เพื่อโลกาแห่งรัก
ในยามที่ดวงตะวันคืนสู่เหย้า
ในยามที่หิ่งห้อยเรืองรอง
ในยามที่ธิดาแห่งรัตติกาลสยายปีกของเธอ
ครอบคลุมเหนือหุบเขาแห่งความโดดเดี่ยวในใจข้า
บทกวีบทหนึ่งผุดขึ้นมาจากน้ำพุน้อยกลางป่า
ท่ามกลางเสียงเรไรจักจั่นร้องระงม
ภายใต้เงาของหมู่ดาวจากฟากฟ้าแสนไกล
ดาวน้อยดวงหนึ่งตะโกนก้องถามข้าว่า
บทกวีของเจ้าคืออันใด
ข้าแหงนมองไปทางทิศเหนือด้วยดวงตานับพัน
พลางตอบเธอไปว่า
บทกวีของข้าเฉกเช่นลูกแกะที่พลัดหลงออกจากฝูง
เฉกเช่นนกไนติงเกลที่แนบอกบนหนามเพื่อขับร้องลำนำ
เฉกเช่นวัชพืชที่ชอนไชไปตามร่องของกำแพงคุก
เฉกเช่นเด็กกำพร้าที่ร่อนเร่พเนจร คุ้ยเขี่ยไปตามกองขยะ
เพื่อหาเศษกระดูกสักชิ้นและดวงจันทร์ที่ดับแสง
เฉกเช่นยูลีซีสที่ผจญภัยเพื่อค้นหาอาณาจักรอิทาคา
เฉกเช่นแวนโก๊ะที่ปาดฝีแปรงรุนแรงเพื่อให้เส้นสีเต้นระบำ
เฉกเช่นชาวเขาที่มุมานะหยอดเมล็ดพันธุ์ลงในดินแข็ง
เพื่อตนเองและฝูงนกจะได้มีธัญพืชเป็นอาหาร
ข้าเห็นน้ำตาในดวงตาเธอ แต่เธอก็ยังมิวายถามข้าอีกว่า
เจ้าคือใคร
ข้าก้มลงมองปลายเท้าของข้า
พลันตอบเธอไปว่า
บรรพบุรุษของข้าคือชาวนา
เธอกะพริบแสงหนึ่งครั้ง พร้อมทั้งยิ้มให้ข้า
และขอถามข้าเป็นคำถามสุดท้ายว่า
เจ้าเขียนบทกวีเพื่ออันใดกันเล่า
ข้ายิ้มตอบเธอและกล่าวไปว่า
ข้าเขียนบทกวีเพื่อสันติภาพ เพื่อเพื่อนร่วมโลก
และเพื่อโลกที่เราอาศัยอยู่ด้วยความรัก