เมื่อสงกรานต์ .... ผ่านไป
ภรรยาของผม กดปุ่มวางหูโทรศัพท์มือถือ
ก่อนจะหันหน้ามาบอกผมด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
" พี่ตุ๊ย ... เสียแล้ว "
พี่สาวท่านนี้ รู้จักคุ้นเคยกับครอบครัวผมเป็นอย่างดี
ความที่คุณแม่ของพี่ตุ๊ย เป็นผู้ที่ช่วยเลี้ยงดูลูกชายของเรา
มาตั้งแต่ยังเล็ก ถึงแม้จะไม่ใช่ญาติแท้ ๆ แต่ด้วยความผูกพัน
แบบสังคมชนบท ที่คนบ้านใกล้เรือนเคียงพึ่งพาอาศัยกันด้วยน้ำจิตน้ำใจ
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย และการทำมาหากินในเมืองหลวง
ความเอื้ออาทรที่ครอบครัวนี้มีให้กับเราสามชีวิต
เกี่ยวพันความรู้สึกของเราเข้าหากันขนาดที่ลูกชายผมเรียกแม่ของพี่ตุ๊ยว่า " ยาย "
... ผมรู้สึกหวิวขึ้นมาในอก
พี่ตุ๊ย ไปทำบุญทอดผ้าป่าในช่วงวันสงกรานต์ กับเพื่อน ๆ ที่ทำงาน
แถบจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ไม่มีใครคิด ว่าบ่ายแก่ ๆ ของวันที่ 14 เมษายน
ข่าวการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของพี่ตุ๊ยจะเดินทางมาถึงเรา
ทุกปี ที่หลังจากเทศกาลสงกรานต์จบลง
ผมมักจะนั่งดูข่าวการสรุปยอดตัวเลขผู้เสียชีวิตในมหาเทศกาลนี้
ด้วยความสงสัยว่า ...
ทำไมมันช่างเหมือนการเดินทางไปรบแถวตะวันออกกลางนัก
ผู้คนบาดเจ็บ ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก
และมันเป็นอย่างนี้ ... ทุกปี
แต่ปีนี้ มันดึงผมเข้าไปมีส่วนร่วมในความรู้สึกของการสูญเสีย มากกว่าปีก่อน ๆ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
สาย ๆ ของวันที่ 15
ผมออกจากลิฟท์ชั้น 4 ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งนึง ย่านสะพานใหม่
ก่อนจะเดินตรงปรี่ไปที่ห้อง 1414
เพื่อนรักของผมอีกคนนึง นอนเอน ๆ อยู่บนเตียง
ผ้าก๊อซพันแผล คาดแทบจะรอบศรีษะ ขวดน้ำเกลือแขวนอยู่ที่ข้างเตียง
และใบหน้าที่บวมซะจนผมจำแทบไม่ได้
เขาไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน ... เขาอยู่บ้าน
เขากำลังเร่งมือทำบ้านให้เสร็จ
สถาปนิกอย่างเขา ต้องลงมือมาผสมปูน ตีฝ้าเพดานด้วยตัวเอง
ตอนที่เขากำลังใช้ไกเดอร์ ( เครื่องตัดแผ่นกระเบื้อง )
ใบตัดเกิดแตก ชิ้นส่วนเล็ก ๆ ชิ้นนึงของมัน
กระเด็นพุ่งเข้าสู่ใบหน้า แฉลบผ่านจากเหนือกรามข้างซ้าย
ลากเป็นเส้นตรงเด๊ะผ่านโหนกแก้ม ไปออกเกือบ ๆ หางตา
รอยแผลที่ลึกซะจนหมอต้องเย็บถึง 4 ชั้น
เขาส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้ผมตอนที่ผมเดินเข้าไปหาที่ข้างเตียง
" เฮ้อ .. สงกรานต์ปีนี้ ไม่ดีเลยว่ะ " เสียงอู้อี้ ลอดออกมาจากปาก
เพื่อนผมคนนี้ เคยเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาคมเข้มคนนึง
แต่ปีนี้ ความหล่อเหลาของเขา คงเดินทางไปพร้อมกับท้าวกบิลพรหมแล้ว
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
บ่าย ๆ วันที่ 16
ผมวางกระป๋องเบียร์เย็นเฉียบลง
สงกรานต์ปีนี้ ผมไม่ได้เดินทางไปไหน
จริง ๆ แล้ว สงกรานต์หลายปีผ่านมาแล้ว ที่ผมไม่เดินทางไปไหน
ผมมักจะเก็บตัวอยู่บ้าน นั่งดื่มเงียบ ๆ คนเดียว
ไม่ใช่ว่า ผมจะไม่เห็นความสำคัญของเทศกาลสงกรานต์
ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองบอกว่า เป็นวันครอบครัว
ที่ประเพณีโบราณนานมาบอกว่า ต้องกลับไปรดน้ำดำหัวพ่อแม่
และที่ผู้คนครึ่งค่อนประเทศ ให้ความสำคัญกับมัน
ที่ผมไม่ให้ความสำคัญกับวันครอบครัว
เพราะว่าผมมีวันของครอบครัวของผมเยอะแยะ ที่ไม่ใช่วันนี้
ผมไปแสดงความรัก และกตัญญูกับพ่อแม่ของผม วันอื่นก็ได้
เพราะผมมองเห็น ในวันที่โบราณนานมาบอกว่า เป็นวันที่หยิบยื่นความเย็นฉ่ำ
และความปราถนาดีแก่กัน
แต่วันนี้ .. เด็กหนุ่มวัยรุ่น 6 คน รุมกระทืบเด็กหนุ่มอีกคนอย่างป่าเถื่อน
ข้าง ๆ บ้านผมนี่เอง
ผมต้องโทร.ไปแจ้งยกเลิกเหตุด่วน หลังจาก 5 นาทีที่ผมโทร.ไปแจ้งเหตุทะเลาะวิวาทครั้งแรก
เพราะเด็กหนุ่มดวงซวยในเทศกาลสงกรานต์คนนั้น โซซัดโซเซ ลุกขึ้นสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์
ของเขาขับกลับไปแล้ว
ย่านดอนเมืองเนี่ย วัยรุ่นเยอะ คงตีกันเป็นร้อยจุด
ตำรวจเขาคงทำงานหนัก อย่าไปว่าเขาเลย
สงกรานต์ปีนี้ ผมรู้สึกถึงความสูญเสีย ความเจ็บปวด
และภาพความบิดเบี้ยวของวัฒนธรรม อันเป็นผลกระทบจากสังคมที่หลงทิศ หลงทาง
ผมยกกระป๋องเบียร์ขึ้นจรดปาก ปล่อยให้ความเย็นเยียบของน้ำสีเหลืองไหลลงคอ
ก่อนจะเอื้อมมือไปยกหูโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ... เสียงน้องสาวผมลอดมาตามสาย
" พี่โจ ... น้ำร้อนลวกมืออ่ะ สงกรานต์ปีนี้ โคตรซวยเลย "
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
อือม์ .... เอาเข้าไป
แม่ง ครบคนที่กูรู้จักรึยังวะเนี่ย ............ T___T