เมื่อผมไปเลือกตั้ง
เมื่อผมไปเลือกตั้ง
ก็ไหนรัฐบาลกรอกหูผมอยู่ช้านานว่า ประชาธิปไตยอยู่ในมือผม? การเลือกตั้งเป็น วิถีทางประชาธิปไตย? หนึ่งเสียงของประชาชนมีความหมายล้นเหลือ?
จะให้ผมทำความเข้าใจได้อย่างไร? ในเมื่อท่านออกกฎเกณฑ์มาว่าหลังบ่ายสามตรง
เป๊ะหมดสิทธิในการออกเสียง อาชีพค้าขายนั้น แต่ละวันก็เหน็ดเหนื่อยปางตายอยู่แล้ว วันธรรมดาก็ค้าขายยากเย็น ได้บ้างก็วันเสาร์ อาทิตย์นี่แหละ ที่พอจะเจือจานรายจ่ายในวันอื่นๆได้บ้าง แล้วท่านก็ตั้งเกณฑ์ว่าต้องเลือกตั้งในวันอาทิตย์ เพราะเป็นวันหยุดของคนส่วนใหญ่ ประชาชนจะได้ไปออกคะแนนเสียงตามวิถีทางประชาธิปไตยได้เต็มที่ โดยกำหนดระยะเวลาใช้สิทธิอันเด็ดขาดนั้นเพียงแค่ แปดโมงเช้าถึงบ่ายสาม
ผมลวกหมี่งกงกมาตั้งกะเช้า รีบเร่งทำเวลาเพื่อจะได้ไปออกเสียงเฟ้นหาผู้แทนที่ นิยม ลูกค้าวันนี้ล้นหลามน่าดู เพราะต่างก็รีบเร่งออกมาใช้สิทธิ ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะเบื่อหน่ายรัฐบาลเก่า หรือต้องการรัฐบาลเก่ามาอีกครั้ง รู้แต่ว่ามื้อเช้านั้น ผมได้กินเอาเมื่อบ่ายสอง ที่ได้กินก็เพราะผมรีบเก็บร้านเพื่อไปเลือกตั้ง ผมลงทุนขนาดนี้ ย่อมสื่อให้เห็นชัดว่าผมรักระบอบประชาธิปไตยมากกว่าผู้สมัครลง ส.ส. ทั้งสิ้น
กินมื้อเช้าเสร็จ ก็บึ่งเวฟ 125 ไปคูหาทันที โดยคาดกระเป๋าเงินที่ค้าขายได้ทั้งวันติด ตัวไปด้วย พอย่างก้าวเข้าคูหา รปภ. ท่านก็ทำหน้าที่แข็งขันยิ่ง ออกปากเรียกข้าพเจ้าด้วยภาษากลางแปร่งๆ ทองแดงร่วงกราวเลยล่ะ บอกว่าห้ามพกพากระเป๋าเข้าในคูหา อ้าว แล้วจะให้ผมทำไงล่ะทีนี้ เขาบอกว่าให้ฝากไว้บนโต๊ะ พร้อมกับชี้นิ้วไปที่โต๊ะว่างๆ ไม่มีใครนั่งไม่มีใครยืนอยู่แถวนั้นเลยสักคน ผมทำตาปริบๆแล้วบอกว่าเงินทั้งนั้นนะในนี้ กว่าจะหามาได้นี่หน้ามืดตาลายหูอื้อขนาดไหน เขาก็ไม่ยอม แล้วชี้ไปที่ตำรวจประจำคูหา บอกว่าฝากกับตำรวจได้ เวรเลยล่ะ ผมมีปัญหาในการแยกระหว่างตำรวจกับโจรอยู่ด้วย เอาวะ ไม่ให้กูประชาธิปไตยกูก็ไม่เอา หันหลังกลับไปขึ้นเวฟ 125 จะกลับบ้าน รปภ. กะ ตำรวจนายนั้นก็รับปากแข็งขันว่ากระเป๋าไม่หายแน่ ผมชั่งใจอยู่นาน ว่าระหว่างนักการเมืองจะมีงานทำกับปากท้องของผม อะไรสำคัญกว่า
แน่นอนสิ ปากท้องผมสำคัญกว่าเยอะ ประเทศนี้จะมีนักการเมืองมีการเลือกตั้งหรือ
ผมไม่เคยเห็นความแตกต่างระหว่างมีกับไม่มีเลย
ไหนๆก็ไหนๆ ผมลงเดินเข้าไปในคูหาอีกครั้ง โดยถอดกระเป๋าที่มีเงินบรรจุอยู่สอง แสนกว่าๆนั้นไว้กับตำรวจ พลางยืนเฝ้ามองตาไม่มีกะพริบสักนาทีเดียว ผมกาให้ตรงช่องไม่เลือกใคร กามันอยู่อย่างนี้มาตั้งกะมีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อหนุ่มรุ่น เป็นการบอกให้รู้ว่าผมไม่เอาผู้สมัครหน้าไหนทั้งสิ้น ไม่มีใครที่มันถูกริดสีดวงผมสักคน อย่าง ส.ส. คนเก่า ผมยังไม่เคยเห็นว่าพณฯท่านจะทำอะไรให้ก่อเกิดประโยชน์กับบ้านเกิดของผมสักครั้ง ไม่เคยเห็นกระทั่งในหนังสือพิมพ์ ในโทรทัศน์ เรื่องทัศนะเรื่องวิชั่นอะไรนั่นก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะจนกระทั่งวันเลือกตั้งผมยังไม่เห็นพณฯท่านโผล่ศีรษะออกมาให้ยลเป็นบุญตาสักนิด ยิ่งมีการพยายามทำให้การเมืองเป็นเรื่องของสองพรรค ผมยิ่งไม่เห็นเข้าท่า เพราะสองพรรคใหญ่ที่มีมันก็ไม่ได้ต่างกันสักนิด เห็นชัดก็เพียงแค่เขาออกมาด่ากันเท่านั้น ซึ่งอันนี้ผมเชื่อว่าผมก็ทำเป็น และทำได้ดีกว่าเขาเยอะ ส่วนพรรคเล็กๆย่อยๆนั้น ก็แค่ไม้ประดับ อนาถใจจริงๆ
ในส่วนปาร์ตี้ลิสต์นั้น ผมกาไปที่พรรคคนขอปลดหนี้ อันนี้บอกตรงๆว่าผมประชด
ซึ่งมีความหมายเดียวกับที่ผมกาช่องไม่เลือกใครในส่วนของเลือก ส.ส.
สงสัยแค่ว่าทำไมไม่ขยายเวลาในการออกเสียงไปจน ๒๔ ชั่วโมง? เพื่อคนทำงานที่
ไม่ว่างในช่วงแปดโมงเช้าจนบ่ายสามจะได้ไปใช้สิทธิได้ หรือเมื่อถึงวันเลือกตั้งแล้วผมต้องหยุดร้านวันหนึ่ง เพื่อไปใช้สิทธิให้ผู้สมัครสักคนได้มีงานทำ? เรียกร้องความสำคัญเกินจริงไหม? ผมไม่เถียงหรอกว่าการเลือกตั้งคือการกำหนดอนาคตของเรา แต่ผมเชื่อว่าปากท้องของผมและคนในครอบครัวสำคัญกว่าการเลือกตั้ง ทั้งเป็นรูปธรรมและเห็นผลจริง
แค่บ่นน่ะครับ ประชาธิปไตยไม่เต็มบาทของเรานี่มันวุ่นวายกะกระเป๋าเงินชาวบ้าน
จริงๆ