ป า น สี แ ด ง ! ! ๗ ( แ ป้ ง ใ น ถั ง น ว ด )

by หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก @11 ธ.ค.47 21.05 ( IP : 203...111 ) | Tags : นิยาย

๗).

เด็กสาวเชื้อสายจีนคนนั้นชื่อนิต  รูปร่างเธอป้อมๆ แก้มแดงเรื่อฝาดเลือดอยู่เสมอ  ผิวเธอเนียนราวทรายชายหาดที่คลื่นเกยเบาๆ    นิตเรียนอยู่คนละห้องกับตี๋  ดวงตาโตๆของเธอสดใส  แต่รอยยิ้มเศร้าๆนั้นก็พลอยทำให้ดวงตาหมองหม่นได้ไม่น้อย  ตี๋เฝ้ามองเธอไม่วางเว้น  ฟันขาวเป็นระเบียบมีเสน่ห์ของเธอทำให้ตี๋จมจ่อมอยู่ในภวังค์  หลายครั้งที่เธอต้องตีแขนตี๋เบาๆเพื่อให้รับฟังเรื่องราวจากเธอ  ตี๋จะยิ้มแห้งๆลูบหัวไปมาอย่างไม่รู้จะเอามือไว้ที่ตรงไหนดี    โรงเรียนร่มพญายางอินเดียมีพื้นที่ไม่มากนัก    ทุกก้าวย่างล้วนตกอยู่ในสายตาของครูและเพื่อนนักเรียน    แต่ม้านั่งตรงใต้ต้นหูกวางใบใหญ่ต้นนั้น    ก็ยังพอจะให้นั่งหลบสายตาใครต่อใครได้อยู่    มองเข้าไปในห้องเรียนในช่วงพัก  กิริยานิตน่ารักสดใส  ท่วงท่าเธอแช่มช้อยสง่างาม    มีเพื่อนผู้ชายหลายคนแวะเวียนมาพูดคุยไม่ได้ขาด    เธอปฏิบัติต่อทุกคนเสมอเหมือนกันหมด    นั่นคือทุกคนเป็นเพื่อนที่ดี    ตี๋หลับตาถอนใจ    ตี๋การเรียนต่ำ    เล่นกีฬาไม่ดี    ซ้ำยังร้องเพลงได้เพี้ยนจากต้นฉบับทุกเพลงไม่เว้นแม้แต่เพลงชาติ    เป็นเพียงนักเรียนดาดดาดที่กลมกลืนกันในชุดเสื้อขาวกางเกงดำ    คงมีเพียงปานสีแดงเท่านั้น    ที่ปรากฏเด่นชัดเป็นความแตกต่างจากคนอื่นๆ    เป็นปานสีแดงที่ใครต่อใครมักจะหัวเราะในความแตกต่างนี้    เธอคงไม่คิดอะไรเกินไปกว่าเพื่อนที่ดีคนหนึ่งหรอก    และอาจเป็นเพื่อนปลายแถวก็เป็นได้    ตี๋ยังหลับตา    แดดบ่ายร้อนจัดที่กำลังลามเลียพื้นโลก    ทรงอานุภาพเสียจนเปลือกตาด้านในกลายเป็นสีแดง    ครั้นลืมตาขึ้นมามองผ่านเปลวแดดระยับ    แดดก็วับวับจนตาพร่ามัวไปชั่วขณะ  เมื่อม่านตาเข้าที่นั่นแหละ    ตี๋ก็ไม่เห็นนิตนั่งอยู่ในห้องเสียแล้ว

โลกเป็นสีชมพู    วันคืนจะผ่านไปรวดเร็วหรือเชื่องช้าเพียงใดตี๋ไม่สนใจรับรู้    เพลงลูกทุ่งที่เคยบรรยายความรู้สึกตี๋ได้หมดจด  ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องห่างไกลเกินเข้าใจได้    คีรีบูน,แมคอินทอช,ฟรีเบิร์ดส์ และรอยัลสไปรท์ต่างหาก    ที่จับความรู้สึกเด็กหนุ่มในห้วงรักได้อย่างชัดเจน

ไม่มีเหตุผลในการเข้าใกล้ใดดีไปกว่าการหาเรื่องทบทวนตำรา  ตี๋ลองนึกสารพัดวิธีรูปแบบเพื่อการเข้าใกล้อย่างทุกข์ทรมาน    ความอายความไม่กล้านี่เองที่เป็นเสมือนกำแพงสูงใหญ่    แข็งแกร่งทนทานเกินตี๋จะทลายลงได้    ยิ่งเห็นเพื่อนชายคนอื่นๆมีความกล้าหาญในการเข้าไปพูดคุยดื้อๆ    ตี๋ยิ่งคลุ้มคลั่งหวั่นไหวอยู่ในหัวอก    ถ้าตี๋จะทื่อเข้าไปดื้อๆบ้างล่ะ?  ตี๋ยิ้มแหยด้วยรู้ดีว่า  หากเข้าไปทื่อๆ  ก็คงเดินออกมาอย่างทื่อๆเช่นเดียวกัน    ตี๋พูดเก่งก็ต่อเมื่ออยู่ในวงล้อมเพื่อนฝูงผู้ชายเท่านั้น  ต่อหน้าเพื่อนผู้หญิงแม้จะเรียนร่วมชั้นกันก็ตามที  ตี๋เป็นยืนนิ่งเงียบประหม่าเคอะเขินจนถูกแซวบ่อยๆ  แล้วกับนิตที่ตี๋หลงรักอยู่นี่ล่ะ?    ตี๋จะไม่ถึงกับหน้าซีดพูดตะกุกตะกักเป็นลมเป็นแล้งไปเลยหรือ?    ตี๋ทุกข์ใจใหญ่หลวง    เก็บความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้กับทรวง    รอวันเวลาผ่านล่วง  เผื่ออาจจะลดอุณหภูมิร้อนแรงนี้ลงได้บ้าง    นิตยังคงร่าเริงสดใสเป็นปกติ    บ่อยครั้งที่ชำเลืองมาทางตี๋    จับจ้องดวงหน้าจืดๆอยู่เป็นนาน    ไม่มีรอยยิ้ม    ไม่มีความรู้สึกใดฉายผ่านดวงตา      ว่างเปล่าประหนึ่งตี๋เป็นใบหูกวางบนพื้นดิน  ตี๋เหลือบตาลดต่ำ    ปลายกิ่งไม้ในมือเขี่ยดินเป็นเส้นสายไร้สาระบนดินสีแดง    สนามปูนร้อนระอุแดดระยับ    เช่นนี้วันแล้ววันเล่า

มึงเป็นอะไรวะ?  จรัญถามตี๋ในเช้าวันหนึ่ง    ไม่มีใครล่วงรู้เสียงหัวใจเต้นโครมโครมของตี๋สักคน    ว่ามันแทบจะทะลักออกมาล้นอกด้วยความรัก    เช้านี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง    อากาศสดสวยสะอาด  ในห้องเรียนที่ครูกำลังเขียนข้อความบนกระดานดำนั้น  ตี๋กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่โต๊ะหลังห้อง    เขียนชื่อนิตอย่างบรรจงลงบนโต๊ะไม้    เขียนกลอนรักหวานเยิ้มที่จำมาจากนิตยสาร    วาดรูปเด็กผู้หญิงร่างป้อมๆตัวเล็กๆข้างๆบทกลอน    จรัญนั่งข้างตี๋จึงเห็นทุกอิริยาบท    นึกขำในใจว่าไอ้เด็กขี้แยคนนี้มันกำลังมีความรัก    สาวเนื้อหอมเสียด้วยสิ

เปล่านี่  ตี๋ปดพร้อมกับกางหนังสือปิดโต๊ะ    จ้องตาจรัญซื่อๆทั้งที่ใจเต้นมิเป็นส่ำเกรงถูกจับได้  เมื่อเห็นจรัญไม่สนใจถามอันใดต่อ  ตี๋ก็แอบใช้ปากกาขีดป้ายทุกอย่างบนโต๊ะจนมองมิเห็นข้อความหรือรูปวาดใด

มึงลบชื่อผู้หญิงคนนั้นด้วย  ด้านล่างน่ะ  ตัวเล็กๆ  จรัญบอกตี๋ขณะที่ก้มหน้าก้มตาคัดลอกข้อความบนกระดานดำ


งานลอยกระทงจัดอย่างเอิกเกริกที่สวนสาธารณะ  เทศบาลทุ่มงบประมาณจำนวนโขเพื่อหวังจะเรียกนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมเยือนเมืองอันแห้งแล้ง  ที่นี่ไม่มีทะเลไม่มีน้ำตก  ไม่มีป่าเขาไม่มีใดใดทั้งสิ้นที่นอกเหนือไปจากตึกทะมึน    มันเป็นเมืองธุรกิจที่ดูเหมือนจะเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคไปเสียแล้ว    ในความแห้งแล้งเย็นชานี่เอง  เป็นสิ่งสำคัญทำให้ผู้คนขึ้งเคียด  เคร่งเครียดและเฉยเมยต่อกันและกัน    แหล่งพักผ่อนคือร้านเหล้า  บาร์  ผับ  ไนต์คลับ  โรงหนังเกรดเอโอ่อ่าอยู่ทั้งสี่มุมเมือง  เมื่อมันเป็นแหล่งเม็ดเงินปลิวว่อน    ก็ไม่ใช่เรื่องเกินคาดหมายที่อบายมุขทั้งปวงจะมารวมกระจุกกัน    บ่อนกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงโชคของคนรายได้น้อย      เฮโรอีนหาง่ายเหมือนหาซื้อทอฟฟี่    และผู้หญิงสวยฉุดฉาดใต้แสงนีออนสีแดง  ในความพยายามผลักเมืองให้เป็นแหล่งธุรกิจ  สินค้าหนีภาษีก็ได้รับการจัดสรรพื้นที่เป็นโซนเป็นกลุ่ม    เมืองยิ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว    นักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งทะลักกราวกันเข้ามาเสพเสน่ห์เมืองอย่างเนืองแน่น  ยิ่งเข้ามามาก    ผู้หญิงที่มีรองรับก็ยิ่งต้องการจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว    จนถนนยางสีดำที่พาดผ่านไปทุกซอกซอยนั้น    คนขับรถทุกคนต้องระวังการลื่นไถล    เพราะเมือกน้ำกามมันเอ่อนองส่งกลิ่นคลุ้งไปทั่วเมือง!


ตี๋เดินกับกลุ่มเพื่อนสนิทในสวนสาธารณะ    สายไฟระโยงระยางพาดผ่านเป็นสายไปทั่วบริเวณ    งานออกร้านขายค้าวุ่นวายด้วยการขายซื้อ    มีวงดนตรีสองเวที    ทิศใต้เป็นวงดนตรีลูกทุ่งชื่อดังจำนวนมาก  อีกเวทีทิศเหนือเป็นวงสตริงจากนักดนตรีในพื้นที่    กระทงใหญ่โตมโหฬารที่เทศบาลสร้างลอยอยู่ในสระน้ำขนาดใหญ่    ประดับด้วยแสงสีวิจิตรตระการตา    นางนพมาศนั่งยิ้มอยู่ในกระทง    หล่อนสวมชุดไทยเปิดไหล่ข้างหนึ่ง    และมีมงกุฎประดับเรือนผม

สวนทางกับนิตบริเวณชิงช้าสวรรค์    นิตสวยอย่างที่เคยสวย  แต่ดูเหมือนจะสวยยิ่งกว่านี้หากไม่มีไอ้หนุ่มหน้ามันเดินคลอข้างๆ    ตี๋หลบตาหนี  แกล้งทำเป็นไม่เห็นยิ้มที่นิตส่งมาให้แต่ไกล    และนี่คือการตัดสินใจผิดพลาดอย่างจัง    เมื่อนิตเดินเข้ามาคว้าแขนตี๋เอาไว้แน่น    สายตาของนิตวับวามด้วยความขุ่นเคือง    ตี๋มือเย็นเฉียบ    ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากปากใคร  ทุกคนนิ่งตะลึงและเงียบอย่างงุนงง  จนไอ้หนุ่มหน้ามันเอ่ยเรียกชื่อนิตนั่นแหละ  ดวงตาที่จับจ้องตี๋ก็เอ่อคลอ  นิตชักมือกลับแล้วเดินจากไป


งานลอยกระทงปีนี้ดูท่าจะกร่อย    เสียงดนตรีอึกทึกหนวกหูมาทั้งสองทิศ  ผู้คนยัดเยียดเบียดเสียดแทรกตนแย่งชิงพื้นที่    ความร้อนอบอ้าวจนเหงื่อแต่ละคนชุ่มเสื้อ    แต่ฟ้าส่งเสียงลั่นอยู่ไกลๆจากเมฆสีแดงลิบ  ตี๋ยิ่งหงุดหงิดเมื่อเพื่อนๆล้อเลียนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหมาดๆ  ตี๋เตะถุงพลาสติคน้ำแข็งที่มีคนทิ้งไว้บนถนนอย่างแรง    ความทำอะไรไม่ถูกเป็นดั่งพายุที่เริ่มก่อตัวอยู่ในอก  ขยักขย้อนผะอืดผะอม  เหลียวมองหานิตอีกครั้งก็ไม่เห็นแม้ผมประบ่า    ครั้นเหลียวกลับก็เห็นเพื่อนในกลุ่มกำลังโต้เถียงผลักอกกับเด็กหนุ่มอีกกลุ่ม  ถุงพลาสติคที่ตี๋เตะไปด้วยพายุนั่นแหละ    มันลอยละล่องไปตกในวงเหล้าของเด็กหนุ่มที่มาจากรอบนอกเมือง      แล้วมันก็กลายเป็นงานลอยกระทงที่แสนกร่อยสมบูรณ์แบบไปทันที


ตี๋เดินยิ้มร่าเข้าไปหาเพื่อนที่รวมกลุ่มอยู่หลังห้อง  หน้าตาแต่ละคนยับเยินไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียว    แพะโดนหนักสุด  หัวแตกเย็บหกเข็ม  ฟันหน้าโยกอยู่ซี่หนึ่งด้วยสนับมือ  เหตุการณ์เมื่อคืนไม่มีใครคาดคิดถึงเรื่องจำนวนคนเลย    มันกระชั้นชิดและฉุกละหุกเกินกว่าจะนับนิ้วเอาได้    โดยเฉพาะจรัญที่ไม่เคยยอมลงให้ใคร    จรัญเป็นผู้เปิดเกมได้อย่างสวยงาม    ด้วยการตะบันไปยังกึ่งปากกึ่งจมูกจนมันล้มคว่ำ    แล้วความชุลมุนวุ่นวายก็เกิดขึ้นในบัดดล สารวัตรทหารกองทัพบกกรูกันมาห้ามทัพด้วยไม้กระบองและคอมแบท  ขณะที่กลุ่มเด็กนอกเมืองก็กรูกันเข้ามาเสริมจำนวนพวกตน    โชคดีที่ทุกคนวิ่งหนีฝ่ามาได้  แม้จะสะบักสะบอมยับไปทั้งตัวก็ตามที    ยกเว้นตี๋-ที่วิ่งออกไปยืนดูเอาใจช่วยอยู่ห่างๆภายใต้สายฝนที่เริ่มร่วงกราวลงมา

หลังรับฟังเสียงสวดขรมอื้ออึงหู    พร้อมกับหลับตาเมื่อมีมะเหงกเขกกะโหลกลงมาแรงๆ    ตี๋ก็ชวนเพื่อนๆไปกินไอติมตอนเย็นหลังเลิกเรียน


นิตนั่งอยู่ในห้อง    ยามเย็นที่เพื่อนนักเรียนทยอยกันกลับบ้าน  ตี๋เลียบๆเคียงๆหน้าประตู    ไม่รู้จะเดินเข้าไปหาหรือถอยกลับดี  ตัดสินใจไม่ถูกเก้ๆกังๆอยู่อย่างนั้น    จนนิตเหลือบสายตามาเห็น  เหมือนห้วงเวลาหยุดนิ่ง    เหมือนๆรู้สึกผิด    เหมือนตาฝาดๆที่เห็นนิตหน้าตาเศร้าหม่น    อย่างไม่รู้ตัวตี๋ก็หยุดยืนอยู่เบื้องหน้า    มองเห็นแต่ปลายเท้าของตนหยุดนิ่งริมโต๊ะ

ทำอะไรอยู่?  ตี๋รู้สึกว่านี่เป็นคำถามที่ไม่ได้เรื่องเหลือเกินจึงไม่พูดอะไรอีก    ได้แต่ยืนเก้อๆรอนิตเอ่ยอะไรออกมาสักคำ  ลมวูบมาทางหน้าต่าง  เส้นผมนิตปลิวระไหล่  ใบยางอินเดียวกราวลมอยู่ซู่ๆ

เหมือนฝนจะตก  นิตเอ่ยลอยๆ ใช่ใช่  เหมือนฝนจะตก  เดี๋ยวมันก็คงจะตกลงมาหนักล่ะ คืนนั้นเราขอโทษ  ตี๋รวบรวมความกล้าทั้งมวลที่มีเอ่ยออกมา

นิตยิ้มรับ  นิตดีใจที่ได้ยินคำนี้จากปากตี๋

มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ    มีความสุขในการอยู่ใกล้  แต่เขินอายเกินกว่าจะพูดอะไรออกมา    ตี๋ชอบดวงตาสวยเศร้าของนิต  ขณะที่นิตชื่นชมความซื่อๆของตี๋  คืนฝนตกหนักที่บ้านของครูคนหนึ่ง  ในงานจัดเลี้ยงมีขนมอร่อยๆกับน้ำหวานหลากสี    คืนที่อึกทึกด้วยเสียงฟ้าและเสียงเฮฮา  ตี๋กับนิตกลับรู้สึกได้ถึงความเงียบสงัดจากสรรพสิ่งรอบข้าง  ดื่มด่ำภวังค์ที่สร้างอาณาเขตของคนสองคนท่ามกลางเพื่อนๆ    ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจของโลก  ที่โบกพัดใบไม้กราวกราวจนกิ่งลู่เอน  ตี๋สบตานิต  และต่างยิ้มเปี่ยมสุขลึกๆ  บ้านของครูเป็นบ้านไม้ยกพื้น  แสงสว่างจากนีออนไม่สามารถสาดแสงให้อาณาบริเวณนั้นชัดตาได้    ด้วยรายล้อมไปด้วยไม้ใหญ่นานาพันธุ์    แต่ก็ไม่ได้มืดเสียจนมองเส้นลายมือไม่เห็น    มันเป็นความสลัวกึ่งแจ้งกึ่งมืด  แต่หากมองจากระยะไกล  จุดสลัวนั้นกลับดูสว่างจ้าดั่งแสงแห่งดาวสุกสักดวง  บรรยากาศเช่นนี้แหละ    เช่นที่ลมฝนโกรกกราว    สายฝนซัดสาดหลังคาแล้วพรูลงมาเป็นม่าน  เสียงกบเสียงอึ่งอ่างระงม    ความหนาวเหน็บเย็นฉ่ำ  น้ำที่เจิ่งนั้นสะท้อนแสงไฟวับวับ  พรายน้ำที่แตกเม็ดจากแรงกระทบของฝน  บรรยากาศเช่นนี้แหละ    ที่ตี๋ถอดเสื้อคลุมห่มไหล่ให้นิต  และแอบหอมเรือนผมดกดำเต็มสืด  ตี๋ไม่เคยลืมบรรยากาศเช่นนั้นและกลิ่นหอมนั้นเลยตราบชั่วชีวิต


เธอจะไปสอบเข้าที่ไหนล่ะ?    นิตถามในวันที่โลกเงียบเหงา  ลมร้อนโชยปาดแผ่นพื้นซีเมนต์    เสียงเพลง อดีตรักวัยเรียน ของ แพงแทงเกิล  ดังมาจากร้านขายม้วนเทป

ยังไม่รู้เลย ตี๋ตอบอายๆกับการไม่รู้ที่จะไป    มัธยมปลายที่ไหนสักแห่ง    นั่นสิที่ไหนดีหนอ? โรงเรียนเราน่าจะมีมัธยมปลายนะ  ไม่ต้องดิ้นรนไปสอบกันใหม่  เราเรียนไม่เก่ง
ไม่เก่งก็ยังมีโอกาสนะ  ยังไงๆก็ยังได้สอบ  ทำข้อสอบเหมือนๆกับคนอื่นๆ  อาจจะเป็นข้อสอบที่เธอตอบได้อยู่บ้างหรอก

ตี๋รู้ว่านั่นคือเสียงปลอบประโลม    เกรดการเรียนของตี๋ทุลักทุเลเต็มที    เตี่ยกับแม่ไม่เคยเข้มงวดอะไรนักกับการเรียน    ขอเพียงให้ทำการบ้านให้เสร็จ  ไม่สอบตกซ้ำชั้นไม่เกเร  แม่มักพูดว่าแม่เรียนมาแค่ประถมสี่    ทำนาตัวดำไหม้เกรียมมาก่อน  ก็ยังเลี้ยงลูกให้โตมาได้จนบัดนี้      เตี่ยเองก็ไม่เคยคาดหวังเรื่องการเรียนของตี๋  เตี่ยมีอาชีพรองรับให้อยู่แล้วนี่  ก้อนเงินเป็นฟ่อนในกระเป๋าเตี่ยยืนยันได้  หากตี๋ตัดสินใจหันหลังให้โรงเรียน  เตี่ยก็พร้อมจะเข็นตี๋ให้เป็นเถ่าชิ่วได้ไม่ยาก

เธอล่ะ?  ตี๋ถามนิตบ้าง    นิตเอ่ยชื่อโรงเรียนในฝันของเธอด้วยดวงตาเปี่ยมสุข    และดวงตาคู่นี้ยิ่งสวยชัดเมื่อนิตบอกว่าต้องการเรียนโปรแกรม วิทย์-คณิต    ตี๋ครางอือในลำคอเบาๆ  สิ่งที่นิตปรารถนานั้นอยู่ไกลเกินตี๋เอื้อมถึงโดยแท้    แล้วภาพของนักเรียนสวมแว่นหนาๆ  หน้าตาบอกบุญไม่รับ  ในมือมีแต่ตำราเล่มใหญ่ๆ    ไม่รู้จักเล่นกระทั่งลูกข่าง  ก็ปรากฏออกมาเป็นลำดับ  นั่นไม่ใช่ตี๋แน่ๆ    แล้วโปรแกรมอะไรล่ะที่เหมาะสมกับตี๋?

คณิต-อังกฤษ ไง  นิตแนะ

ตี๋ตกวิชาภาษาอังกฤษมาโดยตลอด  ต้องตามสอบแก้กันทุกเทอม    จนครูเอือมระอา    สอบเมื่อครั้งที่ผ่าน  ตี๋โน้ตสั้นๆลงไปในกระดาษข้อสอบว่า ผมทำไม่ได้จริงๆครับ  ผมพยายามแล้วครับ  แล้ววาดยันต์ลงไปกำกับให้ศักดิ์สิทธิ์  ครูภาษาอังกฤษทั้งโมโหทั้งขัน  เรียกตี๋ไปพบหลังจากการตรวจข้อสอบเสร็จสิ้น    ผลออกมาว่าตี๋สอบตกตามคาด  ตี๋รับฟังครูดุอย่างเนือยๆ  ภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่ไม่เคยกระเตื้องขึ้นเลยสักนิด  ใครๆก็รู้  ใช่-ใครๆก็รู้  แล้วนิตจะเสนอขึ้นมาทำไมหนอ?

คณิต-อังกฤษ เธอยังจะมีโอกาสเลือกคณะตอนเอนทรานส์ได้มากอยู่นะ      นิตดึงภวังค์ตี๋ให้กลับมาบนฟุตบาธซีเมนต์    เพลงจากร้านขายม้วนเทปแว่วไกลอยู่เบื้องหลังลิบๆ  อีกไม่กี่เมตรก็ถึงทางแยก    บ้านนิตต้องไปทางซ้าย  บ้านตี๋ต้องเดินตรงต่อไป

 งั้นเหรอ? ตี๋ยิ้มๆ ก็ได้  แต่เธอจะสอบเข้าที่ไหนแล้วนะ?  ตี๋ถามย้ำอย่างไม่แน่ใจ    นิตยิ้มร่าเริงตอบด้วยน้ำเสียงธรรมดา

ยังเป็นโรงเรียนในฝันของนิตแห่งนั้นตามเดิม    ตี๋หลบตาลงต่ำ  ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า เราจะไปเรียนที่นั่นด้วยกัน..


โลกของตี๋ยังคงเป็นบ้านและโรงเรียน  บนถนนสายเดิมกับจักรยาน BMX คันเดิม  เสื้อนักเรียนปกเปื่อยยุ่ยกับกางเกงสีดำปะรอยปรุ  รองเท้านักเรียนที่นิ้วโป้งโผล่ออกมามากับพื้นวิ่นแหว่ง  ใกล้จะจบหลักสูตรมัธยมต้นเต็มที  โรงเรียนใหม่ถนนสายใหม่จะเป็นอย่างไรไม่รู้    ตี๋มองอนาคตอย่างเลื่อนลอยว่างเปล่า  ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับวันเวลาที่จะมาถึง  ตี๋เคยถามแม่ว่าถ้าอยากเป็นทหารนี่  ต้องไปเรียนที่โรงเรียนนายร้อยใช่ไหม?  แม่รับฟังงงงงก่อนตอบสั้นๆว่า มั้ง?    ครั้นหันไปถามเตี่ย    แม่เห็นเตี่ยทำหน้างงงงยิ่งกว่าแม่ก็หัวเราะลั่น  แล้วบอกตี๋ว่า เตี่ยเคยเป็นแต่ทหารที่ประเทศจีน  เป็นทหารของเหมาเจ๋อตง  จะไปรู้อะไรกับทหารไทยเล่า?

นั่นสิ-เตี่ยเป็นคนจีนถือใบต่างด้าว    ครูบอกว่าทหารไม่รับคนที่มีพ่อหรือแม่เป็นคนต่างด้าว  แล้วยิ่งมีตำหนิเป็นปานสีแดงก่ำเด่นชัดบนใบหน้านี่ด้วย&&&&&ตี๋นึกขึ้นได้ก็รีบสลัดความคิดอยากเป็นทหารทิ้งเสีย 


จนวันสำเร็จการศึกษามัธยมต้นมาถึง    ตี๋สวมชุดนักเรียนกางเกงดำอย่างเศร้าสร้อย    รู้สึกใจหายอาลัยอาวรณ์ต่อโรงเรียนต่อเพื่อนฝูง  ต่อครูอาจารย์ ต่อรังผึ้งบนต้นยางอินเดีย  ต่อความทรงจำงดงามใต้ต้นหูกวางที่เคยนั่งมองนิตในห้อง    ตี๋ตาแดงๆน้ำตาแทบร่วง  เมื่อนิตยื่นสมุดเฟรนด์ชิฟให้เขียน    ตี๋ไม่รู้จะเขียนอะไรดี  ต่างคนต่างเงียบ    จนกดปลายปากกาลงหน้าสุดท้ายเขียนคำว่า ขอให้เรา&&.. ค้างไว้แค่นั้นก็เหลือบตาสบตานิต

เขียนต่อสิ  เราไม่ดูก็ได้  นิตยิ้มเอียงคอ  แล้วตี๋ก็เขียนต่อจนจบว่า  ขอให้เราคิดถึงกัน

ปิดสมุดเฟรนด์ชิฟแล้วส่งคืน    มือต่อมือสัมผัสกันอบอุ่นไปถึงดวงใจ    ก่อนจะเลื่อนลงมาเป็นเกี่ยวก้อยเดินไปที่ลานจอดจักรยาน  ตี๋แก้โซ่ที่คล้องจักรยาน BMX ออก  แล้วให้นิตนั่งตรงคานข้างหน้า  กลิ่นเส้นผมหอมกรุ่น  กลิ่นผิวสาวหอมกรุ่น  กลิ่นความรักหอมกรุ่น  ตี๋อยากให้นิตแนบอกฟังเสียงหัวใจเต้นเหลือเกิน เราจะคิดถึงกัน  นิตเอ่ยเบาๆเมื่อรถวิ่งช้าๆไปตามลำคลอง สายเล็กๆ ใช่  เราจะคิดถึงกัน&

แสดงความคิดเห็น

« 3575
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง

งานเขียนของข้าพเจ้า

personมุมสมาชิก

Last 10 Member Post

Web Statistics : online 0 member(s) of 13 user(s)

User count is 2275352 person(s) and 9024079 hit(s) since 19 เม.ย. 2567 , Total 550 member(s).