เมื่อตอนที่ชีวิต .. หยุดคิดถาม
" ทำไม .. ตั้งแต่ปีใหม่มานี่ เธอขี้เกียจนักวะ ? "
คนตั้งคำถาม เดินย้ายสะโพกกลม ๆ ผ่านหน้าผมไป เหมือนไม่ได้ตั้งใจถามเพื่อจะได้คำตอบ
ลักษณะบ่นลอย ๆ แบบนี้ โดยปรกติการปล่อยให้คำถามไหลเข้ารูหูข้างนึง แล้วไหลทะลุออกไป
ทางรูหูฝั่งตรงกันข้าม มักจะเป็นปฏิกริยาที่ร่างกายของผมตอบสนองเหมือนโฆษณารถจักรยานยนต์
ยี่ห้อนึง ที่มีเด็กวัยรุ่นอายุ 18-19 ใช้เป็นยานพาหนะยิง สจ. คนดังจังหวัดแถว ๆ ภาคกลาง
แต่คราวนี้ .. มันไม่เป็นอย่างนั้น ...
ประโยคสั้น ๆ วิ่งกระแทกผนังด้านในของกระโหลกหนา ๆ ของผม มันสร้างความสั่นสะเทือน
เหมือนตอนที่แนวริงค์ ออฟ ไฟร์ เหนือเกาะสุมาตราเคลื่อนที่ คลื่นความคิดซัดเข้าหาก้านสมอง
ปะทะกับแนวเส้นประสาทฝั่งซ้าย ก่อเป็นระลอกคลื่นความคิดที่วิ่งย้อนเข้าหาโคนสมองซีกขวา
มันกวาดความว่างเปล่าออกมาเขย่าไปมา ภาพในจอโทรทัศน์ที่ผมกำลังมองหกคะเมนตีลังกา
ใส่เกลียว 3 รอบ สรรพเสียงอื้ออึงในสองหู ...
" ทำไม .. ตั้งแต่ปีใหม่มานี่ เธอขี้เกียจนักวะ ? "
ผมลุกขึ้น เดินไปปิดทีวี แรงกระฉอกของคลื่นความคิดยังกระแทกกระทั้นไปมาในหัว
ผมอาจจะลุกแรงเกินไป ความรู้สึกเหมือนหัวจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
คงต้องค่อย ๆ ประคองทั้งตัว และความคิด เพื่อลดการกระเพื่อม ...
ผมค่อย ๆ ย่อง ออกมานั่งที่ม้าหินหน้าบ้าน ด้วยอาการเดียวกับคนที่ประคองเทียนเล่มเล็ก ๆ
กลางสายลม
" ทำไม .. ตั้งแต่ปีใหม่มานี่ เธอขี้เกียจนักวะ ? "
เอาล่ะ เพื่อการตอบคำถามที่สร้างมหันตภัยทางความคิดกับตัวผมแบบนี้
เราต้องค่อย ๆ ใคร่ครวญให้ดี ทุกคำตอบอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องกับความสัมพันธ์
ยิ่งคนถาม เป็นคนที่มีความหมาย ไอ้ครั้นจะตอบส่ง ๆ หรืองัดเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ
ที่ฟังดูไร้เหตุผลสิ้นดี เหมือนที่ใครบางคนพยายามจะย้ายศพจากวัดย่ายยาว ไปไว้ที่ภูเก็ต
อาจตกเป็นจำเลยของสังคมได้ ... ถึงแม้ว่าคนที่ถามคำถามนี้ จะไม่มีเบอร์ของคุณสรยุทธก็เหอะ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ผมจำได้ว่า ครั้งนึง เธอคนนี้แหละ เคยวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของผมว่า
ไม่มีความพอดี บทจะทำแม่งก็ทำจะเป็นบ้าเป็นหลัง อดตาหลับขับตานอน 3 วัน 2 คืน
ก็ทำงานได้ ขอให้งานเสร็จ บทจะไม่ทำอะไร ก็ไม่ทำห่าอะไรจริง ๆ นอนเหมือนงูจงอาง
กกไข่ได้ 3 วัน 2 คืน ข้าวปลาไม่กิน ทำเหมือนกินซากไก่เข้าไปแล้วสัก 3 ตัว ต้องรอให้
ไอ้ที่กินเข้าไปย่อยหมดซะก่อนถึงจะเลื้อยออกไปหากินใหม่ได้
อือม์ ... ถ้ามันเป็นอย่างที่เธอว่า
มันก็ไม่ได้แสดงว่า ผมขี้เกียจนี่หว่า ผมแค่เป็นคนที่จะทำอะไร ก็ต่อเมื่อต้องทำอะไร
การขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวแต่ละทีต้องมีความหมาย
ผมพยายามพยักหน้าให้ตัวเองว่า ไอ้ที่เอ็งคิดน่ะถูกแล้ว
ไอ้ตอนที่ผมยังทำงานประจำน่ะนะ ชีวิตมันเหมือนเป็นเครื่องยนต์รถมอเตอร์ไซค์ 4 จังหวะ
วงรอบ ดูด , อัด , ระเบิด , คาย ดำเนินต่อเนื่องไปวันแล้ววันเล่า
เพียงแต่ .. มันเหมือนรถที่สตาร์ทแล้ว บิดคันเร่งอยู่กับที่ โดยไม่ได้เข้าเกียร์
วงรอบมันทำงานของมันไปเรื่อยแหละ แต่ระยะทางมันไม่ได้
รถแรง .. ที่เบิ้ลเครื่อง ฟังเสียงคำรามของท่อไอเสีย มันจะมันส์ตรงไหนวะ
ผมพยายามพยักหน้าให้ตัวเองอีกรอบ ว่าไอ้ที่เอ็งเปรียบเทียบมาน่ะเหมาะแล้ว
ตอนนี้ ผมมาทำอาชีพอิสระ การต้องดิ้นรนขนขวาย มันก็ต้องมากขึ้น
ไม่ออกไปชนงาน งานที่ไหนมันจะวิ่งมาชน
แผนงานที่ผมกับเพื่อนวางไว้เนี่ย ภายในไตรมาสที่ 2 งานเราจะมากมายจะแทบไม่มีเวลา
ได้พักได้ผ่อนซะด้วยซ้ำ ระหว่างนี้ผมต้องเตรียมรับมือกับงานใหม่ ๆ งานที่เราจะใช้เทคโนโลยี
ทางคอมพิวเตอร์เข้าไปพัฒนารูปแบบงานเก่า ๆ ที่เราทำกันมา เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับงาน
การเปิดตลาดใหม่ ๆ ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพของทั้งคน และอุปกรณ์ทั้งหลาย
หมายรวมถึงการมองหาแหล่งเงินทุน
น่าน ... เห็นมะ ผมไม่ได้ขี้เกียจซะหน่อย เพียงแต่ตอนนี้ ผมทำงานกับภาคความคิดมากกว่าการ
เคลื่อนไหวร่างกายต่างหาก
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ผมกำลังจะพยักหน้าให้กับตัวเองเป็นครั้งที่ 3 กับคำอธิบายที่สมเหตุสมผล
เจ้าของคำถามที่เป็นเหตุให้ผมต้องออกมานั่งนึกคำตอบก็เดินมาประชิดตัว
ฝ่ามืออวบ ๆ สวิงเข้าใส่ท้ายทอยจนผมหัวทิ่ม ...
" บ่นข้างใน แม่งออกมานั่งตาลอยหน้าบ้าน ไปตากผ้าเลยมึง ล้างจานด้วย
เดี๋ยวถ้าไปทำผมกลับมายังไม่เสร็จ .. มึงโดนอีกดอก ... "
ผมคลำท้ายทอยป้อย ๆ มองตามสะโพกกลม ๆ ที่เดินออกไป
อารายว้า ... นี่ผมยังขยันไม่พออีกเรอะเนี่ย