... Beautiful ...
คราวที่ฉันอยู่ชั้นประถม ประมาณนั้น แม้ว่าอายุก็ประมาณนี้แล้ว (ทุกอย่างประมาณ)
ยังไม่สามารถลืมไปได้เลยกับเหตุการณ์นั้น ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นซ้ำ
อีกเลยจนทุกวันนี้ เหมือนเป็นความทรงจำที่หวงแหนจนไม่อยากให้หายไปจากใจ
วิชาภาษาอังกฤษคาบสุดท้ายของการเรียนในวันนั้น ซิสเตอร์ มารีอา สั่งให้นักเรียน
ทุกคนท่องศัพย์ 10 คำ และจะเรียกให้ท่องจากคนแรกและให้คนแรกเลือกที่จะให้
เพื่อนคนใดก็ได้ท่องเหมือน ๆ กัน ต่อจากเขาจนครบ 10 คน คำศัพท์ทั้ง 10 คำฉันได้
เพียงแต่มองผ่าน ๆ อย่างไม่ใยดี ฉันรอเพียงให้พ้นชั่วโมง สมองไม่ได้มีไว้สำหรับคิด
ฟุ่มเฟือยมันคิดไว้ลงตัวไม่มีเศษว่าเล่นบาสเสร็จอาบน้ำกินข้าว แล้วแอบไปห้องเปลี่ยน
เสื้อผ้า เพราะสัพภาระของฉัน ( ของเล่นส่วนตัว ) จะอยู่ที่นี่เขาไม่อนุญาติให้เอาของเล่น
มาโรงเรียน ฉันเป็นเด็กที่ชอบเล่นคนเดียว ตอนกลางคืน โตจนป่านนี้ก็ยังเป็นอยู่ ชอบ
แต่งตัวดูกระจกเปลี่ยนชุดนั้นใส่ชุดนี้ เขียนอะไรเล่นอ่านหนังสือบ้าง เป็นเด็กไม่ชอบ
สังคม ( เฉพาะเวลากลางคืน ) มีโลกส่วนตัว ไม่รู้และไม่สนว่าใครจะทำอะไร
ขาเข้าไปห้องแต่งตัว จะอยู่ติดกับห้องอาบน้ำรวม (โรงเรียนหญิงล้วน) ไม่มีความคิด
ใด ๆ เข้ามาครอบงำสามารถเพลิดเพลินไปได้ แต่ขาออกดูมันช่างน่ากลัวเสียทุกครั้ง
เพราะอาคารเรียนจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหอพัก มองไปแล้วมันมืดมนเหมือนว่าสิ่งหน้ากลัว
ทุกชนิดจะอยู่ในอาคารเรียนนั้นทุกซอกทุกมุมเมื่อเรามองไป... ทางเดินระเบียงที่เชื่อม
ต่อจากห้องแต่งตัวไปยังหอนอนจะมีแต่เราและไฟนีออนเป็นช่วง ๆ แค่นั้น ทุกอย่างมัน
อยู่ในสมองมันเป็นมโนภาพอันน่ากลัวเสียยิ่งกว่าภาพจริง เพราะเราสามารถ หวาดกลัว
กว่าความเป็นจริงอีกหลายเท่านักจากการวาดภาพขึ้นมาเอง ฉันวิ่งและวิ่งและวิ่ง จนถึง
เรือนนอน ใจเต้นด้วยความกลัว กลัวว่าจะได้เห็นทั้ง ๆ ที่ไม่เคยได้เห็นอะไรเลยซักที
เข้านอนและเพลียหลับไป
ฉันตืนขึ้นมาทุกเช้าได้เพราะรุ่นพี่ที่แม่ฝากให้ดูแลฉันด้วยการโยนผ้าเช็ดตัวใส่และเอา
เท้าสะกิดเบา ๆ จนตกเตียง ทุกวัน และตืนขึ้นมาอาบน้ำ ห้องน้ำที่นั่นเป็นอ่างปูนยาว
ยาวมากสำหรับความคิดเด็ก ๆ มีชุดอาบน้ำแบบสวมหัว ลายดอกทุเรศ ๆ เราทุกคน
ใส่ชุดลายดอกยืนอาบน้ำพร้อม ๆ กัน ทั้งเด็กเล็กเด็กโตเสร็จแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้า หน้าตู้
ใครตู้มัน และลงไปกินข้าวในโรงอาหาร
ในเช้าวันนั้นไม่มีใครพูดถึงเรื่องการท่องศัพย์ นี่เป็นสาเหตุหลักที่ฉันลืมไปเสียสนิท
ส่วนคนอื่น ๆ คงจะลืมเฉพาะการพูดคุยเรื่องการท่องศัพย์เท่านั้นมิได้ลืมท่องมาจนขึ้นใจ
เมื่อคาบก่อนวิชาภาษาอังกฤษจะมาถึงฉันก็พึ่งจะนึกได้ จึงไม่สนใจวิชาที่เรียนอยู่และ
แอบท่องจนคิดว่าขึ้นใจแล้ว นึกกระหยิ่ม ในมันสมองอันลึกล้ำและชาญฉลาดของตัวเอง
เมื่อเวลานั้นมาถึง เริ่มจากคนที่ 1-2-และ 3 คนที่สามคือ ไอ้เปิ้ล มันท่องจนจบแบบไม่
มีติดขัด... จากนั้นมันก็มองหาคู่อริของมันที่กินแหนงแครงใจมา 2-3 เดือนมาแล้วจาก
การแย่ง ชิงช้ากัน ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่เรียนซ้ำชั้น ... ฉันแอบหัวเราะในใจและคิดว่า
" เสร็จแน่...นังโง่ " ไอ้เปิ้ลบอกชื่อแก่ซิสเตอร์มารีอาว่า
" ให้พี่จุ๊บต่อหนูค่ะ "
นังพี่จุ๊บหน้าซีดปน ๆ ไปกันกับหน้ายักษ์ที่พร้อมจะฉีกไอ้เปิ้ลออกเป็นชิ้น ๆ ได้ทุกเวลา
วุ๊ยยยยยยยย สะใจฉันมากกกกกก รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมของฉันและเพื่อนอีก 2-3 คนต่าง
ยิ้มออกมาจนหน้าตาของพวกเราเหมือนกันหมด ยังกับแฝด 5 ก็ว่าได้
เวลาฝ่านไปนาน แต่ทว่าสนุกสนานกับการหัวเราะ กับอาการ เกาหัวยุกยิก ตะกุกตะกัก
ก้มมองโต๊ะ เหลือบมองกระดานดำ อย่างกระสับกระส่าย แต่ด้วยอิทธิพลมืดของพี่จุ๊บ
จึงมีพรายกระซิบเป็นระยะ ๆ จนนังพี่จุ๊บบรรลุไปได้ เมื่อมรสุมผ่านพ้นพี่จุ๊บไปแล้ว
สีหน้าของการเอาคืนถูกจับจ้องมาที่ฉัน
........ปึ๋ง................. ตัวฉันแข็งทื่อขึ้นมาในทันทีที่รู้ว่าจะเป็นรายต่อไป
.... ฉันยืนขึ้นและท่องศัพย์แบบไม่เรียงกัน จนซิสเตอร์ประหลาดใจฉันเองก็แปลกใจ
ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่เรียงกันอย่างเพื่อนคนอื่น ๆ ฉันท่องคำที่ฉันจำได้ก่อน
คำท้ายที่สุดฉันรู้สึกว่าคำนี้ทำไมยากจัง ฉันตะกุกตะกักไม่ไปไหน เหมือนรถที่ขับ
ไปเที่ยวได้ไกลแสนไกลแต่ดันมาเสียเอาปากซอยบ้าน เฮ้ออออออออ !!!!
พรายกระซิบบอกผิดอีกต่างหากจนซิสเตอร์ทนไม่ไหว ถึงกับสะกดให้พูดตามและ
ถามว่า
" B- e - a - u - t - i - f - u - l บิวติฟูล มันยากมากนักเหรอ "
(ปัจจุบันมันยังตามมาหลอกหลอนฉันในชื่อของห้างแว่นบิวติฟูลอีกแน่ะ)
และให้หาผู้โชคดีคนต่อไป ...คาดโทษหลังเลิกเรียนให้เข้าไปพบซิสเตอร์อีกครั้ง โดยที่
มี ไอ้เอ๋ ไอ้หน่อย ไปด้วย
หลังเลิกเรียนของวันนั้นเป็นวันศุกร์ซึ่งผู้ปกครองจะมารับเด็ก ๆ กลับบ้าน ส่วนฉันต้อง
นั่งรถของครอบครัวรุ่นพี่ที่อยู่ข้างบ้านกลับแต่ถูกสะกัดด้วยซิสเตอร์มาริอาไว้ ซิสเตอร์
ฝากบอกรุ่นพี่ว่าให้ไปบอกผู้ปกครองฉันมารับเอง เพราะฉันถูกทำโทษ โดยการคัดลาย
มือคำว่า B- e - a - u - t - i - f - u - l ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพอใจ ผู้ปกครองของเอ๋กับหน่อย
มารับแล้วแต่ผู้ปกครองของฉัน อยู่ไกลคงอีกนานกว่าที่จะไปถึงและกว่าที่พ่อกับแม่จะ มา ปาเข้าไป 2 ทุ่ม
นักเรียนทั้งโรงเรียนในขณะนั้น เหลือฉันเพียงคนเดียวกระเป๋าและสัมภาระถูกวางอยู่
ข้างเคียงกันที่เก้าอี้หินอ่อน ฉันไม่มีอะไรจะทำเพราะถูกจัดให้รอผู้ปกครองตรงที่นี้ไม่
ให้เดินเข้าไปในอาคารเรียน ซึ่งมีของเล่นมากมาย เพราะทางโรงเรียนจะปล่อยหมาตัว
ใหญ่ ๆ ออกมาเดิน ฉันงอนไม่ยอมแม้แต่จะกินข้าว เหงาใจแบบเด็ก ๆ
(คิดสภาพเถอะน่าสงสารเน้อ) ฉันมองไปยังเก้าอี้หินอ่อนที่มีตัวหนังสือแดง ๆ เขียนไว้ว่า
ร้านอนันการไฟฟ้า มอบไว้เป็นสมบัติของโรงเรียน ฯ หนองมนของฝากมอบไว้ฯ
ร้านปืนทองมอบไว้ฯโรงโม่หินฯมอบไว้ฯ เหตุผลอะไรถึงใจดีให้โรงเรียน เก้าอี้หลาย ๆ
ตัวเรียงรายอยู่ใต้ต้นก้ามปูอย่างหงอยเหงา อีกทั้งมีเสียงจิ้งหรีดร้องระงมจนแทบข่มใจ
ไม่ไหว อยากจะร้องไห้อย่างบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม ช่วงเวลานั้นฉันรู้สึกว่ามัน
นานนานจนจำความรู้สึกนั้นได้ดีกว่าที่จะเห็นรถพ่อเข้ามา หัวใจฉันก็พอโตจนลืมหิว
ลืมเหงาไปหมดสิ้น พ่อกับแม่เข้าไปพบอธิการ คือ ซิสเตอร์ฟรังซิส ชูจิตรผลสุวรรณ
(เป็นไงจำได้แม่นเลย ขณะนั้นท่านน่าจะอายุ 50 กว่าแล้ว) ซิสเตอร์ตักเตือนผู้ปกครอง
ของฉันอย่างสนุกสนาน และย้ำว่าให้กลับไปอบรมฉันด้วย เนื่องจากมีพฤติกรรม
แปลก ๆและยกตัวอย่างพฤติกรรมเช่น หลังจากทานข้าวแล้วทางโรงเรียนจะให้กล้วย
น้ำว้า2 ลูกกับนม 1 แก้ว ทานก่อนนอน ซึ่งฉันไม่เคยกินมันเลย แถมเอากล้วยไปซ่อน
ตามที่ต่าง ๆ รวมถึงใส่ในเปียร์โนเก่าข้างหลังโบสถ์ด้วย นี่! ฉันทำอะไรไป 55 555
เด็ก ๆ ทุกคนอยู่ในห้องดูทีวี แต่ฉันไปอยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าและวิ่งกลับมานอนทีหลัง
เพื่อนเกือบทุกวัน รับอาสาส่งและรับ จดหมายจากรุ่นพี่เพื่อนำไปให้นักเรียนโรงเรียน
ตำรวจที่มาวิ่งตอนเช้าข้าง ๆรั้วโรงเรียนโดยไม่ได้ค่าตอบแทนอะไรไปมากกว่าความ
ตื่นเต้นที่ได้ลักลอบทำอะไรแปลก ๆ และอีกหลาย ๆ อย่าง
ทุกสิ่งถูกเปิดเผยสู่ พ่อกับแม่ โดยที่ฉันเองไม่เคยรู้มาก่อนว่าผู้ใหญ่รู้ ฉันไม่รู้ว่าจะคิด
ยังไงกับเรื่องพวกนี้ แต่ก็ไม่เคยลืมเรื่องพวกนี้รู้แต่ว่ามันกลายเป็นนิสัยของฉันไปเลย
ว่าถ้าทำผิดอะไรก็ตาม อาจมี 1 หรือ 2 คนที่รู้พฤติกรรม และหวาดกลัวที่จะทำอะไร
ไม่ถูกต้องทุกครั้งไป
เมื่อแต่ก่อน จนถึง 2-3ปีที่ผ่านมา ฉันก็ยังรู้สึกเกลียดชังโรงเรียนนี้เสมอ ๆ แต่เมื่อไม่นาน
มานี้ฉันได้เจอเพื่อนเก่าสมัยเรียนเขาเข้ามาทักทาย และติดต่อนัดเพื่อน ๆ ให้มาเจอกัน เรา
ได้พูดคุยกัน เป็นครั้งแรกหลังจากที่หายกันไปเป็น สิบ ๆ ปีได้รู้ว่า พี่จุ๊บเป็นมะเร็ง
เสียชีวิตไปได้ 3-4ปีแล้วส่วนรุ่นพี่ที่ถีบฉันตกเตียงทุกเช้า ก็เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุไปนาน
มากแล้ว ได้รู้ว่าใครทำอะไรอยู่ที่ไหนอย่างไร ความรู้สึกเกลียดชังโรงเรียนอย่างแต่ก่อน
กลับหายไป และทดแทนด้วยความทรงจำดี ๆ ที่ผ่านมาจากการพูดคุยกันในหมู่เพื่อน
ขอบคุณ ไอ้นพ ( นพวรรณ ) ที่เข้ามาทักอย่างมั่นใจในชื่อฉันซึ่งไม่ได้ยินใครเรียกแบบนี้
มานานมากแล้ว มันเรียกฉันว่า
" อีหนอด จำฉันไม่ได้ล่ะซิ อีสมองเสื่อม "