอยเท้าเกินนับก้าวสับเปลี่ยน ทางที่เคยรกเรื้อก็เถือเตียน คล้ายร่องรอยขีดเขียนอยู่ทอดยาว
สรวลเสเฮฮาประสาเยาว์ หยอกเย้าแทรกระยะจังหวะก้าว ถ้อยเพลงพรั่งพรูบางครู่คราว ย่างสาวดุ่มเดินเพลิดเพลินใจ
แม้เท้าที่ก้าวเดินไปเกินนับ ต้องทนกับแผลพอง- รองเท้าใหม่ ทว่าห้วงสีทองของเยาว์วัย ก็ยังคงสดใสกับวัยวัน (ทางเช้าสีทองของเยาว์วัย หน้า ๓๐๓๑)
ทว่า-เมื่อไปถึงโรงเรียน เขาในวัยเยาว์ก็ต้องพบกับความชอก ช้ำบางอย่าง
เพียงเสื้อฉันสีมอใส่ห่อร่าง ไยครูสาวผิวบางต้องเสียงขรม เพียงเล็บฉันดำเลอะเปรอะดินตม ไยฉันต้องนิ่งก้มสุดอับอาย (อาณาจักรแปลกหน้า หน้า ๓๔)
เป็นเพียงความรู้สึกไม่เข้าใจของเด็กน้อย ที่ยังคงทรงจำมาจน
ปัจจุบัน ฉากเล็กๆบางฉากสำหรับบางคน มันช่างตรึงอยู่ในก้นบึ้งอย่างยาวนานเหลือเกิน
ภาค๒).- จากความไม่เดียงสาของเด็กบ้านนอก ก็เข้าสู่วัย ที่ดวงตามองโลกหลากมิติ ด้วยวัยที่เติบโตขึ้น และด้วยการเรียนรู้ในโลกกว้างที่เพิ่มขึ้น ทุกๆชีวิตทุกๆสถานการณ์ทุกๆภาพที่ผ่านเข้ามาในช่วงวัยนี้ เขามองมันอย่างตริตรอง ความไม่เข้าใจได้ถูกอธิบายด้วยเหตุผลและตรรกะ แน่นอน-ที่มันไม่ใช่ความไร้เดียงสาอีกแล้ว แต่เป็นวิธีคิดที่มีความซับซ้อนขึ้น เพื่อการเลือกที่ยืนของชีวิต ว่าจะวางเท้าหยัดอยู่ ณ ฟากฝั่งใด งานชิ้นที่ชื่อ ว่าด้วยเรื่องไก่ เป็นชิ้นงานที่บอกช่วงวัยนี้ของเขาได้เป็นอย่างดี
๑. เพียงแต่รู้สึกเศร้าเศร้า แต่มิใช่เรื่องสองเราหรอกที่รัก เพราะเรื่องนั้น&จะเบาหรือว่าหนัก เพียงฉันผ่อนพัก&ก็กลับมาไหว
แต่ที่รู้สึกเศร้า จนแทบจะกราบเท้าเธอให้ได้ เพียงแต่นึกถึงประเทศไทย เพียงหวาดหวั่นยุคสมัย ที่รัก
๒. เธอตื่นเต้นอะไรได้เพียงนั้น ตาโพลง ปากฟันแทบฉีกหัก คอนโดฯชั้นสิบสอง-ห้องพัก แทบรู้จักอรหันต์ขึ้นทันที
เพียงไก่ที่รัก เพียงเรื่อง ไก่ เธอตื่นเต้นกระไรได้เพียงนี้ เพียงสกู๊ปรายการทีวี- มาเคาะตีเขลอะขมอง ของเธอ
ที่รัก บัดนี้ประเทศไทย เสียงไก่ยังขันกู่อยู่เสมอ ใช่เป็นเรื่องแปลกประหลาดมิอาจเจอ ใช่เป็นเรื่องพร่ำเพ้อที่เปล่าดาย
เพียงเธอออกไปจากห้องบ้าง นอกเมืองทอดทางอยู่แสนสาย เพียงเช้าสักเช้าเธอหยัดกาย ตื่นมารับตรู่สายดวงตะวัน
มันคือเรื่องจริง-ที่แสนธรรมดา มิใช่เรื่องฟากฟ้า สุดสวรรค์ ที่ไหนไหนไก่โก่งกู่อยู่รำพัน มิใช่เรื่องมหัศจรรย์ เกินตื่นตา
กะอีแค่รายการโทรทัศน์ ภาพ ไก่ขัน แจ่มชัดเสียงสง่า กะอีแค่รายการของดารา- นำพาเที่ยวไทยทางทีวี
๓. เพียงแต่รู้สึกเศร้าเศร้า โอยุคสมัยของเราเป็นเช่นนี้ คอนโดฯต่างบ้านมานานปี มองโลกผ่านโทรทัศน์สี โอ้ ที่รัก (ว่าด้วยเรื่องไก่ หน้า ๕๗)
แม้จะด้อยเรื่องภาษาก็ตามที แต่งานชิ้นนี้ก็ฉายชัดให้เห็นยุค สมัยของเราได้ดีพอควร และเขาย้ำให้เห็นชัดยิ่งขึ้นไปอีก ถึงการเลือกวางเท้า ณ ฟากฝั่งใดด้วยงานชิ้นที่ชื่อ งานเลี้ยงฉลองของยุคสมัย
นั่น-ไอ้อุดมคติเคยผลิบาน นั่น-ไอ้กวีขี้คร้านกลิ่นเหม็นเห่ย นั่น-ลูกคนพื้นบ้านอีแสนเชย นั่น-ศิลปินแม่งเอ๊ย&เพื่อชีวิต(หน้า ๖๖)
ค่ำคืนนี้จักสนุกกันสุดเหวี่ยง พระเจ้าทุน จะส่งเสียงแห่งยุคสมัย หมู่ซาตานแห่งเราจะกล่าวชัย หมู่ปีศาจจะขวักไขว่กันทั่วงาน
ฮะฮ่า! จะรออะไรอีกเพื่อนยาก ฤกษ์ฉลองพร้อมเปิดฉากขึ้นกู่ขาน ราตรีนี้จะดาษดื่นขึ้นชื่นบาน โลกทุกด้านเราล้อมไว้ไม่เหลือแล้ว (เอ้า&ชนแก้วร้องเพลงชัยให้สำราญ ขอให้ ทุน ทุกหย่อมย่านจงเจริญญญ!) (หน้า ๖๗)
เป็นชิ้นงานที่เสียดสีเยาะเย้ยทุนได้อย่างปวดร้าวเจ็บแสบ เขา อธิบายถึงความน่ากลัวของทุนนิยมได้อย่างน่าขนลุกขนพอง และไม่ได้เกินเลยไปกว่าความเป็นจริง ถัดมาอีกชิ้นติดกัน นอกวิถีวีรบุรุษ คือการตอกหมุด บอกหลักปักเขตถึงที่ยืนอันแน่ชัดแล้วสำหรับเขา เมื่อเขาพูดถึงอดีตสหายแห่งพรรคคอมมูนิสต์แห้งประเทศไทย คนเดือนตุลาที่เพื่อนร่วมรุ่นได้ดิบได้ดีเป็นใหญ่เป็นโตกันมากมาย แต่สหายผู้นี้กลับพึงพอใจที่จะปลูกดอกไม้อยู่บางห้วงแดน ตรัง อย่างเงียบๆ ชื่อของเขาไร้บรรทัดประวัติศาสตร์ มิปรากฏภาพวาดสักมุมด้าน จักมีบ้างก็เพียงเสียงจดจาร ซึ่งเพื่อนบ้านยังจำได้&(ไอ้พวกคอมฯ!!) (หน้า ๖๙)
ก็เขาแค่คนเล็กเล็ก (แหละเล็กเล็ก) ที่หวังว่าเด็กเด็กเคยพบเห็น สักวันหนึ่ง ณ หมู่บ้านอันร่มเย็น เขาจักกลับมาเล่นในสวนดอกไม้ (หน้า ๖๙)
จาก ว่าด้วยเรื่องไก่ อันเป็นความตกใจต่อยุคสมัย เขามอง
เห็นสภาพสังคมที่ทุนนิยมกำลังเชี่ยวกรากใน งานเลี้ยงฉลองของยุคสมัย เขารู้สึกได้ถึงการเป็นคนเล็กๆของสังคมเล็กๆ ที่ไม่ต้องใหญ่โตอะไรนักก็สร้างค่าแก่ชีวิตขึ้นได้ใน นอกวิถีวีรบุรุษ ในภาคนี้-งานของเขาจะกราดเกรี้ยว ร้อนแรง ทรงพลัง หลายต่อหลายชิ้นที่เขาตวาดเอากับยุคสมัย แม้กระทั่งเรื่องราวของความรัก ที่ชายชาวบังคลาเทศผู้ขายโรตีหน้ามหาวิทยาลัยหลงรักนักศึกษาสาวใน ชายขายโรตีบนถนนสีน้ำผึ้ง หรือเรื่องราวของคนรักเก่าที่เจอกันอีกครั้งเมื่อเธอเดินจูงลูกกลับมาพร้อมน้ำตาใน การมาเยือนเพื่อนของฉัน
ภาค ๓).-สิระพลคือกวีหนุ่มร่วมสมัย ที่เนื้องานอบอวลด้วย
ความโรแมนติค แต่รับใช้ความคิดที่ผ่านการขบคิดมาแล้ว มิใช่โรแมนติคพร่ำเพ้อพรรณนาไปวันๆอย่างนักกลอนโรแมนติคยุคก่อน แหละเพราะความร่วมสมัยของเขานี่เอง ที่ชิ้นงานจะมีลักษณะปัจเจก ความเป็นปัจเจกที่มีอิทธิพลต่อกวีปัจจุบันอย่างทั่วถึง
ภาคนี้-สิระพลได้แสดงความครุ่นคิดต่อชีวิต ต่อโลก เขากำลัง พูดถึงปรัชญาบางอย่างที่กำลังขบคิดที่มาที่ไป เพราะชีวิตมิใช่ของเรา วิถีธรรม :สัมพันธภาพ ในสายลมแปลกหน้า รมณียสถาน ซึ่งล้วนเป็นวิธีคิดที่แตกหน่อจากปรัชญาพุทธทั้งสิ้น เมื่อหวนกลับไปดู บ้านโบราณ ในภาคแรก เพราะทุกแปดค่ำสิบห้าค่ำใช่หรือไม่ที่เป็นดั่งตะกอนนอนก้น? เมื่อเติบใหญ่เต็มวัย ตะกอนนั้นก็ได้ผุดพรายขึ้นมาอย่างเป็นไปเอง
ในขณะที่ ข่าวคราวความรัก ไปหาพี่ชาย ทัศนะ: ในฐานะ
ปัจเจกวิสัย จะเป็นงานที่พูดถึงไปตามอารมณ์
ภาค ๔).- เหมือนการย้อนกลับไปวัยเยาว์ของสิระพล กลับไป
สู่วิถีบ้านนอกที่เคยอยู่เป็น แต่การกลับไปครั้งนี้เป็นการอยู่ร่วมอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างเป็นมิตร อย่างเอื้อต่อกัน ต่างให้และต่างรับ เป็นความเรียบง่ายอันงดงาม และเป็นความมีอยู่ของอุดมคติ
ทั้ง ๔ ภาค- คือการเดินทางจากบ้านเกิดสู่เมือง จากวัยเยาว์สู่ วัยแสวงหา เป็นการอยู่ร่วมกับสังคมเมืองที่เขาพบว่าอยู่ร่วมกันลำบากแน่แท้ จึงการกลับสู่ถิ่นที่คล้ายบ้านเกิดอีกครั้ง และปักหลักลงฐานอย่างมั่นคงเป็นทางออกที่เขาได้เลือกแล้ว
โอบปีกภูเขาใต้เงาเช้า ไม่ใช่งานที่ดีเลิศนัก ภาษายังคง ตะกุกตะกักและใช้ไม่ลงตัวเท่าไหร่ แต่ทุกชิ้นบอกเราว่า นี่เป็นเล่มที่ผ่านการขบคิดมาก่อนแล้ว และทุกชิ้นล้วนมีน้ำเสียงจริงใจอย่างที่สุด จนพอจะมองเห็นดวงตาซื่อใสของเขาได้อย่างที่เขาเป็น เขาอายุ ๒๗ จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยทักษิณ สงขลา ระหว่างที่ศึกษานั้นเขาเป็นนักกิจกรรมด้านอาสาพัฒนาและวรรณกรรม เคยทำงานอยู่กับองค์กรพัฒนาเอกชนสายประมงพื้นบ้าน และเพียงสามปีแห่งการทำงาน เขาก็ลาออกจากองค์กร มาดำเนินกิจกรรมอิสระ ด้วยความเชื่อและวิธีการของตัวเอง นี่เป็นหนังสือรวมบทกวีเล่มแรกของเขา ขณะที่ความเรียงว่าด้วยชีวิตของชาวประมงชายฝั่ง อยู่ในระยะการขัดเกลา
ด้วยชีวิตที่กล่าวมา จึง โอบปีกภูเขาใต้เงาเช้า เป็นงานที่ถ่าย ทอดมาจากสายตาที่เป็นจริงของเขา จากน้ำเนื้อชีวิตที่เขาเป็น อย่างไม่ดัดจริตแต่อย่างไรเลย